บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1562 เผ่าจุลบรรพกาล
บทที่ 1562 เผ่าจุลบรรพกาล
……….
บทที่ 1562 เผ่าจุลบรรพกาล
สระน้ำมีความลึกทั้งหมดสิบห้าลี้ และยิ่งเขาลงไปลึกมากเท่าใด แรงกดดันก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
แต่ถึงกระนั้น แรงกดดันเล็กน้อยนี้ไม่ได้ส่งผลใด ๆ กับเฉินซี และสิ่งที่กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของเขาอย่างแท้จริง คือสระน้ำนี้ดูเหมือนจะลึกเกินหยั่ง…
ไม่เพียงเท่านั้น หญ้าวารีสีฟ้าอ่อนจำนวนมากก็เติบโตที่ก้นสระแห่งนี้ พวกมันนุ่มนวลราวกับแถบผ้าไหม และแกว่งไกวไปมาอย่างเงียบ ๆ ในขณะที่เปล่งแสงสีฟ้าอ่อนที่ดูเหมือนดาวดวงเล็ก ๆ มันช่างเป็นภาพลวงตา เหมือนฝัน และค่อนข้างงดงาม
หญ้าวารีเหล่านี้ระยิบระยับด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าพวกมันไม่ธรรมดา และอาจเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ชนิดหนึ่งที่ยังคงลึกลับ น่าเสียดายที่ข้าไม่มีเวลาตรวจสอบทั้งหมดนี้อย่างถี่ถ้วน เฉินซีพินิจพวกมันอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเบือนสายตาออกไป
ทันใดนั้น กลิ่นอายของชายหนุ่มก็หายไปจนหมด และดูคล้ายรูปปั้นดินเหนียวที่ไม่มีพลังชีวิตใด ๆ
เฉินซีกำลังรออยู่ เขากำลังรอโอกาสอันยอดเยี่ยมในการล่าและฆ่าศัตรูที่กำลังตามล่าตน
การสังหารผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเทวาสองคนก่อนหน้านี้ ทำให้เขาได้รับดวงแสงอีกสี่ลูก สองลูกมีกฎแห่งเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ส่วนอีกสองลูกเต็มไปด้วยเคล็ดวิชามากมาย
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีตระหนักได้ทันทีว่า บางทีหลังจากที่เขาสังหารศัตรูได้มากขึ้นแล้ว กฎแห่งเต๋าศักดิ์สิทธิ์ที่เขาได้รับจากพวกมัน ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาบรรลุเต๋าศักดิ์สิทธิ์ยันต์อักขระขั้นเริ่มต้น!
แน่นอนว่ามันง่ายที่จะพูด แต่แท้จริงแล้วเฉินซีกลับตระหนักดีว่า การบรรลุเป้าหมายนี้จะต้องสังหารศัตรูเป็นจำนวนที่สะพรึงอย่างแน่นอน อย่างน้อยที่สุดก็จะต้องมากกว่าหนึ่งร้อยคน
นั่นหมายความว่า มีแต่การสังหารผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเทวากว่าร้อยคนเท่านั้น ที่จะทำให้เฉินซีบรรลุเต๋าศักดิ์สิทธิ์ยันต์อักขระขั้นเริ่มต้นได้!
นี่เป็นเพียงผลลัพธ์ของการคาดคะเนเบื้องต้นของเฉินซี ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ว่ามันยากเย็นแสนเข็ญเพียงใดที่จะก้าวไปข้างหน้าโดยเข้าใจกฎแห่งเต๋าศักดิ์สิทธิ์
ถึงขนาดที่การล่าและสังหารศัตรูเพื่อปล้นกฎแห่งเต๋าศักดิ์สิทธิ์ของพวกมัน อาจถือได้ว่าเป็นวิธีที่สะดวก และหากเขาพึ่งพาตัวเองเพื่อทำความเข้าใจมัน ก็จะต้องใช้เวลาเนิ่นนานจนไม่อาจนับ
“ท่านยาย เราลืมเรื่องนี้เถอะ มันเสี่ยงเกินไป มิหนำซ้ำจะเกิดอะไรขึ้นถ้าท่านได้รับบาดเจ็บ? อาเหลียงคงรู้สึกผิดในใจไปตลอดชีวิต”
“ชู่ว อย่าเสียงดังมากนักยัยหนู เจ้ามีพรสวรรค์ที่ล้ำเลิศที่สุดในเผ่าเรา และคงน่าเสียดายอย่างยิ่ง หากเจ้าต้องติดอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต”
ทันใดนั้น คลื่นเสียงที่ส่งผ่านกระแสปราณซึ่งแผ่วเบาเหมือนปีกแมลงก็ถูกจับโดยอักขระผนึกเต๋า และพวกมันก็ดังในหูของเฉินซีอย่างชัดเจน
หือ? เฉินซีรู้สึกประหลาดใจ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตเหรอ?
หญ้าวารีจำนวนมากที่อ่อนนุ่มเหมือนแถบผ้าไหมเติบโตที่ด้านล่างของสระ และพวกมันแกว่งไกวไปมาอย่างสง่างาม เปล่งประกายด้วยแสงระยิบระยับราวกับแสงดาว ทันใดนั้น ก็มีคนกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่งกำลังเดินอยู่บนหญ้าวารีเหล่านั้น
คนที่เป็นผู้นำคือหญิงชราที่มีผมสีขาวและรูปลักษณ์ที่ดูสง่าผ่าเผย มีหญิงสาวคนหนึ่งอยู่ข้าง ๆ นาง หญิงสาวสวมชุดสีฟ้าอ่อน มีผมสีดำสนิท และก้มหน้าลงขณะที่เดินตามหญิงชราอย่างใกล้ชิด
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีกลุ่มองครักษ์ที่สวมชุดเกราะและมีท่าทีอาฆาตแค้นตามมาข้างหลังพวกนาง แต่ส่วนที่น่าหัวเราะก็คือ องครักษ์เหล่านี้ทั้งหมดมีศีรษะรูปร่างเหมือนเห็ด
สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดสำหรับเฉินซีคือขนาดของพวกมัน ซึ่งเล็กกว่านิ้วชี้ของเขาด้วยซ้ำ และพวกมันก็เหมือนกับมดแห่งภพมนุษย์ ตัวเล็กอย่างไม่น่าเชื่อ
เฉินซียังจำได้ว่าเมื่อเขาพบกับหลิงไป๋ครั้งแรกในวันนั้น เขาค่อนข้างแปลกใจกับความสูงของหลิงไป๋ แต่เมื่อเทียบกับคนตัวเล็ก ๆ เหล่านี้ที่อยู่ตรงหน้า หลิงไป๋กลับถือได้ว่าเป็น ‘ยักษ์’ อย่างแน่นอน
ช่างแปลกนัก นี่มันเผ่าพันธุ์อะไรกัน?
เฉินซีค่อนข้างอยากรู้อยากเห็น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับสิ่งมีชีวิตประเภทนี้ และสังเกตเห็นอย่างชัดเจนว่าถึงแม้พวกมันจะดูเล็กมาก แต่ร่างกายกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งพลังเทวะและไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะหญิงชราที่เป็นผู้นำ ทุกย่างก้าวของนางแฝงด้วยกลิ่นอายสง่าผ่าเผยอันสูงส่ง เห็นได้ชัดว่ามันเป็นกลิ่นอายกดดันและสง่างามตามธรรมชาติ ซึ่งมาจากการดำรงตำแหน่งที่สูงส่งมาเป็นเวลานาน
ถึงขั้นที่เฉินซีไม่กล้าใช้เจตจำนงเพื่อลอบสังเกตนาง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นางสังเกตเห็น
ในไม่ช้า คนเล็ก ๆ กลุ่มนี้ก็มาถึงสุดปลายของหญ้าวารี และยืนอยู่ที่นั่นขณะจ้องมองเฉินซีจากระยะไกล
“ฮ่า ฮ่า! ชายหนุ่มคนนี้ค่อนข้างหล่อเหลา ข้าชักสงสัยว่าความแข็งแกร่งของเขาเป็นเช่นไรบ้าง” หญิงชรากล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาที่ฟังรื่นหู
“ฝ่าบาท เรื่องนั้นไม่ยากเลยพ่ะย่ะค่ะ โปรดให้พวกกระหม่อมไปทดสอบความสามารถของเขา” ทหารองครักษ์ที่อยู่ข้างหลังกล่าวด้วยเสียงอันดังก้อง
“ห้ามเป็นอันขาด” เมื่อได้ยินสิ่งนี้ หญิงสาวชุดฟ้าอ่อนก็กังวลจนใบหน้าเล็ก ๆ ของนางแดงก่ำ “ใต้เท้าเหยียน นั่นอันตรายมาก จะเกิดอะไรขึ้นถ้าท่านได้รับบาดเจ็บ? มันคงจะไม่ใช่เรื่องดีนัก”
“องค์หญิง ท่านคงกลัวว่าข้าจะทำให้เด็กหนุ่มคนนั้นบาดเจ็บกระมัง?” ทหารองครักษ์คนนั้นหัวเราะคิกคัก
“ข้า…ไม่… ข้าไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ… แล้วข้า… แล้วข้าจะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร…” ใบหน้าของอาเหลียงแดงก่ำทันที นางทั้งเขินอายและเป็นกังวล ทำให้นางพูดติดอ่างและไม่สามารถพูดได้ชัดเจน
“เอาละ อาเหลียง เจ้ารออยู่ข้าง ๆ ยาย ปล่อยให้ใต้เท้าเหยียนและคนอื่น ๆ ทดสอบความสามารถของเจ้าหนุ่มคนนั้น ถ้าเป็นไปได้ ยายจะทำข้อตกลงกับเขาและให้รับประกันว่าจะพาเจ้าไปจากซากคุนเผิงได้อย่างปลอดภัย” หญิงชรายิ้มด้วยความอาทรและลูบศีรษะของอาเหลียงอย่างเอ็นดู
“ท่านยาย แต่ข้า… ข้าไม่อยากแยกจากท่าน” อาเหลียงพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เสียงของนางอ่อนโยนและแผ่วเบา ในขณะที่นางพูดนางก็สะอื้นเล็กน้อย ทำให้คนอื่นรู้สึกสงสารจับใจ
“ยัยเด็กโง่ บ้านเกิดของเผ่าจุลบรรพกาลของเราอยู่ที่แดนเทพ และในที่สุดก็พบกับความหวัง แล้วเราจะยอมแพ้ได้อย่างไร” หญิงชราผมขาวกล่าวด้วยใบหน้าที่ค่อย ๆ เคร่งขรึม “เมื่อหลายปีก่อน บรรพบุรุษของเรานำสมาชิกของเผ่าเราเดินทางไปยังแดนเต๋าโลกาวินาศกับจ้าวเต๋าคุนเผิง แต่พวกเขาก็ล้มตายในท้ายที่สุด”
ขณะที่กล่าว ใบหน้าที่เหี่ยวย่นก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้าเล็กน้อย
“ในทางกลับกัน คนหนุ่มสาวของเผ่าเรากับโชคร้ายยิ่งกว่า พวกเขาติดอยู่ภายในซากคุนเผิงมาจนถึงตอนนี้ ทั้งยังไม่สามารถหลุดพ้นจากพันธนาการนี้ได้ และหากเป็นเช่นนี้ต่อไป เผ่าจุลบรรพกาลของเราก็คงจะสูญสิ้นภายในซากคุนเผิงเป็นแน่แท้…”
เมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งนี้ เหล่าทหารองครักษ์ที่มีศีรษะรูปเห็ดก็แสดงสีหน้าเศร้าโศก ซ้ำยังกัดฟันด้วยความรันทดอย่างไม่รู้จบ
“ท่านยาย พอแล้ว อาเหลียงจะเชื่อฟังท่าน” ดวงตาของอาเหลียงแดงก่ำ หยาดน้ำตาระยิบระยับอยู่ภายใน ใบหน้าเล็ก ๆ ที่อ่อนโยน อ่อนแอและสวยงามก็ฉายแววหนักแน่นเล็กน้อย
นางตระหนักดีว่ามีเพียงท่านยายและทหารองครักษ์เหล่านั้น คือผู้ที่เหลืออยู่ในเผ่า และหากนางยังคงไม่สามารถจากไปได้ ในไม่ช้าคนกลุ่มผู้คนสุดท้ายในเผ่าก็คงจะพินาศสิ้น
เผ่าจุลบรรพกาล?
แดนเต๋าโลกาวินาศ?
เฉินซีได้ยินเรื่องทั้งหมดนี้ พลันอุทานซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความตกใจ ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าพวกเขาคือเผ่าจุลบรรพกาลในตำนาน!
ตามตำนาน เผ่านี้เป็นเผ่าที่มีขนาดเล็กที่สุดในฟ้าดิน พวกเขาถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่จุดเริ่มต้นเมื่อความโกลาหลถูกแยกออก แม้ว่าร่างกายจะเล็กและอ่อนแอมาก แต่พวกเขาก็เกิดมาเป็นเทพ อีกทั้งยังมีสติปัญญาล้ำเลิศ ดวงจิตแห่งเต๋าบริสุทธิ์ รวมทั้งผู้ยิ่งใหญ่จำนวนมากมายก็ถือกำเนิดมาจากเผ่านี้
แต่ถึงอย่างไร ย้อนกลับไปในช่วงยุคบรรพกาล เผ่านี้ได้หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ กลายเป็นตำนานที่เก่าแก่และยาวนานในสามภพ
เฉินซีไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้เห็นเผ่าในตำนานนี้ในแดนโลกาวินาศ และมันทำให้เขาค่อนข้างประหลาดใจ
ทว่าเขาไม่อาจรู้ว่า จ้าวเต๋าคุนเผิงคือใคร และซากคุนเผิงที่พวกเขากำลังพูดถึงคือสิ่งใด
“ใต้เท้าเหยียน ทดสอบความสามารถของชายหนุ่มคนนี้เถอะ จำไว้ว่าอย่าใช้กระบวนท่าที่อันตรายถึงชีวิต” ทันใดนั้น หญิงชราผมขาวออกคำสั่ง
“ขอรับฝ่าบาท!” ใต้เท้าเหยียนรับคำสั่งอย่างเคร่งขรึม จากนั้นจึงนำเหล่าทหารองครักษ์กระโจนเข้าใส่โดยตั้งใจโจมตีเฉินซี
“ช้าก่อน!” ในขณะนี้ เฉินซีไม่อาจกังวลเรื่องอื่นใดได้อีก พลันลืมตาแล้วตะโกนดังลั่น
“ฮะ?” เหล่าองครักษ์ต่างประหลาดใจกันถ้วนหน้า ทั้งยังมีท่าทางระมัดระวัง
“อ๊า!! ท่านยาย! เขา… เขาเห็นพวกเรา” อาเหลียงเบิกตากว้างและรู้สึกเหลือเชื่อ แต่เมื่อพบกับแววตาที่สุกใสของเฉินซี ใบหน้าเล็ก ๆ ของนางก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างอดไม่ได้ แล้วก้มศีรษะลงราวกับดรุณีที่ขวยเขินอย่างยิ่ง
“อาเหลียง ไม่ต้องกังวลไป สหายเต๋าคนนี้ไม่มีเจตนาร้ายใด ๆ” หญิงชราผมขาวปลอบประโลมอาเหลียง ขณะที่กล่าว นางกลับมองไปที่เฉินซีแทน ซึ่งดูตรงไปตรงมา ใบหน้าที่สงบนิ่งก็เผยท่าทางอันสง่างาม
“ใช่ ข้าไม่มีเจตนาร้ายใด ๆ” เฉินซีกล่าวว่า “ข้าแค่สงสัยว่าทำไมพวกเจ้าทุกคนถึงตั้งใจที่จะทดสอบความแข็งแกร่งของข้า? แล้วเกี่ยวอะไรกับไปจากซากคุนเผิง?”
หญิงชราผมขาวดูเหมือนจะตกใจ และนางจ้องมองเฉินซีอย่างว่างเปล่า ก่อนที่จะกล่าวว่า “เจ้าได้ยินทุกอย่างแล้วหรือ?”
เฉินซียิ้มแต่ไม่ได้อธิบาย
“อ๊า! ท่านยาย! ทั้งที่เราสนทนาผ่านกระแสปราณ แล้วไยเขาถึงได้ยิน?!” อาเหลียงเงยหน้าขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น และนางก็ประหลาดใจเล็กน้อย แต่เมื่อนางพบกับสายตาของเฉินซี นางก็ก้มศีรษะลงอีกครั้งทันที ทั้งยังเขินอายมากยิ่งกว่าเดิม
“ยัยเด็กโง่ โลกใบนี้มีผู้คนมากมายที่มีความสามารถและเคล็ดวิชาอันลึกล้ำต่าง ๆ มันไม่มีสิ่งใดที่แน่นอน” หญิงชราผมขาวยิ้ม พลางมองไปที่เฉินซี “พ่อหนุ่ม ในเมื่อเจ้ารู้ถึงต้นกำเนิดของเราแล้ว ข้าจะไม่อ้อมค้อมอีกต่อไป เหตุผลที่เราต้องการทดสอบความแข็งแกร่งก็เพื่อจะไหว้วานให้ช่วยพาสาวน้อยอาเหลียงไปจากซากคุนเผิงพร้อมกับเจ้า”
ก่อนที่เฉินซีจะทันได้กล่าว นางก็กล่าวขึ้น “พ่อหนุ่ม เจ้าช่วยบอกข้าได้หรือไม่ว่าการบ่มเพาะของเจ้าอยู่ที่ขอบเขตใด?”
“ขอบเขตเทวารู้แจ้งโลกา” เฉินซีไม่ได้ปิดบัง
ขอบเขตเทวารู้แจ้งโลกาเหรอ? เห็นได้ชัดว่าหญิงชราผมขาวผิดหวังเล็กน้อย จากนั้นก็นางส่ายศีรษะ “อนิจจา ช่างโชคร้ายจริง ๆ หากเจ้าอยู่ที่ขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณ บางทีเจ้าอาจจะเปิดผนึกคุนเผิงภายใต้ความช่วยเหลือของข้า….”
แต่ดูเหมือนว่าอาเหลียงจะยินดีแทน “ ท่านยาย หากเป็นเช่นนั้น ข้าคงไม่ต้องจากไปแล้วกระมัง?”
หญิงชราผมขาวคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหายใจเข้าลึก ๆ ในที่สุด ซึ่งดูเหมือนนางจะตัดสินใจอะไรบางอย่าง “พ่อหนุ่ม ข้าสังเกตเห็นว่าเจ้าติดอยู่ภายในซากคุนเผิงนี้เช่นกัน และเจ้าไม่สามารถหลุดพ้นไปได้ หากเจ้าตกลงที่จะพาอาเหลียงไปยังแดนเทพ ข้าจะมอบของกำนัลชิ้นใหญ่แก่เจ้า ซึ่งจะช่วยให้เจ้ามีโอกาสหลบหนีได้ถึงแปดส่วน”
เฉินซีตกตะลึง จากนั้นกล่าวอย่างช่วยไม่ได้ “ผู้อาวุโส ท่านเข้าใจสิ่งใดผิดแล้วกระมัง? ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าซากคุนเผิงคือสิ่งใด แล้วข้าจะติดอยู่ได้อย่างไร?”
“เจ้าไม่รู้เหรอ?” ไม่ใช่แค่หญิงชราผมขาวเท่านั้น แม้แต่สมาชิกคนอื่น ๆ ของเผ่าจุลบรรพกาลก็ตกตะลึงเช่นกัน
“พ่อหนุ่ม หรือตัวเจ้าจะไม่รู้ว่าตอนนี้กำลังอยู่ที่ไหน?” หญิงชราผมขาวอดไม่ได้ที่จะถามอีกครั้ง
“ข้ารู้ แดนโลกาวินาศ” เฉินซีตอบอย่างสบาย ๆ
“แดนโลกาวินาศ… หึ ข้าเข้าใจแล้ว เป็นความผิดของข้าเอง เวลาผ่านไปหลายล้านปีแล้ว และโลกก็เปลี่ยนไป อาจมีเพียงไม่กี่คนที่รู้เกี่ยวกับซากคุนเผิงในตอนนี้” คิ้วของหญิงชราผมขาวขมวดแน่น ขณะที่นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นนางก็เข้าใจและถอนหายใจยาวแรง
“ผู้อาวุโส หรือว่าแดนโลกาวินาศคือ… ซากของคุนเผิงที่ท่านกล่าวถึง?” เฉินซีก็ตระหนักได้เช่นกัน แล้วพลันกล่าวด้วยความตกใจทันที
……….