บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1563 กำแพงคุนเผิง
บทที่ 1563 กำแพงคุนเผิง
……….
บทที่ 1563 กำแพงคุนเผิง
เมื่อเห็นท่าทางประหลาดใจของเฉินซี หญิงชราผมขาวก็ทอดถอนใจอีกครั้ง ราวกับนางกำลังคร่ำครวญถึงกาลเวลาที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป
“ใช่แล้ว แดนโลกาวินาศที่เจ้ากล่าวถึงนั้นถูกสร้างขึ้นจากซากศพของจ้าวเต๋าคุนเผิง” หญิงชราผมขาวกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “อีกนัยหนึ่ง ฟ้าดินอันกว้างใหญ่ที่เราอยู่ตอนนี้ คืออยู่ภายในซากศพของจ้าวเต๋าคุนเผิง”
เมื่อได้รับคำยืนยันจากนาง เฉินซีอดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความประหลาดใจ
เมื่อตอนที่ยังอยู่ในสามภพ เขาพยายามคาดเดาว่าแดนโลกาวินาศแท้จริงคือสิ่งใด เหตุใดจึงสามารถพันธนาการเหล่าตัวตนที่ขอบเขตเทวาได้? เหตุใดภัยพิบัติที่แผ่ขยายไปทั่วสามภพจึงปะทุออกมาจากแดนโลกาวินาศ?
จนกระทั่งเข้าสู่แดนโลกาวินาศ เฉินซีสังเกตเห็นว่าแดนโลกาวินาศถูกแบ่งออกเป็นพื้นที่ทุ่งโอสถและพื้นที่ล่า ยิ่งไปกว่านั้น กฎแห่งเต๋าสวรรค์ของที่นี่ก็สามารถกำจัดกฎแห่งเต๋าศักดิ์สิทธิ์และเคล็ดวิชาต่าง ๆ ที่ตัวตนขอบเขตเทวาครอบครองอยู่ได้อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนั้น สถานที่แห่งนี้ยังเป็นสถานที่สร้างความสำราญใจให้แก่ผู้เยี่ยมยุทธ์ของแดนเทพโบราณท่องไปได้อย่างอิสระ!
ทว่าเฉินซีไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่ารูปลักษณ์ดั้งเดิมของสถานที่ที่ลึกลับ กว้างใหญ่ แปลกประหลาด และพิสดารแห่งนี้ ซึ่งอยู่ระหว่างสามภพเบื้องล่างกับแดนเทพโบราณ แท้จริงแล้วเป็นเพียงซากศพเท่านั้น!
จ้าวเต๋าคุนเผิง !?
เขาเป็นใครกัน?!
เพียงซากศพที่เขาเหลือไว้ก็แปรเปลี่ยนเป็นโลกอันกว้างใหญ่ และสร้างกฎแห่งเต๋าสวรรค์ที่ล้ำเกินจินตนาการ หากยังมีชีวิตอยู่ คนผู้นี้จะแข็งแกร่งปานใด?
เมื่อยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าใด เฉินซีรู้สึกตกใจมากขึ้นเรื่อย ๆ
คุนเผิงกลายเป็นมัจฉาเมื่อเข้าสู่ทะเล ร่างกายของมันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต เมื่อมันทะยานขึ้นไปในอากาศ มันก็กลายเป็นวิหคขนาดมหึมาที่มีปีกห้อยลงมาจากหมู่เมฆ ซึ่งเหินบินไปบนท้องฟ้าและท่องไปในจักรวาล
ในช่วงยุคบรรพกาลหลังจากที่ความโกลาหลเพิ่งถูกแยกออก คุนเผิงเป็นสัตว์ร้ายอันดับหนึ่งที่ได้รับการยอมรับจากสาธารณชน มันควบคุมกฎแห่งการกลืนกินโดยกำเนิด และทำให้สามภพตกตะลึง ครั้งหนึ่งมันเคยกลืนกินเทพผู้ยิ่งใหญ่ไปนับไม่ถ้วน ทำให้มันมีชื่อเลื่องลือในแง่ความดุร้าย
นี่คือความเข้าใจของเฉินซีที่เกี่ยวกับคุนเผิง แต่ที่สำคัญที่สุด คือเขาได้เข้าใจเคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์ของคุนเผิง และยังเข้าใจกฎแห่งการกลืนกิน ดังนั้นเขาจึงตระหนักอย่างลึกซึ้งถึงพลังที่คุนเผิงครอบครอง
แต่เห็นได้ชัดว่าจ้าวเต๋าคุนเผิงที่หญิงชราผมขาวกล่าวถึงนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าคุนเผิงที่ตนเข้าใจ เพราะหลังจากที่มันพินาศ ซากของมันยังกลายเป็นแดนโลกาวินาศได้ ดังนั้นเมื่อลองคิดดูแล้ว มีเทพสักกี่คนในโลกนี้ที่สามารถบรรลุสิ่งนี้ได้?
นี่คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้เฉินซีตกตะลึง
“กฎแห่งเต๋าสวรรค์ที่นี่คงจะไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยเต๋าศักดิ์สิทธิ์กลืนกินที่ครอบครองโดยจ้าวเต๋าคุนเผิงเมื่อเขาพินาศกระมัง?” ทันใดนั้น เฉินซีก็ตระหนักถึงบางสิ่งพลางกล่าวด้วยความตกใจ
เป็นที่รู้กันทั่วไปว่า กฎแห่งเต๋าสวรรค์ในแดนโลกาวินาศสามารถสยบกฎแห่งเต๋าศักดิ์สิทธิ์และเคล็ดวิชาต่าง ๆ ที่เทพครอบครองจากภพเบื้องล่างได้อย่างสิ้นเชิง
ลักษณะเฉพาะนี้ คล้ายคลึงอย่างมากกับเต๋าศักดิ์สิทธิ์กลืนกินที่คุนเผิงครอบครอง!
“อาจถือว่าเป็นเช่นนั้น” หญิงชราผมขาวพยักหน้า “อย่างไรก็ตาม มันแตกต่างจากเต๋าศักดิ์สิทธิ์กลืนกินที่แท้จริง ย้อนไปเมื่อหลายปีก่อน เมื่อจ้าวเต๋าคุนเผิงท่องไปในแดนเต๋าโลกาวินาศ เขาประสบกับคราวเคราะห์และเสียชีวิตลงที่นี่ พลังงานลึกลับประเภทหนึ่งที่เรียกว่าแสงแห่งโลกาวินาศยังคงอยู่ในซากศพของเขา และตอนนี้มันได้หลอมรวมเข้ากับพลังงานของเต๋าแห่งสวรรค์ที่นี่แล้ว”
นางหยุดครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “กล่าวง่าย ๆ กฎแห่งเต๋าสวรรค์ที่นี่เป็นพลังงานที่ผิดปกติซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่เต๋าศักดิ์สิทธิ์กลืนกินหลอมรวมกับแสงแห่งโลกาวินาศ เต๋าศักดิ์สิทธิ์กลืนกินได้กลืนกินกฎแห่งเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ในขณะที่แสงแห่งโลกาวินาศได้ระงับเคล็ดวิชาที่เทพครอบครอง”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนั้น” เฉินซีมีเข้าใจอย่างถ่องแท้ จากนั้นพลันตระหนักถึงอะไรบางอย่างได้ “หากเป็นเช่นนั้น แล้วแดนเต๋าโลกาวินาศนั้นเป็นสถานที่แบบใด?”
แดนโลกาวินาศและแดนเต๋าโลกาวินาศ แม้ชื่อนี้จะต่างกันเพียงคำเดียว แต่เฉินซีก็มองออกว่ามันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“นั่นเป็นสถานที่อันตรายอย่างยิ่ง ซึ่งทำให้จ้าวเต๋าคุนเผิงพินาศได้” หญิงชราผมขาวเผยให้เห็นความเกลียดชังอันขมขื่น และมีแม้แต่ร่องรอยของความกลัวอย่างลึกซึ้ง “ถ้าบรรพบุรุษของเผ่าจุลบรรพกาลของข้าไม่ได้เข้าสู่แดนเต๋าโลกาวินาศกับจ้าวเต๋าคุนเผิง แล้วเผ่าของข้าจะถูกขังอยู่ที่นี่มาจนถึงตอนนี้ได้อย่างไร?”
“ท่านยาย แต่ข้าได้ยินมาว่า ถ้าจ้าวเต๋าคุนเผิงไม่สละชีวิตของเขาและพาเผ่าของเรามาไว้ที่นี่ ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต เผ่าของเราคงประสบกับหายนะในเวลานั้น” อาเหลียงกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาจากทางด้านข้าง
“ยัยหนู เจ้ากล่าวถูกแล้ว เราทั้งคู่รอดและถึงวาระโดยคนคนเดียวกัน แม้ว่าเผ่าของข้าจะรอดมาจนถึงตอนนี้ แต่มันก็ถูกขังอยู่ที่นี่มาสองสามล้านปีแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากข้อจำกัดของกฎแห่งเต๋าสวรรค์ จวบจนถึงบัดนี้ เหลือพวกเราเพียงไม่กี่คนเท่านั้น บอกข้าทีว่าเราควรเกลียดจ้าวเต๋าคุนเผิงหรือควรสำนึกบุญคุณเขา” หญิงชราผมขาวเหลือบมองอาเหลียง พลางกล่าวอย่างไม่แยแส
“ข้า… ข้าไม่รู้” อาเหลียงครุ่นคิดอยู่นานแต่ก็ไม่สามารถให้คำตอบที่แน่นอนกับหญิงชราผมขาวได้ นางรู้สึกละอายใจและก้มหน้าลง
“ทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องในอดีต และไม่จำเป็นต้องยึดติดกับมัน ในชีวิตของคนเรา ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็จะต้องยืนหยัดด้วยสองเท้าของตนเอง และจ้องมองไปยังเส้นทางภายหน้า ทั้งไม่อาจจมอยู่กับอดีตได้ตลอดไป เพราะถ้าทำเช่นนั้น แล้วการมีชีวิตอยู่จะมีประโยชน์อันใด?” เฉินซีค่อนข้างสะเทือนใจกับสิ่งนี้ และอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ
หญิงชราผมขาวตะลึงลาน จึงส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า “พ่อหนุ่ม มันง่ายสำหรับเจ้าที่จะกล่าวเช่นนั้น”
เฉินซีเพียงยิ้มแต่ไม่ได้โต้แย้ง ทุกคนต่างมีความเข้าใจต่อเส้นทางสู่เต๋าและชีวิตของตนเอง ดังนั้นแม้เขาจะเข้าใจ แต่เขาไม่อาจเปลี่ยนทัศนคติต่อมัน
อาเหลียงเงยหน้าขึ้นมองเฉินซีด้วยดวงตาวาววับ ดูเหมือนจะเห็นด้วยกับอีกฝ่าย แต่หลังจากนั้น นางก็ลดเสียงลงอย่างเขินอายอีกครั้ง
หญิงสาวคนนี้เป็นคนขี้อายเกินไป
นางเป็นเหมือนลูกกวางตัวน้อยที่อาจหวาดกลัวทุกสิ่ง และทำให้คนอื่นอดไม่ที่จะรู้สึกเอ็นดูนาง
……
“พ่อหนุ่ม ตอนนี้เจ้ารู้เกี่ยวกับซากคุนเผิงแล้ว ดังนั้นเจ้าจะยอมรับเงื่อนไขของข้าหรือไม่” หญิงชราผมขาวระงับความคิดของตน แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนากลับไปเป็นหัวข้อก่อนหน้านี้
“ข้าตั้งใจจะไปจากแดนโลกาวินาศเช่นกัน ดังนั้นข้าอาจจะพาแม่นางเหลียงไปด้วยก็ได้ ทว่าหากมีเหตุร้ายเกิดขึ้น ข้าคงไม่สามารถดูแลแม่นางเหลียงได้” เฉินซีครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวขึ้น
“คุณชาย เจ้าไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้ ด้วยความช่วยเหลือของเรา เจ้าจะมีโอกาสอย่างน้อยแปดส่วนที่จะออกจากซากคุนเผิงได้ และที่เหลือจะขึ้นอยู่กับโชคของเจ้าเอง” ใต้เท้าเหยียน ทหารองครักษ์ที่มีศีรษะรูปร่างเหมือนเห็ดกล่าวขึ้น “แต่ไม่ว่าอย่างไร สหายเต๋า เจ้าต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่ล่วงเกินองค์หญิงเหลียง มิฉะนั้น…”
ดวงตาของเฉินซีหรี่ลงเล็กน้อยทันที คิดข่มขู่ข้าเหรอ?
“เอาละ ข้าเชื่อในนิสัยใจคอของชายหนุ่มคนนี้” หญิงชราผมขาวเหลือบมองที่เฉินซี แล้วขัดจังหวะใต้เท้าเหยียนทันที “ข้ามีชีวิตอยู่มาเนิ่นนานแล้ว และข้าได้เห็นผู้คนมากมาย อย่างน้อยที่สุดข้าก็ไม่เคยดูคนผิด”
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหมดหนทางเล็กน้อย ทั้งที่ข้าพยายามช่วยเหลือพวกเจ้า แต่ในเมื่อไม่เชื่อใจกัน แล้วจะขอความช่วยเหลือจากข้าทำไมเล่า?
“ท่านยาย…” อาเหลียงกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาและดูเหมือนจะไม่เต็มใจเล็กน้อย
“อาเหลียง ความหวังทั้งหมดของเผ่าจุลบรรพกาลของเราขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว เจ้าต้องไม่ทำให้ยายและทุกคนผิดหวัง” หญิงชราผมขาวกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
อาเหลียงตั่วสั่นสะท้าน ดวงตาพลันเปียกชื้นประหนึ่งน้ำตากำลังไหลรินลงมา หลังจากนั้นครู่หนึ่ง นางสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และเม้มฝีปากแน่น “ท่านยาย อาเหลียงทราบแล้ว ข้าจะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังอย่างแน่นอน”
เมื่อกล่าวจบ น้ำเสียงของนางก็เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว
หญิงชราผมขาวยิ้มพลางลูบศีรษะเล็ก ๆ ของอาเหลียงอย่างอ่อนโยน แล้วพึมพำขึ้น “บ้านเกิดของเผ่าจุลบรรพกาลของเราอยู่ที่แดนเทพ หากวันหนึ่งเจ้าสามารถกลับไปยังสุสานบรรพบุรุษได้ เช่นนั้นจะสามารถปกป้องเผ่าเราได้”
“ทราบแล้ว” อาเหลียงพยักหน้าอย่างหนักแน่น “อาเหลียงจะจดจำไว้”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวด้วยความสงสัย “พวกเจ้าจะไม่ไปกับเราเหรอ?”
“พ่อหนุ่มมาเถอะ ในเมื่อเจ้ายอมรับเงื่อนไขของข้าแล้ว ข้าจะตอบแทนเจ้าด้วยของขวัญสุดวิเศษ” หญิงชราผมขาวไม่ตอบคำถามเฉินซี เพียงหันหลังกลับและเดินลัดเลาะไปตามกิ่งก้านใบไม้ของหญ้าวารีสีฟ้าอ่อน
“ท่านยาย ข้าก็จะไปกับท่านเช่นกัน” อาเหลียงรีบไล่ตามนางไป
ทว่าอาเหลียงกลับถูกหยุดโดยใต้เท้าเหยียนคนนั้น “องค์หญิง โปรดรออยู่ที่นี่เถิด เมื่อคุณชายกลับมาแล้ว ท่านทั้งสองก็จะสามารถออกไปได้”
อาเหลียงมีท่าทางตื่นตระหนกในบัดดล ใบหน้าเล็ก ๆ เต็มไปด้วยความคับข้องใจและความเศร้าโศก ขณะที่จ้องมองร่างของหญิงชราผมขาวที่หายตัวไปในระยะไกล ก่อนจะทรุดลงนั่งกอดเข่า จากนั้นจึงเริ่มร้องไห้ออกมา
เฉินซีสังเกตเห็นทั้งหมดนี้ และอดไม่ได้ที่จะสงสัยในใจ นี่ไม่ใช่ช่วงเวลาเป็นตาย แล้วเหตุใดสาวน้อยคนนี้ถึงเศร้าโศกปานนี้?
“พ่อหนุ่ม วางนิ้วของเจ้าไว้ที่นี่” หญิงชราผมขาวมาถึงด้านล่างของหญ้าวารีแล้ว จากนั้นใช้นิ้วปัดเบา ๆ ทำให้แสงสีทองลึกลับส่องขึ้นมาจากพื้น
เฉินซีเหลือบมองอาเหลียง จากนั้นมองไปที่หญิงชราผมขาว พลางไตร่ตรองลึกซึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเหยียดนิ้วชี้แล้วกดเบา ๆ ลงไปยังแสงสีทองที่อยู่ด้านล่างของหญ้าวารี
เหตุการณ์นี้แปลกมาก เมื่อเปรียบเทียบกับร่างที่เล็กมากของเผ่าจุลบรรพกาล นิ้วชี้ที่เฉินซียื่นออกมานั้นเสมือนภูเขาที่สูงตระหง่านทะลุท้องฟ้า และเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว มันดูขัดตายิ่งนัก
ถึงขนาดที่ทำให้คนอื่นสงสัยว่านิ้วของเฉินซีจะบดขยี้คนของเผ่าจุลบรรพกาลเหล่านี้หรือไม่
แต่เฉินซีไม่กล้าทำเช่นนั้น เนื่องจากกลิ่นอายของหญิงชราผมขาวนั้นน่าเกรงขามอย่างยิ่ง และแม้ว่านางจะดูตัวเล็กมาก แต่การบ่มเพาะก็อยู่เหนือขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณอย่างแน่นอน!
โอม!
ทันทีที่นิ้วของเฉินซีสัมผัสกับแสงสีทอง ความผันผวนที่มองไม่เห็นและคลุมเครือก็แผ่ซ่านออกไป
ด้วยความตกใจ ความผันผวนนี้ได้ปกคลุมไปทั่วร่างกายของเขาในทันที และก่อนที่จะได้ดิ้นรนขัดขืน ร่างกายก็ถูกพัดหายไปจากก้นสระทันที!
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ทิวทัศน์ตรงหน้าก็เกิดแสงวูบวาบ และเขาก็มาถึงภายในสถานที่มืดมิด สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มวิตกในใจ และระมัดระวังจนถึงที่สุด
“พ่อหนุ่ม ไม่จำเป็นต้องกังวล” เสียงของหญิงชราผมขาวดังขึ้น นางยืนอยู่กลางอากาศ และเนื่องจากรูปร่างของนางเล็กเกินไป หากเฉินซีไม่สังเกตอย่างระมัดระวัง ก็เป็นเรื่องยากที่จะเห็นนางในสภาพแวดล้อมที่มืดมิดเช่นนี้
เฉินซีพยักหน้า ตอนนี้เขาสังเกตเห็นว่า พื้นที่อันมืดมิดนี้ค่อนข้างกว้างใหญ่ แต่มันก็ว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง และมีกำแพงหินเพียงก้อนเดียวเท่านั้นที่ตั้งตระหง่านอยู่ห่างออกไปหนึ่งร้อยยี่สิบจั้ง
กำแพงหินถูกปกคลุมอย่างหนาแน่นด้วยแผนผังที่คลุมเครือ และมันก็เหมือนกับทางช้างเผือกในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวที่เปล่งรัศมีอันกว้างใหญ่และสง่างามอย่างไร้ขอบเขต
ในทันทีที่สายตาเฉินซีกวาดไป เขาก็สังเกตเห็นได้ทันทีว่าแผนภาพที่จารึกไว้บนพื้นผิวของกำแพงหินอย่างหนาแน่น ดูเหมือนพวกมันกำลังตื่นจากการหลับใหล และเริ่มส่งเสียงคำรามไปตามกำแพงหิน และทันใดนั้น พวกมันก็กลายเป็นรูปปั้นศักดิ์สิทธิ์ขนาดมหึมาของคุนเผิง!
……….