บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1539 บรรลุเต๋าและกลายเป็นเทพ
บทที่ 1539 บรรลุเต๋าและกลายเป็นเทพ
……….
บทที่ 1539 บรรลุเต๋าและกลายเป็นเทพ
ชิวเสวียนซูส่งกล่องหยกให้ก่อนแล้วกล่าวว่า “อาจารย์อา สิ่งนี้ถูกส่งมาจากมหาจักรพรรดิน้ำพุยมโลก เขาบอกว่าท่านกำลังจะเดินทางไกล และสมบัติทั้งสองนี้ควรจะคืนให้กับเจ้าของเดิม”
เฉินซีเข้าใจทันทีว่าระเบียนแดนมรณะและพู่กันพิพากษามารอยู่ในกล่องหยก
“หายากที่เขายังจำเรื่องนี้ได้” เฉินซีถือกล่องหยกไว้ในมือแล้วถอนหายใจด้วยอารมณ์ เดิมทีเขาวางแผนที่จะไปยังยมโลกในอีกไม่วันข้างหน้านี้ แต่เรื่องนี้จึงช่วยประหยัดเวลาได้พอสมควร
ท้ายที่สุดแล้ว ระเบียนแดนมรณะและพู่กันพิพากษามารเป็นของจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สาม ซึ่งพวกมันถูกตราหน้าว่าเป็นมรดกของเต๋ารู้แจ้งแห่งจุดจบ และเขาไม่สามารถทนต่อการสูญเสียพลังต้องห้ามเช่นนี้ได้
พร้อมกับความก้าวหน้าในการบ่มเพาะ เฉินซีจึงตระหนักอย่างลึกซึ้งว่าเต๋ารู้แจ้งแห่งจุดจบนั่นท้าทายสวรรค์และน่าเกรงขามเพียงใด เมื่อมันถูกใช้ มันก็สามารถทำลายตัวตนที่กล่าวกันว่าเป็น ‘นิรันดร์’ ได้
แน่นอนว่ารวมถึงเทพด้วย!
ไม่แปลกใจที่จักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามถูกเหล่าทวยเทพปิดล้อมและสังหารเมื่อหลายปีก่อน เพราะการมีอยู่ของเต๋ารู้แจ้งแห่งจุดจบนั้นทำให้ผู้คนจำนวนมากไม่สามารถนอนหลับได้อย่างสบายใจ
“แล้วข่าวอื่นล่ะ?” เฉินซีถามอย่างสบาย ๆ
ชิวเสวียนซูพยักหน้าพลางกล่าวว่า “มี”
ขณะที่กล่าว เขาก็ดึงแผ่นหยกออกมาแล้วส่งให้เฉินซี
แผ่นหยกเหรอ? คิ้วของเฉินซีเลิกขึ้นพลางเปิดแผ่นหยก หัวใจของเขาก็บีบรัดอย่างฉับพลัน เมื่อเห็นเนื้อหาในนั้นอย่างชัดเจน
น่าตกใจที่แผ่นหยกนี้ถูกทิ้งไว้โดยมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ มันอธิบายคร่าว ๆ ว่าพร้อมกับการระเบิดของภัยพิบัติในสามภพ ศิษย์น้องหญิงเจิ้นหลิวชิงได้มุ่งหน้าไปยังแดนโลกาวินาศแล้วภายใต้การนำของนักพรตเต๋าเซวี่ย
สำหรับหวงฝู่ฉิงอิง จ้าวชิงเหอ นายน้อยสี่ นายน้อยโจว หลิงอวี๋ ซางจือ และคนอื่น ๆ พวกเขากำลังบ่มเพาะภายใต้การชี้นำของมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ และไม่สามารถเข้าร่วมกับเฉินซีได้ในเวลาอันสั้น
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังระบุด้วยว่าขณะนี้พวกเขาอยู่ในดินแดนเร้นลับที่นักพรตเต๋าเซวี่ยสร้างขึ้น และดินแดนเร้นลับได้ถูกผนึกไว้แล้วเพื่อหลีกเลี่ยงความทุกข์ทรมานจากการโจมตีของภัยพิบัติ
นั่นหมายความว่าหากภัยพิบัตินี้สิ้นสุดลง พวกเขาทั้งหมดรวมถึงมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์จะต้องติดอยู่ภายในดินแดนเร้นลับ
สิ่งนี้คล้ายกับการกระทำของตำหนักเต๋าหนี่หวา ทันทีที่เหล่าทวยเทพจากไปแล้ว พิภพเบญจขันธ์ก็ถูกผนึกไว้ และเพื่อหลีกเลี่ยงการจู่โจมของภัยพิบัติในสามภพเช่นเดียวกัน
เจิ้นหลิวชิงและปรมาจารย์ของนางนักพรตเต๋าเซวี่ยได้เข้าสู่แดนโลกาวินาศก่อนเขาหนึ่งก้าวแล้ว ในขณะที่หวงฝู่ฉิงอิง จ้าวชิงเหอ หลิงอวี๋ และคนอื่น ๆ อยู่ในดินแดนเร้นลับที่แยกออกจากโลกพร้อมกับมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์
ดูเหมือนพลังที่มองไม่เห็นกำลังขัดขวางไม่ให้พบกับบรรดาสหายเหล่านั้น ตั้งแต่ที่เข้าสู่ภพเซียน เฉินซีมักพลาดโอกาสที่จะได้พบกับพวกเขาเสมอ
…
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เฉินซีเริ่มปิดด่านบ่มเพาะและพุ่งเข้าสู่ขอบเขตเทวา
ขอบเขตเทวาก็ถูกแบ่งออกเป็นขอบเขตต่าง ๆ ในทำนองเดียวกัน ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ เฉินซีได้อ่านตำราทั้งหมดที่ศิษย์พี่สี่ปราชญ์เฒ่าทิ้งไว้ข้างหลัง และเข้าใจคร่าว ๆ เกี่ยวกับพลังที่ครอบครองโดยตัวตนที่ขอบเขตเทวา
โดยทั่วไปแล้ว ขอบเขตเทวาเป็นเพียงคำเรียก และตามที่ศิษย์พี่ชายสี่ได้กล่าวเอาไว้ ตัวตนขอบเขตเทวาภายในสามภพถูกแบ่งออกเป็นสามขอบเขตอย่างคร่าว ๆ
ตามลำดับได้แก่ขอบเขตเทวารู้แจ้งโลกา ขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณและขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล ทั้งสามขอบเขตนี้มีพลังที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงตามลำดับ
ตัวอย่างเช่นขอบเขตเทวารู้แจ้งโลกา การบรรลุขอบเขตนี้เท่ากับการสร้าง ‘เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์อมตะ’ ซึ่งเรียกอีกอย่างว่า ‘เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์’ ภายในจิตวิญญาณ และเราจะสามารถควบคุม ‘พลังพิภพ’ ได้
ขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณนั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับขอบเขตเทวารู้แจ้งโลกา และพวกเขาได้สร้างแท่นบูชาศักดิ์สิทธิ์ของตนเองและเข้าใจ ‘พลังงานอาณาเขต’
ยิ่งไปกว่านั้นคือขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล และมันก่อตัวเป็นจักรวาล ทำให้พวกเขาเข้าใจ ‘พลังงานจักรวาล’ ได้
ขอบเขตเหล่านี้ล้วนปรากฏอยู่ในความครอบครองของเหล่าทวยเทพในยุคสมัยบรรพกาล ตัวอย่างเช่น ศิษย์พี่สี่ของเฉินซีอย่างปราชญ์เฒ่าได้บรรลุขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณซึ่งเข้าใจ ‘พลังอาณาเขต’ แล้ว
อย่างไรก็ตาม ยังมีขอบเขตที่อยู่เหนือขอบเขตทั้งสามนี้ และพวกมันไม่ใช่สิ่งที่ศิษย์พี่สี่จะรู้ได้
ตัวอย่างเช่น เทพอสูรและสิ่งมีชีวิตที่เกิดจากภายในโกลาหล ปรมาจารย์แห่งเขาเทพพยากรณ์ ฝูซี ปรมาจารย์แห่งตำหนักเต๋าหนี่หวา หนี่หวา และปรมาจารย์แห่งนิกายอำนาจเทวะ ต่างก็เป็นตัวตนที่ยืนอยู่เหนือขอบเขตทั้งสามนี้!
หลังจากที่รู้เรื่องทั้งหมด เฉินซีก็เข้าใจว่าความแข็งแกร่งภายในสามภพนั้นมีจำกัดจริง ๆ เพราะมรดกและเคล็ดวิชาที่เกี่ยวข้องกับขอบเขตเทวานั้นหายากเยี่ยงเขากิเลนและขนวิหคอมตะ มีเพียงมหาอำนาจสูงสุดเช่นเขาเทพพยากรณ์ ตำหนักเต๋าหนี่หวา และนิกายอำนาจเทวะเท่านั้นที่มีบันทึกเกี่ยวกับเรื่องนี้
สิ่งนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่าการก้าวเข้าสู่ขอบเขตเทวานั้นยากเพียงใด
อย่างน้อยที่สุด เหล่าผู้ที่กลายเป็นเทพได้ ล้วนคือจ้าวเหนือหัวหาได้ยากมากในโลก หรือตัวตนที่น่าทึ่งซึ่งได้หาได้ยากในรอบล้านปี
ตัวอย่างเช่น เมื่อเขาอยู่ที่ภูมิภาคบรรลุเทพ แม้จะมีความสามารถอย่างซุ่ยเหรินถิงและเจี้ยงหลิงเซียว ศิษย์ชั้นยอดของนิกายอำนาจเทวะ พวกมันก็ทำได้เพียงฝากความหวังในการบรรลุขอบเขตเทวาทั้งหมดไว้กับผลวิญญาณเต๋า
น่าเสียดาย เนื่องจากการแทรกแซงของเฉินซี พวกมันจึงล้มเหลว และพลาดโอกาสที่จะบรรลุเต๋าเพื่อกลายเป็นเทพ
กล่าวโดยสรุป การดำรงอยู่ในขอบเขตเทวาได้เกินกว่าสามภพแล้ว และไม่ได้รวมอยู่ในธาตุทั้งห้า ความแข็งแกร่งที่คนเหล่านี้ครอบครองนั้นเกินขอบเขตของสามภพไปไกล
ด้วยเหตุนี้ จึงสามารถเรียกว่าพวกเขาได้ว่าเป็น ตัวตนสูงสุด
ในความเห็นของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในสามภพ ตัวตนที่ขอบเขตเทวาถือได้ว่าสูงสุด
…
อย่างไรก็ตาม การเป็นเทพไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเฉินซี
อย่างน้อยที่สุดเขาก็มีสามวิธีในการบรรลุสู่ขอบเขตเทวาในตอนนี้ อย่างแรกคือการพึ่งพาผลวิญญาณเต๋า อย่างที่สองคือการหลอมรวมกับร่างอวตารเพื่อสร้าง ‘ร่างศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์’ และก้าวเข้าสู่ขอบเขตเทวา
สำหรับวิธีที่สาม มันง่ายมาก เพียงอาศัยการบ่มเพาะและศักยภาพของตนเองในการทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเทวา!
สองวิธีแรกทำให้เฉินซีบรรลุขอบเขตเทวาได้ตลอดเวลา ในขณะที่วิธีสุดท้าย เฉินซีต้องใช้เวลา
อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น ปัจจุบันเขามีแก่นเต๋าบรรพกาลซึ่งมีเพียงหนึ่งในล้านเท่านั้นที่จะได้ครอบครอง อีกทั้งยังมีมรดกของยันต์เทวะอนันต์ และการบ่มเพาะที่ขอบเขตครึ่งเทวา ประกอบกับโชคลาภที่ได้รับจากโซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชา เมื่อสิ่งเหล่านี้รวมเข้าด้วยกัน มันทำให้ศักยภาพและความแข็งแกร่งเข้าใกล้ความแข็งแกร่งของเทพที่แท้จริงมานานแล้ว
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การบรรลุสู่ขอบเขตเทวาโดยพึ่งพาศักยภาพของตนเองนั่นเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามธรรมชาติ และเกิดขึ้นโดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก
ดังนั้นเฉินซีจึงเลือกวิธีที่สามเพื่อกลายเป็นเทพ
สำหรับผลวิญญาณเต๋า เขาได้มอบพวกมันทั้งหมดให้กับร่างอวตารเพื่อความปลอดภัย เมื่อชิงซิ่วอี้ ฟ่านอวิ๋นหลาน ชิวเสวียนซู และคนอื่น ๆ พุ่งเข้าสู่ขอบเขตเทวา ร่างอวตารจะมอบผลวิญญาณเต๋าเหล่านั้นให้กับพวกเขา
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงตัดสองวิธีแรกทิ้งไป
เฉินซีทำเช่นนี้เพราะหวังว่าจะสามารถใช้ความแข็งแกร่งของตนเพื่อช่วยเหลือผู้คนที่อยู่เคียงข้างเขาอย่างสุดความสามารถ และอาจกล่าวได้ว่าเขาให้ความเอาใจใส่และไตร่ตรองอย่างดีเยี่ยมต่อทั้งหมดนี้
…
โอม! โอม!
ในวันที่เจ็ดหลังจากที่เฉินซีเข้าสู่การปิดด่านบ่มเพาะ พลังที่มองไม่เห็นและคลุมเครือก็เริ่มส่งเสียงดังก้อง ในขณะที่วิญญาณดูเหมือนหินหลอมเหลวที่เดือดพล่าน ซึ่งส่องสว่างทั่วทั้งจักรวาลภายในร่างกาย
เฉินซีสังเกตเห็นว่า ดูเหมือนเปลวเพลิงที่แทบจะพุ่งออกมาจากวิญญาณ
นี่คือการจุดเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ภายในจิตวิญญาณ!
ตราบใดที่เขาทำขั้นตอนนี้สำเร็จ เฉินซีก็จะสามารถสร้างเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ และบรรลุขอบเขตเทวารู้แจ้งโลกา
ในขณะนี้ เฉินซีมีท่าทางที่เคร่งขรึม ร่างกายถูกปกคลุมด้วยกลิ่นอายแห่งความศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเปล่งแสงอันเป็นมงคลออกมามากมาย ผิวหนังทุกซอกทุกมุมดูเหมือนกำลังแผ่กลิ่นอายแห่งความศักดิ์สิทธิ์ออกมา
“สร้าง!” เมื่อพลังแห่งจิตวิญญาณเดือดถึงขีดสุด เฉินซีพลันตะโกนเสียงดังในใจ
…
ครืน!
ในขณะนี้ ท้องฟ้าที่ด้านนอกตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋าพลันมืดครึ้ม ในขณะที่กระแสวังวนก็ตกลงมาจากท้องฟ้าและปกคลุมตำหนักทั้งหมด กระแสวังวนส่งเสียงดังกึกก้อง โดยที่เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์หลากสีเล็ดลอดออกมาจากภายใน มันมีทั้งสีแดงเข้ม สีม่วง สีคราม สีเขียว… เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์หลากสีพุ่งออกมาและเปล่งพลังอันน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
ผู้คนในสำนักต่างตื่นตระหนกกับสิ่งนี้ ทุกคนล้วนหยุดทุกสิ่งที่กระทำและจ้องมองไม่วางตา ทั้งหมดล้วนประหลาดใจเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ ซ้ำยังตกตะลึงอย่างมาก
“เจ้าสำนัก… กำลังจะบรรลุสู่ขอบเขตเทวา?” ผู้ยิ่งใหญ่หลายคนคาดเดาบางอย่างได้ราง ๆ และอ้าปากค้างอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
สำหรับศิษย์เหล่านั้นที่การบ่มเพาะอยู่ต่ำกว่าขอบเขตราชันเซียน ดวงจิตแห่งเต๋าแทบจะพังทลายไปในทันที และจิตใจก็ว่างเปล่า ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังหวาดกลัวกับพลังศักดิ์สิทธิ์ภายในกระแสวังวนนั้นจนแทบจะคุกเข่าลงกับพื้น
เหตุการณ์นี้น่ากลัวเกินไป เนื่องจากพลังงานศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่ได้ลงมาจากท้องฟ้า และกลายเป็นกระแสวังวนที่หมุนอย่างดุเดือด โดยที่พลังของมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้บ่มเพาะทั่วไปสามารถต้านทานได้อย่างเต็มที่
ฟิ่ว! ฟิ่ว!
ไม่นานนัก เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นอีก ประตูอันเงียบสงัดที่ตั้งตระหง่านเหนือท้องฟ้าทั่วทั้งจักรวาล ดูเหมือนจะสังเกตเห็นบางสิ่ง และทันใดนั้นมันก็เริ่มสั่นเทา
หลังจากนั้น โซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาจำนวนมากก็ส่งเสียงดังกึกก้อง ขณะที่พวกมันพุ่งลงมาดั่งมวลที่หนาแน่น เหมือนกับกรงของเต๋าสวรรค์ที่สร้างขึ้นจากโซ่จำนวนนับไม่ถ้วน และตั้งใจที่จะพันธนาการสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ภายในสามภพ
“ไม่ได้การ! หากเจ้าสำนักถูกรบกวนในขณะนี้ เขาอาจจะล้มเหลว!” สีหน้าของชิวเสวียนซูและคนอื่น ๆ เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน และประหลาดใจอย่างมาก อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่มีอำนาจมากพอที่จะหยุดสิ่งนี้ เนื่องจากด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบัน แทบไม่อาจต้านทานพลังศักดิ์สิทธิ์ในฟ้าดินได้ ซ้ำยังไม่มีพลังพอที่จะโจมตีด้วยซ้ำ
ในขณะนี้ เหล่าผู้บ่มเพาะทั้งหมดในสี่พันเก้าร้อยทวีปของภพเซียน ล้วนสังเกตเห็นเหตุการณ์นี้อย่างต่อเนื่อง
ประตูบนท้องฟ้าที่ไร้การเคลื่อนไหวและเงียบสนิทได้ตื่นขึ้นอีกครั้ง ซ้ำยังส่งโซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาจำนวนมหาศาลลงมา นี้หมายความว่าอย่างไรกัน? หรือว่าภัยพิบัติอันเงียบงันกำลังจะกวาดล้างสามภพอีกครั้ง?
สิ่งมีชีวิตทั้งหมดตกตะลึงและไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
ฟิ่ว!
ท่ามกลางบรรยากาศที่กดดันอย่างยิ่ง จู่ ๆ ก็มีร่างหนึ่งพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ร่างนั้นเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมามากมาย เสมือนเป็นดวงอาทิตย์ที่เจิดจ้า ซึ่งค่อย ๆ ลอยขึ้นไปบนฟ้า และปรากฏในขอบเขตการมองเห็นของทุกคน
“นั่นอะไร?”
“ดูเหมือนว่าจะเป็นเจ้าสำนักเฉินซีแห่งสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า!”
“สวรรค์! นี่เขากำลังทำอะไรอยู่?”
ภพเซียนทั้งหมดปั่นป่วนและเต็มไปด้วยความโกลาหลไม่รู้จบขณะที่พวกเขาคาดเดาตัวตนของร่างที่ลุกโชนนั้น
โครม!
ก่อนที่คนอื่น ๆ จะหายจากอาการตกตะลึง พวกเขาเห็นร่างที่ลุกโชนนั้นยื่นมือออกมาและคว้ากระแสวังวนที่ปลดปล่อยเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์หลากสีถูกคว้าไว้ทันที และจากนั้นก็ระเบิดออกเป็นชิ้น ๆ กลายเป็นหยดแสงจำนวนนับไม่ถ้วนที่ตกลงมาจากท้องฟ้า และถูกดูดซับเข้าสู่ร่างนั้นจนหมด
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง มวลอันหนาแน่นของโซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาได้ลงมา คล้ายตั้งใจที่จะห่อหุ้มร่างที่ลุกโชนนั้น
“ฮึ่ม!” แต่ในขณะนี้ ร่างที่ลุกโชนนั้นพลันเงยหน้าขึ้น ชักกระบี่ออกมาดังลั่น พลางตวัดฟันใส่ท้องฟ้า ปราณกระบี่อันน่าทึ่งและไร้ขอบเขตได้กวาดออกไป ทำให้เกิดคลื่นแผ่นดินไหวจนสั่นสะท้านไปทั้งโลกา
ภายใต้การจ้องมองที่ประหลาดใจของสิ่งมีชีวิตมากมายในภพเซียน โซ่ศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นถูกฟันจนขาดสะบั้น และร่วงหล่นลงพื้น!
……….