บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1537 ความปรีดาของครอบครัวที่หวนบรรจบ
บทที่ 1537 ความปรีดาของครอบครัวที่หวนบรรจบ
……….
บทที่ 1537 ความปรีดาของครอบครัวที่หวนบรรจบ
แดนอำนาจเทวะถูกทำลายแล้ว!
ยอดฝีมือสูงสุดทั้งหมดของนิกายอำนาจเทวะถูกกวาดล้าง!?
ทันทีที่เฉินซีเปล่งวาจาเหล่านี้ ผู้คนรอบข้างก็เงียบกริบเช่นป่าช้า ม่านตาของเหล่าผู้ทรงอำนาจ รวมถึงชิวเสวียนซูล้วนหดตัว ร้องออกมาอย่างตกใจเกินยั้งปาก
หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นมาพูดเช่นนี้ พวกเขาคงหัวเราะเยาะคนผู้นั้นอย่างสุดแสนเหยียดหยัน ไม่แม้แต่จะพิจารณามันอย่างจริงจัง ถึงขนาดที่พวกเขาอาจหยามเย้ยคนผู้นั้นด้วยซ้ำไป
แต่เมื่อคำเหล่านี้ออกมาจากปากเฉินซี น้ำหนักของมันก็แตกต่างกันลิบลับ กระทั่งทำให้ไร้ผู้ใดกล้าตั้งคำถาม และไร้เหตุผลใด ๆ ให้กังขา
เพราะสถานะและตัวตนของเฉินซีในภพเซียนขณะนี้กำหนดไว้แล้วว่า ทุกวาจาที่เขากล่าวจะเปรียบเช่นกฎเกณฑ์อันไม่อาจก้าวข้าม เป็นสัจธรรมมหาเต๋า!
ทั่วทิศเงียบกริบไร้สำเนียง
พวกเขาทุกคนล้วนตกตะลึงกับข้อมูลนี้ ไม่อาจคืนจากความตื่นตะลึงได้เนิ่นนาน
ขณะที่หายนะมาเยือนสามภพ นิกายอำนาจเทวะเหมือนเป็นเงามืดเกาะกุมหัวใจผู้บ่มเพาะทุกคนในภพเซียนอย่างมิอาจชะล้าง ทำให้พวกเขาไม่อาจกินอิ่มนอนหลับ
ทว่าปัจจุบัน ขณะที่พวกเขากำลังจะฉวยโอกาสตอบโต้ เฉินซีก็บอกพวกเขาเว่าแดนอำนาจเทวะถูกทำลาย ขณะที่ยอดฝีมือจากนิกายอำนาจเทวะถูกกวาดล้างสิ้น ใครบ้างจะไม่ตกใจ?
และขณะนี้ เฉินซีก็อดผงะไม่ได้เช่นกัน จากนั้นก็สบตากับชิงซิ่วอี้ ก่อนจะหันกายจากไปเงียบ ๆ
ขณะที่สถานะและชื่อเสียงของเขาโผนทะยานสูงขึ้นเรื่อย ๆ เฉินซีก็สังเกตเห็นแล้วว่าตนไม่เหมาะปรากฏตัวบ่อยครั้งอย่างที่ทำในอดีต เพราะทุกการปรากฏตัวจะดึงสายตาเลื่อมใส เรียกเสียงฮือฮาอย่างชื่นชมทุกแห่งหน….
บางทีนี่อาจเป็นเกียรติยิ่งใหญ่หายากสำหรับบางคน แต่ในความเห็นของเฉินซี มันน่าเบื่ออย่างยิ่ง และเขาก็รู้สึกสุดอ้างว้างบนตำแหน่งสูงเช่นนี้
……
“แดนอำนาจเทวะถูกทำลาย ยอดฝีมือในนิกายอำนาจเทวะต่างถูกกวาดล้าง! เป็นข่าวดียิ่งสำหรับทุกคนในสามภพ ควรค่าให้ชื่นชมสรรเสริญ!”
“สวรรค์! เจ้าสำนักเฉินซีคงมิได้ทำเรื่องทั้งหมดนี้โดยลำพังหรอกกระมัง?”
“ต้องเป็นฝีมือเจ้าสำนักเฉินซีแน่ ๆ หากจะมีผู้ใดในโลกนี้ที่บดขยี้แดนอำนาจเทวะได้ จะยังมีผู้ใดอีกนอกจากเจ้าสำนักเฉินซีที่มีคุณสมบัติเพียงพอ?”
“สุดยอด! สุดยอดจริง ๆ!”
ครู่สั้น ๆ ต่อมา ผู้คนก็เหมือนฟื้นจากภวังค์ ร้องอุทานอย่างชื่นชม สรรเสริญไม่หยุดปาก
ขณะนี้ กระทั่งหัวใจของชิวเสวียนซู โจวจื่อหลี หวังต้าวหลู เซวียนหยวนพัวจวิน และผู้ทรงอำนาจคนอื่น ๆ ก็พลุ่งพล่านด้วยความรู้สึกต่าง ๆ ไม่อาจสงบลงได้เนิ่นนาน
หลังวีรกรรมนี้ จะยังมีผู้ใดในสามภพเป็นคู่มือให้เฉินซียามนี้ได้อีกบ้าง?
การยกเฉินซีเป็นตัวตนอันดับหนึ่งในสามภพหลังหายนะบังเกิด มิใช่การกระทำเกินไปเลย!
“ทุกท่าน!” ทันใดนั้น ชิวเสวียนซูก็สูดหายใจลึก ๆ กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวานชัดเจน “เจ้าสำนักลงมือ ทำลายแดนอำนาจเทวะ กวาดล้างยอดฝีมือทั้งหมดจนสิ้น ยามนี้เป็นโอกาสอันประเสริฐของเราในการตีคืนสามภพ ข้าวอนขอเพียงเรื่องเดียวคือ ทุกท่านกล้าเข้าร่วมศึกนี้หรือไม่?”
เสียงของเขาเลื่อนลั่นดุจอัสนีกึกก้องทั่วฟ้าดิน ทำให้โลหิตของทุกคนในที่นี้พลุ่งพล่าน
“สู้!”
“สู้!”
หลังจากนั้น เสียงตะโกนก็กระหึ่มขึ้นพร้อมเพรียง สนั่นลั่นสะท้านฟ้าดิน
ขณะนี้ พวกเขาทั้งหลายต่างถูมือกระเหี้ยนกระหือรือ ตั้งใจจะชำระภพเซียน ทวงคืนมาตุภูมิที่พวกตนสูญเสีย ชิงการควบคุมของภพเซียนคืนจากนิกายอำนาจเทวะ!
“ไปได้!” ชิวเสวียนซูตะโกนลั่น
……
วันนี้ เหล่าพันธมิตรของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าต่างออกจากเมืองเซียนสัประยุทธ์ด้วยการนำของตัวตนทรงอำนาจจากต่างกองกำลังเพื่อโจมตีโต้ตอบ
การจัดทัพนี้เกรียงไกรสะท้านภพเซียน ทำให้สรรพชีวิตทั่วทิศตื่นเต้นอย่างยิ่ง
และวันนี้เอง ข่าวการบุกบดขยี้สามสิบสามด่านแห่งแดนอำนาจเทวะ กวาดล้างยอดฝีมือทั้งหมดของนิกายอำนาจเทวะของเฉินซีก็ขจรขจายอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ
ดุจหนึ่งศิลาสร้างวงคลื่นนับพัน ทำให้ภพเซียนเกิดเสียงลือลั่นกระหึ่มเกินยามใด นามของเฉินซีกระทั่งกลายเป็นหัวข้อที่ทำให้ทุกคนหารือกันอย่างเปรมปรีดิ์
ชื่อเสียงของเฉินซีทะยานสูงจนเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของสามภพแล้ว!
ไม่อาจทราบว่าผู้ใดเป็นคนตัดสิน แต่นั่นกลายเป็นมุมมองร่วมของผู้บ่มเพาะทุกคนในภพเซียน ยิ่งกว่านั้น ยังไร้ผู้ใดรู้สึกว่าสมญานั้นเกินจริงเลยสักคน
ตลอดมา ราชันเซียนที่เฉินซีฆ่าไปรวมแล้วกี่คน?
ไม่อาจนับได้!
ชั่วกาลนี้ มีใครบ้างที่เทียบประชันเฉินซีได้?
ไม่มี!
ผ่านมาหลายปี เฉินซีกระทำผิดบาปร้ายแรงอันใดไว้หรือไม่?
ไม่เคย!
ดังนั้นผู้ยิ่งใหญ่อันมีชื่อเสียงและความแข็งแกร่งมหาศาล ยิ่งยงในสามภพนี้จะไม่ควรค่าต่อสมญายอดฝีมืออันดับหนึ่งในสามภพหรือ?
หลังสมญานี้บังเกิด ก็ใช่จะไร้ผู้ใดทั่วภพเซียนตั้งคำถาม แต่ทันทีที่มันบังเกิด โทสะจากสาธารณชนก็ถูกกระตุ้น บดขยี้มันลงอย่างดุร้ายทันที
ผู้กระทำไม่ใช่เฉินซี แต่เป็นเหล่าผู้บ่มเพาะทั้งหลายจัดการกันเอง นี่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าชื่อเสียงของเฉินซีในภพเซียนขณะนี้สูงส่งเพียงใด
……
อิทธิพลจากการทำลายแดนอำนาจเทวะ และความตายของเหล่ายอดฝีมือจากนิกายอำนาจเทวะไม่ได้จบลงเพียงเท่านี้
ในวันถัด ๆ ไป กองกำลังทั้งหลายทั่วภพเซียนต่างออกศึก เริ่มรวมกำลังขจัดกำลังที่เหลืออยู่ของนิกายอำนาจเทวะในหลืบมุมต่าง ๆ ของภพเซียน
เพียงไม่ถึงครึ่งปี ศิษย์นิกายอำนาจเทวะก็ไม่เหลือให้พบในภพเซียนแม้แต่คนเดียว!
ขณะเดียวกัน ชั่วครึ่งปีมานี้ เฉินซีใช้ชีวิตปลีกวิเวกอยู่กับเหล่าบุคคลอันเป็นที่รัก ผ่อนคลายสบายใจแยกห่างจากเรื่องราวในโลกหล้า
……
โลกในหม้อกลั่นเก้าทวีปศักดิ์สิทธิ์
ทิวทัศน์ปกคลุมด้วยเทือกเขาตระการตา ปกคลุมด้วยม่านหมอกโรยตัวลงจากนภา
ริมธารแห่งหนึ่ง
“ท่านปู่ ข้าก็อยากเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของสามภพในภายหน้าเหมือนกันขอรับ!” เด็กชายวัยแปดขวบอยู่ข้างกายเฉินซี เบิกตากว้างขณะโบกแขนน้อย ๆ พลางพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
เจ้าหนูน้อยนี้คือหลานชายของเฉินฮ่าว เฉินเป่าเปา เขาดูเข้มแข็งมาดมั่น แววตามีชีวิตชีวา เป็นเด็กน่ารัก
เฉินซีหัวเราะร่าพลางเย้า “หมายความว่า เจ้าตั้งใจจะถีบปู่ลงจากบัลลังก์หรือ?”
เฉินเป่าเปาหัวเราะหึ ๆ อย่างสุดแสนชอบใจ
“ฮึ! ท่านปู่อย่าสนใจเขาเลย เขาแค่พูดจาใหญ่โตไปแค่นั้นเองเจ้าค่ะ” เฉินอวิ๋นอวิ๋นบ่นมาจากอีกข้าง นางอายุมากกว่าเฉินเป่าเปาอยู่สองสามปี โตเป็นสาวสะพรั่ง เพรียวบางสง่างามแล้ว
เฉินเป่าเปาหงุดหงิดใจ ถลึงตามองเฉินอวิ๋นอวิ๋นทันที “ข้าเปล่านะ!”
“โอ้โห! นี่เจ้ากล้าทำตัวดุกับข้าด้วยหรือ!” คิ้วงามของเฉินอวิ๋นอวิ๋นเลิกคิ้ว แล้วจึงยกมือขึ้นบิดหูเฉินเป่าเปา เจ็บเสียจนฝ่ายหลังร้องลั่น น้ำตาเจียนเล็ด โวยวายขอความเมตตาไม่จบสิ้น
“เจ้าไม่ได้อยากเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในสามภพหรือ? เหตุใดมาร้องขอความเมตตาเล่า?” เฉินอวิ๋นอวิ๋นถาม
เฉินเป่าเปาพูดด้วยสีหน้าน่าสงสาร “ข้าไม่เป็นแล้ว ข้าจะเป็นยอดฝีมืออันดับสองในสามภพ”
“เหตุใดจึงเป็นยอดฝีมืออันดับสองในสามภพ?” เฉินอวิ๋นอวิ๋นถามอย่างฉงนใจ
“เพราะมีพี่หญิงอวิ๋นอวิ๋นอยู่ ไหนเลยข้าจะกล้าเรียกตัวเองว่ายอดฝีมืออันดับหนึ่ง?” เฉินเป่าเปาเป็นเด็กซุกซน และยังฉลาดอย่างยิ่ง เขาจึงยอนางอย่างแนบเนียน
เฉินอวิ๋นอวิ๋นยิ้มเบิกบานทันใด แล้วหยุดสร้างความลำบากให้
เฉินซียิ้มร่าอยู่ด้านข้าง สุดแสนสำราญกับการอยู่ร่วมกับครอบครัวตน
ครึ่งปีมานี้ เขาพาชิงซิ่วอี้ ฟ่านอวิ๋นหลาน และเฉินนั่วมายังโลกภายในหม้อกลั่นเก้าทวีปศักดิ์สิทธิ์ ใช้ชีวิตร่วมกับเฉินฮ่าว เฟยเหลิ่งชุ่ย เฉินอัน เฉินอวี่ และคนอื่น ๆ
นอกจากชี้นำกันบ่มเพาะ เฉินซีก็ดื่มสุรา พูดคุย ทำสมาธิบ่มเพาะในภพดวงใจ ใช้ชีวิตอย่างสงบเงียบ ไม่ได้สนใจเรื่องราวใด ๆ ในโลกภายนอก
“ฮะ! ท่านปู่หลิงไป๋ เล่นกับข้าหน่อย!” ทันใดนั้น เฉินเป่าเปาก็สังเกตเห็นหลิงไป๋จากไกล ๆ แล้วดวงตาของเขาก็เรืองประกาย วิ่งตะบึงเข้าไปหาอย่างตื่นเต้นทันที
“ข้าไปด้วยสิ” เฉินอวิ๋นอวิ๋นก็สุดปรีดา ตามหลังเฉินเป่าเปาไป
ไกลออกไปไม่ได้มีแค่หลิงไป๋ อาหมาน ชิงชิง และไป๋คุยก็อยู่ด้วยเช่นกัน ทั้งสี่ท่องโลกในหม้อกลั่นเก้าทวีปศักดิ์สิทธิ์ทุกวัน และเหล่าเด็กน้อย ทั้งเฉินเป่าเปาและเฉินอวิ๋นอวิ๋นต่างชื่นชอบพวกเขานัก
“เจ้าหนูสองคนนี้ เจอเพื่อนเล่นก็ลืมข้าทันทีเลยนะ” เฉินซีถูจมูก รู้สึกพูดไม่ออกอยู่บ้าง
หลังจากนั้น เขาก็ได้ยินเสียงแว่วมาไกล ๆ
“นั่วนั่ว เฉินอันโตพอ ๆ กับเจ้า แต่เขาในยามนี้กลับมีลูกแล้ว เหตุใดเจ้าไม่ใช้เวลายามเจ้าสะพรั่งงามที่สุดหาคู่บำเพ็ญเพียร คลอดหลานให้ข้าสักหน่อยเล่า? ดูสิว่าเป่าเปากับอวิ๋นอวิ๋นน่ารักเพียงใด” นั่นคือเสียงของฟ่านอวิ๋นหลาน
“ท่านแม่! ข้าบอกแล้วกี่หนกัน? ข้าไม่ต้องการเช่นนั้น!” เสียงของเฉินนั่วเจือความโกรธเคือง
“เหตุใดกัน? เหมือนในอดีตข้าจะตามใจเจ้ามากเกินไป ยามนี้เจ้าไม่กระทั่งจะฟังแม่แล้วหรือ?” เสียงของฟ่านอวิ๋นหลานกดต่ำลง
“เปล่านะ ข้าแค่….” เฉินนั่วเอ่ยปาก “ช่างเถอะ เว้นแต่ท่านจะหาชายที่เป็นแบบท่านพ่อได้ ต่อให้ฆ่าข้า ข้าก็ไม่แต่งกับใครทั้งสิ้น! ข้าไปบ่มเพาะก่อนนะ”
“หยุดตรงนั้นเลย!” ฟ่านอวิ๋นหลานโมโห
ไม่นานนัก เฉินซีก็เห็นฟ่านอวิ๋นหลานเดินเข้ามาไกล ๆ ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์
เขาอดพูดอย่างติดขำขันไม่ได้ “นั่วนั่วโตแล้ว นางมีมุมมองและความคิดของตนเอง ไม่ต้องไปทำให้นางลำบากใจหรอก อีกอย่าง ผู้บ่มเพาะน้อยนักที่เต็มใจจะมีคู่บำเพ็ญเพียร”
ฟ่านอวิ๋นหลานถอนหายใจเบา ๆ “เจ้าไม่เข้าใจหรอก”
“เฉินซี เจ้าอยู่นี่เอง” ทันใดนั้น ชิงซิ่วอี้ในอาภรณ์ขาวดุจหิมะ รูปลักษณ์งดงามก็เดินมาจากไกล ๆ
ทันทีที่นางเห็นชิงซิ่วอี้ ฟ่านอวิ๋นหลานก็รีบร้อนเก็บอาการ สีหน้ากลับไปเป็นสงบเงียบสำรวม
สตรีทั้งสองสบสายตา ต่างคนล้วนไร้วาจา ทำให้บรรยากาศกดดันขึ้นมานิดหน่อย
เฉินซีพลันรู้สึกเหมือนตนนั่งบนเบาะเข็มหมุด ครึ่งปีมานี้ ฟ่านอวิ๋นหลานและชิงซิ่วอี้พบหน้ากันมาไม่ต่ำกว่าร้อยหน ทว่าทุกครั้ง ทั้งสองเหมือนหันกระบี่ใส่กัน ต่างไม่สนใจอีกฝ่ายก่อน สร้างความปวดเศียรแก่เฉินซีอย่างยิ่ง
“ท่านพ่อ ข้าได้ยินว่าท่านจะไปในไม่ช้าหรือ?” บรรยากาศกดดันนี้ไม่ได้คงอยู่นาน ก่อนจะถูกทำลายลงด้วยหนึ่งเสียง ซึ่งก็คือเฉินอันผู้มาใหม่
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีโล่งอกอยู่ในใจ “ใช่ เจ้าพูดถูก”
“ไป?” ขณะเดียวกัน เมื่อฟ่านอวิ๋นหลานและชิงซิ่วอี้ได้ยินเช่นนั้น พวกนางก็พูดขึ้นพร้อมกัน ก่อนจะผงะไปเล็กน้อย ครึ่งปีมานี้ พวกนางอยู่ที่โลกในหม้อกลั่นเก้าทวีปศักดิ์สิทธิ์ เหินห่างจากเรื่องราวในโลกภายนอกเสมอมา ที่นี่เป็นเหมือนสรวงสวรรค์อันแยกห่างจากโลกหล้า หลงลืมทุกสิ่งภายนอกไป
เมื่อเฉินอันพูดขึ้นยามนี้ หัวใจของพวกนางก็รัดตัวทันที
“เจียนได้เวลาแล้ว ข้าไม่อาจยื้อได้อีกต่อไป หากไม่ ทางเชื่อมสู่แดนเทพโบราณคงจะปิดตัวลง” เฉินซีลุกขึ้นและตอบอย่างจริงจัง
ชั่วขณะนี้ นอกจากอยู่ร่วมกับผู้เป็นที่รักทั้งหลาย เขาก็ไม่ได้อยู่เฉย เตรียมการออกเดินทางสู่แดนโลกาวินาศเสมอมา และยามนี้ ใกล้ถึงเวลาที่เขาต้องจากอย่างไร้ทางเลือกแล้ว
“เจ้าจะไปยามใด?” ชิงซิ่วอี้ไม่อาจรั้งตนมิให้ถามได้
“อีกสองสามวัน ข้าจะไปสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า หลังเตรียมการรองรับสรรพสิ่งเสร็จสิ้น ข้าก็จะไปทันที” เฉินซีครุ่นคิดหนักอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ยปาก
ชิงซิ่วอี้และฟ่านอวิ๋นหลานนิ่งไปอีกครั้ง เขาจะไปเร็วเพียงนี้เลยหรือ?
……….