บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1542 เทวารู้แจ้งวิญญาณ
บทที่ 1542 เทวารู้แจ้งวิญญาณ
……….
บทที่ 1542 เทวารู้แจ้งวิญญาณ
เปรี้ยง!
ศรเทวะแดงสดแหวกฟ้า กรีดผ่านเมฆารอบข้างปั่นป่วน
เพียงพริบตา เส้นขนทุกเส้นบนร่างเฉินซีล้วนลุกชี้ พลังทั่วกายถูกตรึงไว้โดยพลังใจอันร้ายกาจชวนสะพรึง
นี่คือพลังที่มีเพียงความสำเร็จในเต๋าแห่งคันศรอย่างสูงส่ง ไม่ว่าจะเคลื่อนย้ายไปจุดใด ขอเพียงเล็งอำนาจในกายคนผู้นั้นได้ การหลบให้พ้นศรอันน่าสะพรึงกลัวนั่นก็เป็นไปไม่ได้เลย!
เห็นได้ชัดว่าผู้โจมตีเขาอย่างเฉียบพลันนี้เป็นนักธนูมือฉมัง!
ในเมื่อคนผู้นี้สามารถใช้การบ่มเพาะในเต๋าแห่งคันศรมาเล็งตัวตนขอบเขตเทวาอย่างเฉินซีได้ ก็เห็นได้ชัดว่าความสำเร็จในการบ่มเพาะเต๋าแห่งคันศรของคนผู้นี้น่าตกใจเพียงใด
“ฮึ!” ในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน เฉินซีแค่นเสียงเย็น รัศมีศักดิ์สิทธิ์เจิดจรัสจากดวงตา แล้วอักขระผนึกเต๋าซึ่งปกคลุมเพลิงศักดิ์สิทธิ์วิญญาณก็ระเบิดออกกะทันหัน
เปรี้ยง!
ดูประหนึ่งพลังใจอันมิอาจมองเห็นถูกสะบั้นบด พลังใจอันเล็งมายังอำนาจทั่วกายของเฉินซีสลายไปในพริบตา
วูบ!
พร้อมกันนั้น ร่างของเฉินซีวูบไหวเล็กน้อย หลบการโจมตีจากศรเทวะสีแดงสดไปได้อย่างเฉียดฉิว
ตู้ม!
ศรเทวะสีแดงสดพลาดเป้า แทงทะลวงพื้นเบื้องหลังเฉินซีอย่างดุเดือดจนเกิดรอยแยกมหึมา ภายในรอยแยกนั้น ปราณเทพแผดผลาญ ป่นสรรพสิ่งเป็นผุยผง
ฤทธิ์ศรเพียงหนึ่งกลับอันตรายชวนสะพรึงถึงขนาดนี้!
“หืม?” หนึ่งเสียงอุทานอย่างประหลาดใจดังแว่วมา ดูเหมือนคนผู้นั้นจะไม่คาดคิดว่าเฉินซีจะหลบการโจมตีนี้ได้พ้น
…
ขณะนี้เอง พลังใจอันมหาศาลของเฉินซีกวาดทะยาน สัมผัสพบเหล่าศัตรูที่ไล่ล่าตนในระยะหมื่นลี้
ที่นั่นมีคนกลุ่มหนึ่ง และเจ้าของศรเมื่อครู่เป็นชายชราหนวดหยิกผู้มีกายท่อนบนเปลือยเปล่า ถือคันธนูยาวสร้างจากกระดูกสัตว์
ชายชราสูงเก้าจั้ง มัดกล้ามบนร่างดูประหนึ่งหลอมจากเหล็ก เต็มไปด้วยอำนาจทำลายล้าง ทำให้เขาดูดุร้ายอย่างยิ่ง นอกจากนั้น บนใบหน้ายังมีรอยสัก ‘ศรเทวะ’ ร่างยักษ์สูงตระหง่านดุจภูเขาอันไม่อาจเคลื่อนขยับ ปกคลุมด้วยอำนาจศักดิ์สิทธิ์ร้ายกาจอย่างยิ่ง
ข้างกายชายชรามีชายหนุ่มชุดขาวหนึ่งคน และกลุ่มองครักษ์แกร่งกล้ามากฝีมือ
เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มชุดขาวเป็นบุคคลสำคัญในหมู่พวกเขา
คนเหล่านี้คือใครกัน? หรือจะมาจากแดนเทพโบราณ? ความคิดไหลวาบเข้ามาในหัวใจเฉินซี เนื่องจากปราณจากพวกเขาชี้ชัดว่าคนเหล่านี้ไม่ได้มาจากนิกายอำนาจเทวะ
สิ่งนี้หมายความว่า พวกเขาน่าจะเป็นผู้บ่มเพาะซึ่งอาศัยอยู่ในแดนโลกาวินาศ หรือมาจากแดนเทพโบราณ
ฮึ! พวกเจ้าทั้งหลายต่างมารอ ‘เหยื่อ’ กันที่นี่ กระทั่งถือข้าเป็น ‘เหยื่อ’ ของพวกเจ้า โอหังดื้อด้านเสียจริง! สีหน้าของเฉินซีเย็นเยียบ ดวงตาเผยประกายเย็นเยียบเสียดกระดูก
“ลุงเก้า ความแข็งแกร่งของเหยื่อจากภพเบื้องล่างผู้นี้ไม่เลวเลย ข้าอยากจับตัวเขาไปเป็นทาสเทพของข้า สั่งการใช้เขาไปตราบนิรันดร์” ชายหนุ่มชุดขาวกล่าวเนิบ ๆ เผยความโอหังหยิ่งผยองสุดขั้ว
“นายน้อย ในเมื่อท่านชอบเขา เช่นนั้นข้าก็จะไว้ชีวิต จับเป็นให้ท่าน”
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
เสียงแหวกมิติดังกระหึ่มเป็นระลอก ศรเทวะสีแดงกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าพุ่งทะยานออกมาอีกครั้ง ดูประหนึ่งกลุ่มแสงทะยานเวหา ทลายสุญตา คมกริบเกินจะเทียบ
ชายชราสูงเก้าจั้งผู้ดูดุร้ายโจมตีด้วยคันศรกระดูกสัตว์จากระยะหมื่นลี้อีกครั้ง เพียงพริบตา เขาก็ยิงศรเทวะออกมาเก้าดอกติด ๆ กัน ดูประหนึ่งหมู่ดาราเรียงร้อย โอบล้อมบริเวณรอบข้าง ปิดกั้นทางหนีของเฉินซีไว้อย่างนิ่งงัน!
เหยื่อ? ทาสเทพ? เค้าจิตสังหารพลุ่งพล่านจากหัวใจเฉินซี ขณะที่อยู่ในสามภพ เขาถูกยกย่องเทิดทูนเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งสามภพ สรรพชีวิตนอบน้อมให้เกียรติ ยิ่งกว่านั้น สถานะยังสูงส่งไร้ผู้เทียบ ทว่ายามนี้ ทันทีที่มาถึงแดนโลกาวินาศ กลับต้องเผชิญความอัปยศเช่นนี้ มันเกินกว่าขีดจำกัดที่เฉินซีจะทนได้
เคร้ง!
ยันต์ศัสตราโผนทะยาน ร่างของเฉินซีวูบไหว อำนาจศักดิ์สิทธิ์แผ่พล่านเวียนวนรอบกายขณะฟาดฟันออกไป
เปรี้ยง!
ศรเทวะสีแดงดอกหนึ่งซึ่งเจียนเข้าประชิดถูกกระบี่ของเฉินซีฟาดปลายอย่างแม่นยำ การปะทะระหว่างทั้งสองทำให้รัศมีศักดิ์สิทธิ์ปะทุกลางเวหา หลังจากนั้น ศรเทวะสีแดงก็ระเบิดแหลก กลายเป็นละอองแสงกระจายหายไปรอบทิศ
ขณะเดียวกัน ร่างของเฉินซีก็สั่นสะท้าน แก่นโลหิตในกายรวนเร
เป็นฤทธิ์เต๋าแห่งคันศรที่น่ากลัวนัก! แม้การบ่มเพาะเต๋าแห่งคันศรของเจ้าเฒ่านี่จะบรรลุเพียงขอบเขตเซียนธนู แต่การบ่มเพาะน่าจะบรรลุถึงขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณแล้ว! เฉินซีหรี่ตาลง
ขอบเขตเหนือเทวารู้แจ้งโลกาคือขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณ!
ผู้อยู่ในขอบเขตนี้สร้าง ‘แท่นบูชาศักดิ์สิทธิ์รู้แจ้งวิญญาณ’ ด้วยใช้เพลิงศักดิ์สิทธิ์วิญญาณเป็นรากฐาน บรรลุถึง ‘พลังแห่งอาณาเขต’!
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
ขณะความคิดไหลพล่าน แต่การกระทำมิได้ชะงักงัน ชายหนุ่มใช้ยันต์ศัสตราฟาดฟันศรเทวะสีแดงอีกแปดดอกที่แหวกห้วงอากาศลงมา ก่อคลื่นระเบิดน่าสะพรึงกลัวระลอกแล้วระลอกเล่าไปทั่วทิศ มิติรวนเร แดนดินเหลือเพียงซากพินาศ
หลังกระทำเรื่องทั้งหมดนี้ แก่นโลหิตในกายเฉินซีพลุ่งพล่าน กระดูกทั่วกายสะท้านสั่น อำนาจของศรเหล่านี้น่าสะพรึงกลัวเกินไป ทำให้เขาเสียเปรียบเล็กน้อยในการปะทะซึ่งหน้า
แดนโลกาวินาศแห่งนี้อันตรายถึงขีดสุดโดยแท้ กระทั่งกับตัวตนในขอบเขตเทวา มันยังเหมือนการเหยียบย่างเหนือชั้นน้ำแข็งบาง… เฉินซีรำพึงในใจ และยิ่งเข้าใจลึกล้ำขึ้นว่าแดนโลกาวินาศไม่ธรรมดาเพียงไร
…
“เหยื่อจากภพเบื้องล่างผู้นั้นหยุดศรเทวะต่อเนื่องของลุงเก้าได้!” ขณะที่เฉินซีตกตะลึงประหลาดใจอยู่ในอก ชายหนุ่มชุดขาวและคณะซึ่งอยู่ไกลออกไปหมื่นลี้ประหลาดใจยิ่งกว่า พวกเขาเหมือนไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะไม่สามารถจับตัวเฉินซีได้ในขณะนี้
“ลุงเก้า ทาสเทพผู้นี้เป็นของข้า! อีกสามเดือน ข้าจะเข้าร่วมการชุมนุมล่าดาราของจักรพรรดินีอวี้เชอ กำลังต้องการทาสขอบเขตเทวารู้แจ้งโลกาที่แข็งแกร่งอยู่พอดี ข้าว่าเขานี่แหละเหมาะสม!” ชายหนุ่มชุดขาวแย้มยิ้มเจิดจรัส สายตาเอาแต่ใจ น้ำเสียงสั่งการมิอาจโต้เถียง
“นายน้อย เหยื่อจากภพเบื้องล่างผู้นี้ พากลับไปเอกภพมสิหิมด้วยมิได้นะขอรับ เราทำได้เพียงขายเขาเป็นสมุนของนิกายอำนาจเทวะ ให้พวกนั้นส่งเขาไปยังพื้นที่ตกสำรวจ กู้คืนแดนรกร้างและเหมืองเพื่อสร้างถิ่นที่อยู่ใหม่แก่แดนเทพของเราเท่านั้น” ชายชราผู้ดูดุร้ายเล็กน้อย
“ก็แค่ลิ่วล้อจากนิกายอำนาจเทวะ ไม่ใช่เจ้านิกายหรือเทพอะไรเสียหน่อย ข้าเชื่อว่าลุงเก้ามีทางช่วยข้าบรรลุหวังได้แน่ ๆ จริงหรือไม่?” ชายหนุ่มชุดขาวกล่าวกับชายชราดุร้ายด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เป็นหัวใจของชายชราซึ่งถูกเรียกว่าลุงเก้าเสียเองที่สั่นสะท้าน รีบร้อนพยักหน้าตอบรับ
เขาทราบดีว่าจากรูปลักษณ์ นายน้อยผู้นี้แม้ดูไร้พิษสง ทว่าแท้จริงในใจเด็ดขาดและไร้ปรานีนัก ยิ่งกว่านั้นชายหนุ่มชุดขาวผู้นี้ยังโหดร้ายอย่างสุดขั้ว เขาจึงไม่กล้าบิดพลิ้วขัดข้องใด ๆ
“เวร! เหยื่อนั่นคิดจะหนีแล้ว!” ขณะเดียวกัน กลุ่มองครักษ์ตะโกนขึ้นเสียงดังยามสังเกตได้ว่าเฉินซีกำลังหนี
“ฮึ! พวกเจ้าดูแลนายน้อยให้ดี ข้าจะไปจับตัวมัน!” ดวงตาของเขาเผยประกายกล้า เสียงขวับดังสะท้านยามร่างสูงเก้าจั้งหายวับไป
“เป็นเหยื่อที่ตื่นตัวดีแท้ รับศรเทวะต่อเนื่องของลุงเก้าได้ในการบ่มเพาะขอบเขตเทวารู้แจ้งโลกา ความแข็งแกร่งเช่นนี้หายากจริง ๆ หากข้าจับมันมาเป็นทาสเทพ พาเข้าร่วมชุมนุมล่าดาราด้วยได้ เขาจะชนะรางวัลยิ่งใหญ่แก่ข้าได้แน่แท้” ชายหนุ่มชุดขาวยิ้มเอื่อยเฉื่อย ดูสุดแสนอิ่มเอมราวมีทุกสิ่งในกำมือ
…
เฉินซีหนีจริง ๆ
ชายหนุ่มเพิ่งมาถึงแดนโลกาวินาศ ไม่รู้เรื่องราวสถานการณ์ใด ๆ จึงไม่มีอารมณ์มาสู้กับคนเหล่านี้แม้แต่น้อย
ไม่ต้องพูดถึงว่ากลุ่มของอีกฝ่ายมียอดฝีมือธนูขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณอยู่ด้วย มันทำให้เขารู้สึกพรั่นพรึงสุดขีด ไม่คิดรับความเสี่ยงในเวลานี้
แน่นอน เฉินซีไม่มีทางลืมความแค้นนี้ เขาเข้าใจสถานการณ์ที่นี่ได้เมื่อใด ย่อมหาสารพัดวิธีมาล้างแค้นสำหรับทุกสิ่งที่ต้องประสบวันนี้!
วูบ!
รอบข้างแล่นเป็นริ้วแสง ขณะที่ร่างของเฉินซีโผนทะยานสุดความเร็ว ดูประหนึ่งเส้นแสงอันวูบไหวไม่รู้จบท่ามกลางแดนดินรกร้างไร้ขอบเขต
นอกจากชายชราผู้นั้น ยังมีเทวารู้แจ้งโลกาคนอื่น ๆ ในกลุ่มที่เป็นองครักษ์ให้แก่ชายหนุ่มชุดขาว แต่สุดแสนบังเอิญที่ชายหนุ่มชุดขาวอยู่เพียงขอบเขตราชันเซียนเท่านั้น เหมือนฐานะของเขาจะไม่ธรรมดา… เฉินซีครุ่นคำนึงในใจขณะโผนทะยานไวสุดขั้ว
ยามศิษย์พี่สามเที่ยอวิ๋นไห่ ศิษย์พี่สี่ปราชญ์เฒ่า ศิษย์พี่หญิงหลียางและคณะมุ่งหน้ามายังแดนโลกาวินาศ พวกเขานำเตียนเตี้ยน เซวียนหยวนเส้า เซวียนหยวนท่าเป่ย และราชันเซียนคนอื่น ๆ มาด้วย จึงไม่แปลกใจยามพบว่าชายหนุ่มชุดขาวมายังแดนโลกาวินาศทั้ง ๆ ที่อยู่ในขอบเขตราชันเซียน
สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจโดยแท้จริงก็คือ ชายหนุ่มชุดขาวผู้นี้มีนักธนูมือฉมังในขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณเป็นบริวาร และลิ่วล้อขอบเขตเทวารู้แจ้งโลกาหกคน นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ใดก็มีได้!
ในสามภพ อำนาจที่ชายหนุ่มชุดขาวมีเหนือจินตนาการอย่างแท้จริง!
ตกลงแดนโลกาวินาศนี้เป็นการคงอยู่เช่นใดกันแน่? ด้วยความเข้าใจนี้ เฉินซีจึงยิ่งเต็มไปด้วยความใคร่รู้ต่อสถานที่อันสุดแสนลึกลับและอันตรายนี่ไปใหญ่
หืม? ทันใดนั้น หัวใจของเฉินซีก็สั่นสะท้าน สัญญาณเตือนดังสนั่นในใจ
วูบ!
ศรเทวะสีแดงสดดอกหนึ่งแหวกผืนฟ้า รวดเร็วทรงพลังเกินเทียบชั้น มันกระทั่งฉีกร่องริ้วบางเฉียบในสุญตา ไร้สิ่งใดขวางมันได้
เคร้ง!
การโจมตีนี้รวดเร็วแกร่งกล้าดุจอัสนี ทะลวงผ่านมิติเฉียบพลันจนเฉินซีไม่อาจหลบเลี่ยง ทำได้เพียงหันกลับมาใช้ยันต์ศัสตราฟาดฟันลงอย่างดุเดือด
หนึ่งกระบี่หนึ่งศรปะทะ ก่อเกิดเสียงสนั่นลั่นกึกก้อง คลื่นพลังสารพัดระเบิดขึ้นเป็นวงคลื่น
ขณะเดียวกัน ร่างของชายชราซึ่งถูกเรียกว่าลุงเก้าฉวยโอกาสนี้ปรากฏตัวขึ้นไกลออกไปพันลี้ ผิวกายท่อนบนอันเปลือยเปล่าเผยมัดกล้ามปูดโปนแข็งดุจศิลา เปี่ยมรัศมีศักดิ์สิทธิ์เรืองรอง
คนผู้นั้นถือคันธนูยาวกระดูกสัตว์ ดูประหนึ่งเทพอหังการ จับจ้องเฉินซีนิ่ง แต่ก็มิได้โจมตีอย่างหุนหัน กลับกันเขากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก “ไอ้หนูน้อยจากภพเบื้องล่าง ไม่ว่าตัวตนของเจ้าในภพเบื้องล่างจะสูงส่งเพียงใด แต่เมื่อเจ้ามาถึงแดนโลกาวินาศแล้ว เจ้าก็เป็นได้เพียงมดตัวหนึ่ง เห็นแก่ที่เจ้าลำบากบ่มเพาะมาจนถึงยามนี้ ข้าให้โอกาสเจ้ารอดตาย”
“โอ้?” เฉินซีหรี่ตาลง
“ขอเพียงเจ้าจำนนแก่นายน้อยของข้า สาบานจะติดตามรับใช้เป็นทาสเทพ เช่นนั้นมิเพียงข้าจะไว้ชีวิตเจ้า ยังกระทั่งจะพาเจ้าออกจากแดนโลกาวินาศนี้ มุ่งหน้าสู่เอกภพมสิหิมด้วย” ลุงเก้ากล่าวเสียงเรียบ ทุกการกระทำให้ความรู้สึกสูงส่งเหนือชั้น
เอกภพมสิหิม? เฉินซีครุ่นคิดในใจ หรือนั่นจะเป็นหนึ่งแดนดินในแดนเทพโบราณ?
“เจ้าคิดเช่นไร? ให้เวลาคิดสักเดี๋ยวแล้วกัน นี่เป็นโชคอันยิ่งใหญ่หายากยิ่ง นับแต่โบราณกาลจนบัดนี้ ทวยเทพทั้งมวลที่เข้ามายังแดนโลกาวินาศจากต่างภพภูมิ หากไม่ตกตายก็ถูกจับเป็นทาส ส่งไปยังพื้นที่ตกสำรวจต่าง ๆ ในแดนเทพ โอกาสรอดน้อยนิด น้อยนักที่จะโชคดีพอรอดมาได้ และน้อยนักจะมีวาสนาสูงส่งเช่นนี้” ลุงเก้ากล่าวอย่างไม่รีบร้อน ก่อนจะหยุดพูดไปอย่างสมบูรณ์ เขาซึ่งเป็นขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณให้เงื่อนไขสุดแสนหอมหวนเพียงนี้ จึงไม่เชื่อเลยว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะปฏิเสธลง
……….