บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1551 เพียงหนึ่งกระบวนท่า
บทที่ 1551 เพียงหนึ่งกระบวนท่า
……….
บทที่ 1551 เพียงหนึ่งกระบวนท่า
ไอ้สารเลวพวกนี้ไม่ยอมจากไปจริง ๆ!
เมื่อยืนยันว่าคนเหล่านั้นถูกส่งมาโดยชายหนุ่มชุดขาวจากตระกูลต้าอี้ จิตสังหารอันรุนแรงก็ปะทุในใจของเฉินซีทันที
สีหน้าพลันเย็นชาและไม่แยแส ดวงตาพลุ่งพล่านราวกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากร่างลุกโหมดั่งเปลวไฟ ประหนึ่งกลายเป็นกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ที่ซึ่งเผยคมกระบี่อันไร้เทียมทานของมัน!
ฟิ่ว!
เฉินซีทะยานออกไปโดยไม่ลังเล และปรากฏตัวกลางอากาศท่ามกลางสนามรบ แม้ดูเหมือนเขาจะไม่ขยับเขยื้อนใด ๆ แต่กลับนำเถี่ยคุนออกจากวงล้อมแล้ว
“ในเมื่อพวกมันมาหาข้า ก็ปล่อยให้ข้าจัดการเถิด” ในขณะนี้ ร่างกายของเถี่ยคุนอาบโชกไปด้วยเลือด ลมปราณปั่นป่วนวุ่นวาย และหากเฉินซีมาไม่ทันการณ์ ชีวิตของเขาคงดับสิ้นในการต่อสู้ครั้งนี้
“ขอบคุณ” เถี่ยคุนจ้องมองเฉินซีที่ยืนอยู่เคียงข้าง และกล่าวผ่านกระแสปราณด้วยเสียงแหบแห้ง “พวกมันมาจากกองกำลังต่าง ๆ ในแดนเทพโบราณ แต่ได้รับคำสั่งจากอี้เทียน นายน้อยสามของตระกูลต้าอี้ มาเพื่อจับกุมเจ้า เจ้าต้องระวังตัว แล้วหลบหนีโดยเร็วที่สุด หากเจ้าไม่สามารถเอาชนะพวกมันได้”
“ข้าเข้าใจแล้ว” เฉินซีพยักหน้าด้วยท่าทางสงบ
……
เมื่อเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเทวารู้แจ้งโลกาที่ต่อสู้กับเถี่ยคุนเห็นสิ่งนี้ พวกมันไม่ได้ไล่ตามเถี่ยคุนอีกต่อไป และจดจ้องเฉินซีด้วยความสนใจแทน ซ้ำยังเผยให้เห็นรอยยิ้มที่เย็นชา
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าเหรอ? ฮ่า ๆ! ช่างเป็นสารเลวจ้อยร่อยที่ยโสอะไรเช่นนี้!” มีคนแผดหัวร่ออย่างเย้ยหยัน
“ฮ่า ฮ่า! อภัยให้คนโง่เขลาผู้นี้เถิด พวกที่มาจากภพที่ต่ำกว่าเช่นมัน ล้วนคิดว่าตนเองมีฝีมือแกร่งกล้า อีกทั้งยังคิดว่าแดนโลกาวินาศเป็นดั่งโลกที่พวกมันเคยอยู่ในอดีต” ผู้คนประสานเสียงหัวเราะดังลั่น
“จับมัน! อย่ามัวเสียเวลาอีกเลย” อีกคนกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว
โครม โครม โครม!
ขณะที่กล่าว ทั้งสามก็เปิดฉากโจมตี พวกมันควักค้อนศักดิ์สิทธิ์สีม่วง ธงสีเขียว และตราประทับโบราณออกมาตามลำดับ ซึ่งระเบิดแสงศักดิ์สิทธิ์เรืองรองต่าง ๆ พร้อมกับฟาดเข้าใส่เฉินซีอย่างดุเดือด
“ฮึ่ม!” เมื่อเผชิญกับสิ่งนี้ เฉินซีสะบัดแขนเสื้อวูบหนึ่ง บังเกิดเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ที่แผ่ขยายจนก่อตัวเป็นแผ่นยันต์โบยบินออกไป และมันเปล่งเสียงดังกึกก้องที่ทำให้วิญญาณสั่นคลอน
ทันใดนั้น ฟ้าดินอันกว้างใหญ่นี้ ผังยันต์เทวะก็ปรากฏขึ้น เข้าปกคลุมรอบ ๆ อย่างหนาแน่น พวกมันผสมผสานเข้าด้วยกัน ทำให้ปรากฏการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวปรากฏขึ้นในฟ้าดิน
ครืน!
การโจมตีทั้งหมดสลายไป แสงศักดิ์สิทธิ์ระเบิดขึ้นอีกครั้งและทำให้โลกสว่างไสว
ในทางกลับกัน ผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งสามต่างสั่นสะท้านด้วยการโจมตีครั้งนี้จนเซกลับไปสองสามก้าว ผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิดนี้ทำให้สีหน้าของมันเปลี่ยนไปทันที ทั้งยังตกใจอย่างมาก
ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก
เฉินซีไม่ได้ใช้สมบัติศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ แต่กลับสลายการโจมตีของพวกมันได้ด้วยตนเอง แล้วความแข็งแกร่งเช่นนี้จะไม่ทำให้ตกใจได้อย่างไร?
“รับมือ!” ทันใดนั้น ผู้เยี่ยมยุทธ์คนหนึ่งได้พุ่งเข้าใส่อีกครั้ง ค้อนในมือเปล่งแสงสีม่วงครอบคลุมฟ้าดิน และแสงศักดิ์สิทธิ์ลุกโชนอย่างที่ไม่มีใครเทียบได้ก็พุ่งทะยานผ่านผืนฟ้า คลื่นพลังผันผวนที่ปลดปล่อยออกมาจากมันก็ทำให้ทำฟ้าดินมืดสลัวลง
คนผู้นี้มีผมสีทอง มีรูปร่างสูงใหญ่กำยำ ดูเหมือนเทพแห่งสงครามที่ดุร้ายและกล้าหาญ ทั้งยังเปี่ยมด้วยพลังอันไร้ขีดจำกัด
ตู้ม!
เสียงระเบิดขนาดมหึมาที่ทำให้สวรรค์สั่นสะเทือนดังก้อง เฉินซีพุ่งไปข้างหน้าเพื่อปะทะกับการโจมตีนี้ ฝ่ามือของเขาฟาดเข้ากับค้อนศักดิ์สิทธิ์สีม่วง ทำให้กระแสลมพัดโหมระหว่างทั้งสองอย่างรุนแรง
เฉินซีไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ ทั้งสิ้น
แต่ชายผมทองกลับถูกโจมตีจนร่างกายสั่นสะท้าน สีหน้าซีดลงอย่างน่าสยดสยอง ค้อนศักดิ์สิทธิ์สีม่วงในมือเกือบจะระเบิดเป็นชิ้น ๆ
“บัดซบ!” เขาคำรามอย่างเกรี้ยวกราด ในขณะที่ผมสีทองตั้งชูชัน และพุ่งไปข้างหน้าเพื่อโจมตีเฉินซีอีกครั้ง
ในเวลาเดียวกัน ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเทวารู้แจ้งโลกาอีกสองคนที่ถือธงสีเขียวและตราประทับโบราณก็พุ่งตัวออกไปเช่นกัน ทั้งสองต่างเผยสีหน้าอันเคร่งขรึม เพราะตระหนักแล้วว่าเฉินซีนั้นพิเศษเพียงใด และโดยธรรมชาติแล้วพวกมันก็ไม่กล้าลังเลที่จะโจมตี
ทันใดนั้น เฉินซีก็ติดอยู่ในวงต่อสู้กับทั้งสาม เสียงระเบิดดังก้องกังวาน แสงเจิดจ้าสว่างไสวพลุ่งพล่าน มันสั่นสะท้านฟ้าดินอันกว้างใหญ่นี้ ในขณะที่อวกาศก็ถูกระเบิดออกเป็นเสี่ยง ๆ เกิดเป็นเหตุการณ์โกลาหลอันสุดขั้ว
……
“หืม? เจ้าเหยื่อจากภพเบื้องล่างนี้ไม่เลวเลย ไม่แปลกใจที่นายน้อยสามโปรดปรานมันจนถึงกับออกคำสั่งให้จับกุมตัว และทำให้เชื่องในฐานะทาสเทพ”
หญิงสาวชุดเหลืองที่ยืนอยู่ห่างไกลออกไปกล่าวด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย เส้นผมเงางามถูกปล่อยลงมาดุจน้ำตก ดวงตาระยิบระยับราวกับอัญมณีที่เปล่งประกายสีเขียว ทั้งยังมีรูปลักษณ์ที่งดงามราวกับเทพธิดาบนสรวงสวรรค์ นอกจากนี้ ทุก ๆ การกระทำของนางก็ส่อถึงความเย่อหยิ่งและอำนาจสูงสุด
“แม่นางอวี้เฉินกล่าวถูกแล้ว เหยื่อที่นายน้อยสามโปรดปรานย่อมฝีมือไม่ด้อย มิฉะนั้น นายน้อยคงไม่ส่งพวกเราออกไปหาค้นหาทั่วแดนโลกาวินาศเพื่อจับกุมมันหรอก”
“ฮึ่ม! ก็แค่พวกป่าเถื่อนตัวน้อยจากภพเบื้องล่าง เหตุใดจึงต้องยกย่องมัน”
“ใช่ แม้ว่ามันจะมีฝีมือไม่ธรรมดา แต่ก็เป็นเพียงมดปลวกที่มาจากภพเบื้องล่าง และช่างน่าหัวร่อจริง ๆ ที่มันกล้ามาที่แดนโลกาวินาศ ซ้ำยังแสดงท่าทีอวดดีเช่นนี้”
คนเหล่านี้ต่างพูดถึงเฉินซี แม้ว่าพวกมันจะประหลาดใจกับกลิ่นอายที่ดุร้ายของฝ่ายตรงข้าม แต่ก็ไม่มีทีท่าที่จะรู้สึกหวาดกลัวใด ๆ ตรงกันข้าม วาจาของพวกมันยังส่อให้เห็นถึงความรู้สึกที่เหนือกว่าด้วยซ้ำ
“ไม่ต้องเสียเวลาอีกต่อไปแล้ว สำหรับข้าดูเหมือนว่าสหายเต๋าเล่อซวินและคนอื่น ๆ อาจจะไม่ใช่คู่มือของมัน มาโจมตีพร้อมกันและจับมันได้ในรวดเดียวเถอะ” หญิงสาวชุดเหลืองนามว่าอวี้เฉินกล่าวอย่างไม่แยแส
“ข้าเห็นด้วย”
“นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการ”
คนอื่น ๆ พยักหน้าเห็นด้วย
แต่ทันใดนั้น เสียงที่เยือกเย็นและอำมหิตของเฉินซีก็ดังก้องมาจากสนามรบอันห่างไกล “พวกเจ้าทุกคนกล้าที่จะจับข้าด้วยความสามารถเพียงน้อยนิดนี้เหรอ?”
พร้อมกับเสียงนี้ สีหน้าของทุกคนที่นี่ก็เปลี่ยนไปในทันที
ในขอบเขตการมองเห็นของพวกมัน จู่ ๆ เฉินซีก็ชักกระบี่ออกมา แล้วตวัดฟันปราณกระบี่ที่เปล่งประกายราวกับลำแสงที่สาดส่องจากดวงอาทิตย์ซึ่งสว่างไสวไปทั้งโลก
แคร๊ก!
ภายใต้ฟ้าดินอันกว้างใหญ่ บังเกิดรอยแยกมิติที่เปิดออกอย่างสมบูรณ์ และมันขยายออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ปราณกระบี่เล็ก ๆ นี้น่าสะพรึงอย่างแท้จริง มันเหมือนกับกระบี่สวรรค์ แยกโลกออกจากกัน ทำลายธาตุทั้งห้า ทำลายล้างหยินและหยาง และฟันทุกสรรพสิ่ง มันดุร้าย รวดเร็ว และตื่นตาจนถึงขีดสุด!
โครม โครม โครม!
ค้อนศักดิ์สิทธิ์สีม่วง ธงสีเขียว และผนึกโบราณถูกฟันออกเป็นสองส่วน!
“บัดซบ!”
“ไม่!!!”
“มันจะแข็งแกร่งขนาดนี้ได้อย่างไร?!”
พรวด! พรวด! พรวด!
เสียงหอนอันน่าสะพรึงกลัวและเกรี้ยวกราดดังก้องสามครั้ง จากนั้นเสียงอู้อี้เบา ๆ ก็ดังขึ้น ผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งสามที่ต่อสู้กับเฉินซีนั่นไม่มีโอกาสหลบเลี่ยงใด ๆ ร่างของพวกมันถูกฟันออกเป็นสองท่อน ทำให้วิญญาณถูกบดขยี้ เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วฟ้า!
เสียงของพวกมันยังคงก้องกังวานไปในอากาศ แม้จะตายไปแล้วก็ตาม
เมื่อมองจากระยะไกล เหตุการณ์นี้ดูน่ากลัวอย่างยิ่ง และไม่น่าเชื่ออย่างถึงที่สุด
เพียงกระบวนท่าเดียว เฉินซีได้ทำลายสมบัติศักดิ์สิทธิ์สามชิ้นและสังหารผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเทวารู้แจ้งโลกาทั้งสาม แล้วใครจะเชื่อได้ว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตเทวารู้แจ้งโลกาที่เพิ่งเข้าสู่แดนโลกาวินาศจากภพเบื้องล่าง จะสามารถบรรลุสิ่งนี้ได้?
ทุกคนล้วนตกตะลึง และบริเวณโดยรอบก็เงียบสนิท
“ไม่น่าแปลกใจ ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาสามารถต่อสู้ข้ามขอบเขตกับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณจากตระกูลต้าอี้ได้ ด้วยเต๋าแห่งกระบี่ที่ท้าทายสวรรค์เช่นนี้ เขาน่าจะบรรลุถึงขอบเขตจักรพรรดิกระบี่แล้ว…” ในระยะไกล เถี่ยคุนรู้สึกประหลาดใจ ในขณะที่ม่านตาขยายออก และพึมพำอย่างเงียบ ๆ
ชาวบ้านเหล่านั้นกลับตกตะลึงจนไร้วาจา ราวกับกลายเป็นรูปปั้นดินเหนียวที่ยืนตะลึงลานอย่างโง่งม
ในทางกลับกัน หญิงสาวชุดเหลืองอวี้เฉินและคนอื่น ๆ ซึ่งแต่เดิมตั้งใจลงมือเพื่อจับกุมเฉินซี แต่เมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า ก็รู้ว่าไม่สามารถช่วยเหลือผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเทวารู้แจ้งโลกาทั้งสามได้ และทำได้เพียงแต่เฝ้าดูเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้น ทำให้สีหน้าเปลี่ยนไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในขณะที่การดูถูกและความเย่อหยิ่งในใจกลับถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกอันหนักอึ้งอย่างยิ่ง
เพราะผู้เยี่ยมยุทธ์เทวารู้แจ้งโลกาทั้งสามที่เสียชีวิตไปนั้น ต่างก็มีพลังที่ทัดเทียมกับพวกมันเป็นส่วนใหญ่ แต่ทั้งสามกลับถูกสังหารภายใต้กระบวนท่าเดียว แล้วอย่างนี้ใครจะกล้าดูถูกเฉินซีได้อีก?
ทั้งหมดนี้เกิดจากอานุภาพของกระบวนท่าทลายเบญจธาตุ!
มันเป็นกระบวนท่ากระบี่แรกที่เฉินซีบัญญัติหลังจากบรรลุขอบเขตจักรพรรดิกระบี่ มันทั้งว่องไว ดุร้าย น่ากลัว และเปี่ยมด้วยพลังสังหาร
วันนั้นเมื่อเฉินซีต่อสู้กับลุงเก้าซึ่งมีการบ่มเพาะขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณ เขาได้ใช้กระบวนท่านี้เพื่อโจมตีอีกฝ่าย และทิ้งรอยแผลที่ลึกถึงกระดูกไว้บนหน้าอก ตอนนี้เขากำลังต่อสู้กับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเทวารู้แจ้งโลกาสามคนเท่านั้น ดังนั้นอานุภาพของมันจึงไม่ใช่สิ่งที่พวกมันสามารถต้านทานได้
……
น่าเสียดายที่การบ่มเพาะของข้าฟื้นตัวเพียงเจ็ดส่วนเท่านั้น หากข้าอยู่ในช่วงที่รุ่งโรจน์ คงฆ่าพวกมันได้ง่ายกว่านี้นัก
เฉินซีส่ายศีรษะก่อนที่จะจ้องมองไปที่หญิงสาวชุดเหลืองและคนอื่น ๆ
“ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้า จงทิ้งสมบัติศักดิ์สิทธิ์และผลึกศักดิ์สิทธิ์ที่ครอบครองไว้ซะ แล้วข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป หากไม่เป็นเช่นนั้น วันนี้พวกเจ้าทุกคนต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่” เฉินซีกล่าวด้วยท่าทางไม่แยแส ซึ่งเผยให้เห็นถึงความสง่างามอย่างสุดพรรณนา
“บัดซบ!”
“ไอ้สารเลว! มดปลอมจากภพเบื้องล่างอย่างเจ้า กลับกล้ากล่าววาจาเช่นนี้กับเราหรือ?!”
พวกมันต่างระเบิดความโกรธออกมา ในขณะที่เปลวเพลิงแห่งโทสะนั่นลุกโชนอยู่ในใจ และสีหน้าของพวกมันก็มืดมนอย่างสุดขั้ว
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ แม้แต่เถี่ยคุนและชาวบ้านเหล่านั้นก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ และอ้าปากค้าง เนื่องจากคนเหล่านั้นมาจากแดนเทพโบราณและมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา แต่เฉินซีกลับกล้ากล่าววาจาเช่นนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ว่าเฉินซีไม่เพียงแต่หยิ่งผยองเท่านั้น ซ้ำยังอหังการถึงขีดสุด
“สหายเต๋า บางทีเจ้าอาจไม่รู้เรื่องนี้ แต่เจ้าได้ทำให้อี้เทียนนายน้อยสามของตระกูลต้าอี้ขุ่นเคืองแล้ว แม้ว่าวันนี้เจ้าจะโชคดีพอที่จะหลบหนีไปได้ แต่เจ้าจะต้องทนทุกข์ทรมานจากถูกไล่ล่าไปตลอดชีวิต!”
ท่ามกลางทุกคนที่อยู่ตรงนั้น มีเพียงอวี้เฉินที่ยังคงมีสติ แล้วกล่าวอย่างเฉยเมย “ทำไมเจ้าไม่กลับไปกับเรา ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า การได้เป็นทาสเทพของนายน้อยสามจะถือได้ว่าเป็นวาสนาอันยิ่งใหญ่”
“ฮ่า ฮ่า! เดิมทีข้าคิดว่าผู้คนจากแดนเทพโบราณคงจะมีฝีมือไม่ธรรมดา แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นแค่ไอ้สารเลวกลุ่มหนึ่งที่ทำตัวเหมือนทาส” เฉินซีหัวเราะเยาะ จิตสังหารพลันแผ่พุ่งออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง
“เจ้ากำลังรนหาที่ตาย!”
“บังอาจ!”
“กล้าดูถูกพวกเราเช่นนี้! ไอ้สารเลวน้อย เจ้ากำลังขุดหลุมศพฝังตัวเอง!”
ทุกคนล้วนโกรธสุดขีด เป็นเพราะพวกมันมาจากแดนเทพโบราณและรู้สึกเหนือกว่าอยู่เสมอ มันจึงถือว่าผู้คนที่มาภพเบื้องล่างนั้นต่ำยิ่งกว่ามด ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันสามารถกระทำตามอำเภอใจในแดนโลกาวินาศ แล้วตั้งแต่เมื่อใดที่พวกมันต้องเผชิญกับความอัปยศอดสูเช่นนี้
“ในเมื่อพวกเจ้าไม่เห็นคุณค่าของโอกาสนี้ ดังนั้นข้าคงต้องเอามามันด้วยตัวเองเท่านั้น!”
เฉินซีรู้สึกรำคาญเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ทันใดนั้น ยันต์ศัสตราในมือก็สั่นวูบหนึ่ง ปราณกระบี่พลันถูกฟันออกไป ประหนึ่งมหาสมุทรแห่งปราณกระบี่อันกว้างใหญ่ไพศาล และถาโถมเข้าใส่อีกฝ่ายอย่างดุเดือด
ปราณกระบี่นี้กว้างใหญ่และลุกโชนประหนึ่งแม่น้ำแห่งดวงดาวที่กวาดลงมาจากจักรวาล ทั้งยังมันมีอานุภาพมหาศาล มันคือกระบวนท่าที่สองที่เฉินซีบัญญัติหลังจากบรรลุขอบเขตจักรพรรดิกระบี่ ‘สงัดก่อนพายุโถม’
แม้กระบวนท่านี้จะไม่รุนแรงเท่ากับทลายเบญจธาตุ แต่ก็มีพลังปราบปรามที่ทรงอานุภาพ และเหมาะที่จะใช้โจมตีเป็นวงกว้าง
โครม!
ทันทีที่โจมตี ฟ้าดินก็กลับตาลปัตร และปกคลุมไปด้วยความวุ่นวาย ปราณกระบี่แผ่พุ่งผ่านฟ้าดิน และเปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้กลายเป็นมหาสมุทรแห่งพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้จิตวิญญาณหวาดกลัว
“เจ้าเด็กนี้รับมือได้ยาก มาโจมตีพร้อมกันเถอะ!” เมื่อนางเห็นว่าการโจมตีครั้งนี้น่ากลัวเพียงใด ในที่สุดอวี้เฉินก็ไม่อาจนิ่งเฉยได้อีกต่อไป ทำให้สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป และร้องออกมาเสียงดัง
ไม่จำเป็นต้องได้รับคำเตือนใด ๆ เพราะคนอื่น ๆ ก็ตระหนักว่ามันทรงพลังเช่นกัน ดังนั้นพวกมันจึงควักสมบัติที่ดีที่สุดออกมา แล้วจึงใช้เคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดพร้อมกับผสานการโจมตีร่วมกัน
……….