บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1556 ปฏิบัติการล่าสังหาร
บทที่ 1556 ปฏิบัติการล่าสังหาร
……….
บทที่ 1556 ปฏิบัติการล่าสังหาร
เอกภพสมุทรทักษิณา?
เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงส่ายศีรษะในท้ายสุด เป็นเพราะเขายังไปไม่ถึงเอกภพมสิหิม แล้วเขาจะมีอารมณ์มาสนใจเอกภพสมุทรทักษิณาได้อย่างไร
หลังจากนั้น เถี่ยคุนได้มอบแผนที่ให้กับเฉินซี และแผนภาพของดาราจักรทั้งสามพันแห่งของเอกภพมสิหิมถูกวาดไว้บนนั้น ยิ่งไปกว่านั้น มันยังระบุเส้นทางที่จะมุ่งหน้าไปยังดาราจักรศิลาหยกซึ่งนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิตก่อตั้งอยู่ที่นั่นอย่างชัดเจน
หลังจากทำทั้งหมดนี้แล้ว เถี่ยคุนก็บอกลาและจากไป เพื่อให้เฉินซีได้มุ่งความสนใจไปที่การฟื้นฟูพลังของตัวเองอย่างเต็มที่
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม วันนี้ข้าต้องไปจากที่นี่…
เฉินซีหายใจเข้าลึก ๆ พลันขจัดความคิดฟุ้งซ่านที่อยู่ในใจ แล้วจึงนั่งสมาธิเพื่อบ่มเพาะ
แม้ว่าการต่อสู้ครั้งก่อนจะสิ้นสุดลง แต่ปัญหาในภายภาคหน้าก็ยังไม่หมดสิ้น และเขาตระหนักดีว่า หากอี้เทียนนายน้อยสามแห่งตระกูลต้าอี้ตามมาทัน ผลที่ตามมาย่อมยากที่จะจินตนาการได้
ดังนั้นเขาจึงต้องจากไปในวันนี้
ไม่ว่าจะไปใดก็ดีกว่ารั้งอยู่ที่นี่
……
ฟิ่ว!
ภายในป่าโบราณที่ตั้งตระหง่านอยู่ในเมฆ ลูกศรศักดิ์สิทธิ์สีดำพุ่งทะลุอากาศราวกับสายฟ้า และพุ่งไปในระยะไกลอย่างดุเดือด
ในเวลาสั้น ๆ เสียงร้องโหยหวนอันน่าสังเวชก็ดังก้องมาจากระยะไกล
“ทักษะอันยอดเยี่ยม ข้าเชื่อว่าอีกไม่นานนายน้อยจะสามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนธนู และกลายเป็นปรมาจารย์นักธนูที่แท้จริงของตระกูล! ซึ่งหากท่านบรรพบุรุษได้ยินเรื่องนี้ ท่านจะต้องยินดีปรีดาอย่างแน่นอน” ภายในป่า ลุงเก้าปรบมือและชมเชย
เหล่าองครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างเคียง ต่างก็ส่งเสียงโห่ร้องอย่างไม่สิ้นสุดเช่นกัน
อี้เทียนผู้สวมชุดคลุมสีขาวและมีรูปลักษณ์หล่อเหลา พลันโยนคันธนูให้คนรับใช้ที่อยู่ใกล้เคียง จากนั้นยิ้มเบา ๆ “พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องเยินยอข้าหรอก ข้ารู้ตัวดีว่ายังอยู่ห่างจากขอบเขตเซียนธนูเพียงใด”
แม้เขาจะกล่าวเช่นนี้ แต่รอยยิ้มอันภาคภูมิก็ปรากฏที่ริมฝีปาก
เสียงกรอบแกรบดังขึ้น องครักษ์ผู้หนึ่งได้ลากร่างที่บาดเจ็บสาหัสและหมดสติเข้ามา จากนั้นก็โค้งคำนับ “นายน้อย นี่คือเหยื่อของท่าน”
“จะมีประโยชน์อะไรที่จะเก็บมันไว้ถ้ามันมีพลังที่ต่ำเช่นนี้? ฆ่ามันซะ” อี้เทียนไม่แม้แต่จะเหลือบแลร่างนั้น ก่อนจะโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ
“ขอรับ”
พรวด!
องครักษ์ฟาดฝ่ามือเข้าใส่ทันที และทำลายวิญญาณภายในร่างนั้นจนแตกสลาย
“ช่างน่าเบื่อยิ่งนัก เดิมทีข้าคิดว่าตั้งแต่แดนโลกาวินาศถูกเปิดออก และพลังแห่งความหายนะได้พัดผ่านภพเบื้องล่าง ข้าอาจสามารถจับเหยื่อที่น่าเกรงขามได้ แต่ใครจะคิดว่าความแข็งแกร่งของเหยื่อเหล่านี้ มีแต่จะเลวร้ายลงเท่านั้น” อี้เทียนส่ายศีรษะด้วยความจนใจเล็กน้อย จากนั้นก็นึกถึงบางสิ่งบางอย่างและกล่าวว่า “จริงสิ มีข่าวเกี่ยวกับเจ้าเด็กนั้นบ้างหรือไม่?”
ทันทีที่สิ้นคำ สีหน้าของทุกคนก็มืดมนเล็กน้อย พวกมันตระหนักดีว่านายน้อยสามอี้เทียนกำลังกล่าวถึงเฉินซี ชายหนุ่มมากเล่ห์และน่าเกรงขามจากภพเบื้องล่าง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งลุงเก้า สีหน้าก็ดูมืดมนเป็นพิเศษ เพราะในวันนั้น เขาเกือบจะถูกฆ่าตาย และเรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกเสียใจอย่างยิ่งมาตั้งแต่วันนั้น
เหตุผลก็คือ ในระหว่างการต่อสู้ครั้งนั้น เขาไม่สามารถใช้พลังของเต๋าแห่งคันศรได้อย่างเต็มที่ และทำได้เพียงต่อสู้กับเฉินซีในระยะประชิดเท่านั้น มิหน้ำซ้ำยังกลายเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบ
“ช่างน่าสนใจ เจ้าเด็กนั่นสามารถซ่อนตัวได้จนถึงตอนนี้ ข้ายิ่งต้องการให้มันยอมจำนนเป็นทาสเทพของข้ามากขึ้น” อี้เทียนหัวเราะเบา ๆ และแววตาทอประกายครุ่นคิด
“แต่นายน้อย เรามีเวลาอีกเจ็ดวันเท่านั้น หากเรายังไม่กลับไปในเวลานั้น ท่านจะไม่สามารถลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมการชุมนุมล่าดารา ซึ่งจัดขึ้นโดยจักรพรรดินีอวี้เชอได้” ลุงเก้าลังเลและกล่าวเตือน
อี้เทียนตกตะลึง จากนั้นโบกมือ “ยังเหลืออีกเจ็ดวันมิใช่หรือ? เราจะทำให้ทันเวลา”
ฟิ่ว!
ในขณะนี้ เสียงแหลมคมของอากาศถูกแยกออกจากกันดังกึกก้องมาจากระยะไกล พร้อมกับเสียงนี้ สายฟ้าสีแดงเลือดก็มาถึงในบัดดล มันหยุดอยู่กลางอากาศ และกลายร่างเป็นสตรีนางหนึ่งอย่างรวดเร็ว
นางสวมชุดสีเหลือง มีผมสวยพลิ้วไหวดุจน้ำตก และสีหน้าเฉยเมย น่าตกใจที่นางคืออวี้เฉินที่หลบหนีและรอดพ้นความตายจากเฉินซี
แต่กระนั้น ใบหน้าของนางก็ดูซีดเซียวและโปร่งแสงอย่างน่าสยดสยอง กลิ่นอายอ่อนแอ เห็นได้ชัดว่านางยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บที่ได้รับอย่างเต็มที่
“อวี้เฉิน เกิดเรื่องอันใดขึ้น?” อี้เทียนกล่าวด้วยความประหลาดใจ
คนอื่น ๆ หันมองอย่างต่อเนื่องเช่นกัน และเผยให้เห็นถึงความตกใจเล็กน้อย พวกเขาตระหนักดีว่าอวี้เฉินเป็นผู้ขัดเกลากายา และการบ่มเพาะของนางก็เกือบจะบรรลุขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณแล้ว แม้แต่ลุงเก้าก็ไม่กล้าดูแคลน
แต่ในขณะนี้ นางกลับได้รับบาดเจ็บสาหัสและมีสภาพที่ดูไม่ได้ หลังจากที่ต้องหลบหนีเพื่อเอาชีวิตรอด แล้วพวกเขาจะไม่ตกใจได้อย่างไร?
“นายน้อยสาม ข้าขออภัยด้วย ความแข็งแกร่งของเหยื่อนั้นน่าสะพรึงเกินไป และการปฏิบัติการก็ล้มเหลว…” อวี้เฉินมีสีหน้ามืดมนขณะที่ตอบอย่างขมขื่น
คนอื่น ๆ ต่างหันมองหน้ากัน แม้ว่าพวกเขาจะคาดเดาผลลัพธ์ได้ แต่ก็ยังรู้สึกไม่เชื่อเล็กน้อย เมื่อได้ยินจากปากของอวี้เฉินเอง
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” อี้เทียนขมวดคิ้วพลางกล่าว
อวี้เฉินหายใจเข้าลึก ๆ และไม่กล้าปิดบังอะไร นางบรรยายทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างการต่อสู้
“อะไรนะ? เจ้าเด็กนั่นเพียงคนเดียวกลับบดขยี้ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเทวารู้แจ้งโลกาได้ ทั้งยังเกือบฆ่าเจ้าสำเร็จด้วย?” ทุกคนต่างอุทานด้วยความตกใจ และสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
อี้เทียนและลุงเก้าสบตากัน ทั้งคู่ต่างสังเกตความตกใจในแววตาของกันและกัน แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว พวกเขาค่อนข้างสงบ
ถึงขนาดที่ลุงเก้ากังวล เพราะแม้แต่เขายังเกือบจะพ่ายแพ้ให้กับเฉินซี นับประสาอะไรกับกลุ่มผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเทวารู้แจ้งโลกา ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาต้องตกใจอย่างแท้จริง กลับกลายเป็นความพ่ายแพ้ของอวี้เฉิน
เป็นเพราะนางคือผู้ขัดเกลากายา แล้วนางจะพ่ายแพ้อย่างอนาถเช่นนี้ได้อย่างไร?
“มีเหตุผลสองประการที่ทำให้เจ้าเด็กนั้นรับมือได้ยาก ประการแรก พลังยุทธ์ของมันเหนือกว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตเทวารู้แจ้งโลกาทั่วไป และประการที่สอง เป็นเพราะมันครอบครองสมบัติวิญญาณธรรมชาติที่น่าสะพรึงกลัวถึงสองชิ้น” ในเวลาไม่นาน อวี้เฉินก็ให้คำตอบแก่พวกเขา “หนึ่งในนั้นคือเหรียญทองแดงโปรยสมบัติของนิกายอำนาจเทวะ!”
“อะไรนะ?” ในเวลานี้ ลุงเก้าและอี้เทียนก็ตกใจเช่นกัน และพวกเขาก็อุทานด้วยความประหลาดใจ เพราะเห็นได้ชัดจากสิ่งนี้ ว่าพวกเขาต้องทนทุกข์ทรมานจากเหรียญทองแดงโปรยสมบัติมากเพียงใด
“เจ้าแน่ใจหรือ?” อี้เทียนอดไม่ได้ที่จะถามคำถามนี้
“แน่นอน หากมันไม่ได้ใช้เหรียญทองแดงโปรยสมบัติ ข้าคงไม่พ่ายแพ้อย่างอนาถเช่นนี้เป็นแน่แท้” อวี้เฉินกัดฟันกล่าว น้ำเสียงแสดงถึงความโกรธเกรี้ยวสุดขีด
“หากเป็นเช่นนี้ หรือว่ามันมาจากนิกายอำนาจเทวะ?” คิ้วของลุงเก้าขมวดเข้าหากัน และสีหน้าของเขาก็หนักแน่นมาก
“ไม่มีทางเป็นอันขาด” อี้เทียนปฏิเสธโดยไม่ลังเล “ถ้ามันเป็นคนของนิกายอำนาจเทวะจริง แล้วมันจะไม่รู้กฎเกณฑ์ของแดนโลกาวินาศได้อย่างไร”
“ข้าสงสัยว่ามันก็ไม่ใช่เช่นกัน ประการแรก เป็นเพราะมันไม่เข้าใจพลังศักดิ์สิทธิ์แห่งภัยพิบัติเลยสักนิด และประการที่สอง เป็นเพราะสมบัติวิญญาณธรรมชาติอื่น ๆ ที่อยู่ในความครอบครองของมัน” อวี้เฉินกล่าว
“โอ้?” คนอื่น ๆ จ้องมองอวี้เฉินอย่างต่อเนื่อง
“เพราะสมบัติวิญญาณธรรมชาตินั้น ดูเหมือนจะเป็น… ตาข่ายครอบคลุมสวรรค์…” อวี้เฉินลังเลอยู่นาน ก่อนที่นางจะกล่าวด้วยความไม่แน่ใจ
ตาข่ายครอบคลุมสวรรค์!
ทุกคนต่างตะลึงลาน
“หากเจ้ากล่าวเช่นนั้น มันอาจเกี่ยวข้องกับเขาเทพพยากรณ์ ซึ่งจริง ๆ ข้าก็เคยต่อสู้กับมันมาแล้วครั้งหนึ่ง เต๋าแห่งกระบี่ของมันแฝงไปด้วยเต๋าแห่งยันต์อักขระ คล้ายกับมรดกของเขาเทพพยากรณ์มาก โดยที่ตัวข้าเองก็สงสัย แต่ไม่กล้ายืนยัน” ลุงเก้าครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งก่อนที่จะกล่าวขึ้น
“มันแปลกนัก ถ้าเจ้าเด็กนั้นเกี่ยวข้องกับหนึ่งในสองนิกายนี้ ต้นกำเนิดของก็มันไม่ธรรมดาเป็นแน่แท้ แต่มันกลับมาที่แดนโลกาวินาศเพียงลำพัง และดูเหมือนจะไม่รู้กฎของที่นี่แม้แต่น้อย มันช่างแปลกจริง ๆ” คนอื่น ๆ ต่างสับสนอย่างมากเมื่อได้ยินสิ่งนี้
“ฮึ่ม! ยิ่งเป็นแบบนี้ก็ยิ่งตั้งตารอที่จะจับเจ้าเด็กนั่นมากขึ้น” ทันใดนั้น อี้เทียนก็มีท่าทางตื่นเต้นที่หาได้ยาก “เหยื่อเช่นนี้จึงจะเป็นเหยื่อที่แท้จริง! ที่เหลือล้วนเป็นกลุ่มแกะที่กำลังรอการเชือด และมันก็ไม่ได้ท้าทายแต่อย่างใด!”
คนอื่น ๆ ต่างตกตะลึงในใจ “นายน้อย ท่านทำไม่ได้!”
“นายน้อย ตัวตนของเด็กคนนี้ไม่ธรรมดา ข้าคิดว่าเราควรหยุดเรื่องนี้ไว้ก่อน” ลุงเก้าเกลี้ยกล่อมจากด้านข้าง
ตระกูลต้าอี้ของพวกเขาถือได้ว่าเป็นกองกำลังชั้นยอดที่มีอำนาจอันยิ่งใหญ่ในสามพันดาราจักรของเอกภพมสิหิม มิหนำซ้ำยังควบคุมจักรวาลมากมาย แต่มันก็ด้อยกว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับนิกายอำนาจเทวะ
สำหรับเขาเทพพยากรณ์ นิกายนี้ลึกลับพิศวงเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ในโลกใบนี้จะไม่มีทีท่าว่าทายาทของมันได้ปรากฏขึ้น แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาเทพพยากรณ์นั้นไม่น่าสะพรึงอย่างที่คิด
ซึ่งลุงเก้าก็ทราบดีว่าภายในแดนเทพโบราณทั้งหมด มีตำนานของฝูซี ปรมาจารย์แห่งเขาเทพพยากรณ์มากมายนับไม่ถ้วน ทุกคนในแดนเทพโบราณทั้งหมดล้วนรู้เกี่ยวกับคนผู้นี้
“หยุดเรอะ? ฮึ่ม! เจ้าเด็กนี่ยังไม่ได้เปิดเผยตัวของมัน แล้วทำไมข้าถึงควรหยุด? ลุงเก้า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป จงใช้เส้นสายที่ตระกูลอี้ของเรามีในแดนโลกาวินาศทั้งหมดเพื่อจับตัวเจ้าเด็กนั้นให้จงได้!” ในขณะนี้ อี้เทียนดูเหมือนจะจองหองอยู่บ้าง และกล่าวด้วยสายตาที่เร่าร้อน
คนอื่น ๆ ยังมีความตั้งใจที่จะเกลี้ยกล่อมผู้เป็นนาย แต่อี้เทียนพลันเผยสีหน้าเคร่งขรึมทันที “ทำตามที่ข้าบอกเถอะ หากมีเหตุร้ายเกิดขึ้น ข้าจะรับผิดชอบเอง!”
คนอื่น ๆ ปิดปากทันทีและไม่กล่าวอะไรอีก
“นายน้อย สำหรับเรื่องนี้ข้าคิดว่าเราควรแจ้งให้นิกายอำนาจเทวะทราบก่อน หากเจ้าเด็กนั่นเป็นศิษย์ของนิกายอำนาจเทวะ ผลที่ตามก็จะร้ายแรงยิ่ง” ลุงเก้าครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะกล่าวขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“ไม่ได้เป็นอันขาด!” อี้เทียนกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว “ไม่เพียงแต่เราจะไม่แจ้งต่อนิกายอำนาจเทวะเท่านั้น ข้าจะไม่ยอมปล่อยให้ข้อมูลของเจ้าเด็กนี้รั่วไหลอย่างเด็ดขาด!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ลุงเก้าก็เข้าใจทันทีว่านายน้อยสามของเขาอยากได้เหรียญทองแดงโปรยสมบัติและตาข่ายครอบคลุมสวรรค์ที่เด็กคนนั้นครอบครองอยู่ มิหนำซ้ำ ยังต้องการฆ่าคนปิดปากอีกเช่นกัน
“เริ่มปฏิบัติการได้” อี้เทียนโบกมือ “หากปฏิบัติการนี้ล้มเหลว เช่นนั้นเราก็จะติดอยู่ในแดนโลกาวินาศไปตลอดกาล!”
……
ฟิ่ว!
ใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน มีร่างหนึ่งพุ่งผ่านอวกาศ และบินไปไกลอย่างไม่หยุดยั้ง หากใครไม่สังเกตอย่างระมัดระวัง ก็ไม่มีทางที่จะพบร่องรอยของเขาได้
ต่างจากที่อื่น ๆ ค่ำคืนในแดนโลกาวินาศดูเหมือนจะมืดมนและน่าสยดสยองเป็นพิเศษ มันไม่มีดวงดาวหรือดวงจันทร์ ทั้งยังมืดสนิทเหมือนหมึกที่หนาทึบ
ตามที่คาดไว้ อักขระผนึกเต๋านี้ไม่เพียงแต่สกัดพลังที่กวาดเข้ามาเพื่อระบุตำแหน่งข้าเท่านั้น แต่ยังสามารถปกปิดพลังของข้าในเวลาเดียวกันอีกด้วย ร่างที่เหินทะยานอยู่นั่นคือเฉินซี
เขาอาศัยผลึกศักดิ์สิทธิ์เพื่อฟื้นฟูพลังบ่มเพาะในขณะที่บิน และตอนนี้เขาได้ฟื้นฟูความแข็งแกร่งเกือบครึ่งหนึ่งแล้ว
อย่างไรก็ตาม มันยังอีกไกลกว่าที่เฉินซีจะใช้พลังเต็มพิกัดได้ และหากเผชิญผู้เยี่ยมยุทธ์เฉกเช่นลุงเก้า ก็คงต้องพินาศอย่างแน่นอน
แต่นับว่าโชคดี สิ่งที่ทำให้รู้เฉินซีรู้สึกโล่งใจ เพราะอักขระผนึกเต๋าที่ห่อหุ้มเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์วิญญาณนั่น สามารถปกปิดกลิ่นอายได้อย่างยอดเยี่ยม เว้นแต่จะพบกับตัวตนน่าสะพรึงกลัวซึ่งครอบครองสามารถพิเศษในการตรวจจับ มิฉะนั้นคนทั่วไปจะไม่อาจสัมผัสถึงกลิ่นอายได้อย่างสมบูรณ์ แม้ว่าจะสังเกตเห็นร่องรอยของเขาก็ตาม
ข้าจะสามารถฟื้นฟูพลังบ่มเพาะทั้งหมดของข้าได้ราวรุ่งสางพรุ่งนี้…
เฉินซีสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของตัวเอง และรู้สึกมั่นใจมากขึ้น ชายหนุ่มตระหนักดีว่าหากผ่านคืนนี้ไปได้ ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกไล่ล่าโดยกลุ่มของนายน้อยสามแห่งตระกูลอี้อีกต่อไป
สิ่งเดียวที่ทำให้เฉินซีต้องขมวดคิ้ว นั่นคือต้องใช้วิธีใดในการฝ่าแนวป้องกันอันหนาแน่นของนิกายอำนาจเทวะและเข้าสู่เอกภพมสิหิมได้อย่างราบรื่นด้วยพลังยุทธ์ในปัจจุบัน?
……….