บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1536 กลับมาพร้อมหญิงงาม
บทที่ 1536 กลับมาพร้อมหญิงงาม
……….
บทที่ 1536 กลับมาพร้อมหญิงงาม
นอกสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า
บรรยากาศในวันนี้ผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด มีผู้คนมากมายเบียดเสียดแน่นขนัดนอกสำนักศึกษา กล่าวได้ว่าเป็นทะเลมหามวลชน
“ขณะนี้ กองกำลังของเราทั้งหมดที่อยู่ในเมืองเซียนสัประยุทธ์ตกลงกันแล้วว่าจะจู่โจมโต้ตอบนิกายอำนาจเทวะในวันนี้ รอเพียงความเห็นชอบจากผู้อาวุโสชิวเสวียนซูเท่านั้น”
“อนิจจา ท้ายที่สุด ผู้อาวุโสชิวเสวียนซูก็ไม่ใช่เจ้าสำนักเฉินซี ข้าเกรงว่าเขาอาจตัดสินใจครั้งสำคัญเช่นนี้ไม่ได้”
“ไม่ต้องห่วงไป ปฏิบัติการนี้ได้รับความเห็นชอบจากผู้ทรงอำนาจมากมายในสำนักศึกษาอย่างหวังต้าวหลู โจวจื่อหลี และเซวียนหยวนพัวจวินแล้ว ขณะนี้พวกเขากำลังขอคำอนุมัติจากผู้อาวุโสชิวเสวียนซู ด้วยเหตุนี้ ผู้อาวุโสชิวเสวียนซูจะไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน”
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นนะ”
ผู้คนพูดคุยกันอย่างเป็นมิตร เผยสีหน้ามีความหวังขณะมองไปยังสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า
ไม่กี่วันมานี้ สถานการณ์ทั่วทั้งภพเซียนแปรเปลี่ยนไป กองกำลังของนิกายอำนาจเทวะถอยร่นออกไปจากภพเซียน ผู้คนล้วนหลบซ่อน สิ่งนี้ทำให้เหล่ายอดฝีมือผู้มาหลบภัยในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าบังเกิดความหวังในฉับพลัน และออกคำร้องขอจู่โจมโต้ตอบนิกายอำนาจเทวะ ชิงการควบคุมของภพเซียนคืนมา
จนบัดนี้ เสียงเรียกร้องในทำนองเดียวกันทวีคูณสูงกว่าหนใด และยอดฝีมือทั้งหลายล้วนขอความเห็นชอบในการลงมือ ไม่อยากรีรออีกต่อไปแล้ว
ขณะนี้ พวกเขารอเพียงคำสั่งของชิวเสวียนซู ก่อนจะนำกำลังของเมืองเซียนสัประยุทธ์เข้ารุกบริเวณต่าง ๆ ในปกครองของนิกายอำนาจเทวะในภพเซียน
……
ตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋า
ชิวเสวียนซูครุ่นคิดหนักอย่างเงียบเชียบ
โจวจื่อหลี หวังต้าวหลู เซวียนหยวนพัวจวิน และอาจารย์ทั้งหลายต่างยืนเรียงกันตรงหน้า รวมถึงจั่วชิวเฟยหมิงและตัวตนชั้นผู้นำจากกองกำลังอื่น ๆ อย่างภพมังกรและเผ่าวิหคอมตะ
ตัวตนยิ่งใหญ่เหล่านี้ล้วนแล้วมาเพื่อขอคำอนุญาต ต้องการให้ชิวเสวียนซูเห็นชอบในปฏิบัติการนี้
เพราะถึงอย่างไร สถานการณ์ปัจจุบันของภพเซียนเป็นไปได้ดียิ่ง กองกำลังของนิกายอำนาจเทวะหนีไปหลบซ่อน เป็นโอกาสงามในการจู่โจมโต้กลับ ดังนั้นพวกเขาย่อมไม่เต็มใจทำเพียงมองโอกาสนี้หลุดมือไป
“ทุกท่าน แม้อาจารย์อาของข้าจะฝากหน้าที่ดูแลสำนักศึกษาทั้งหมดไว้ที่ข้าชั่วคราว แต่เรื่องนี้สำคัญยิ่งนัก หากเกิดข้อผิดพลาดประการใด ก็จะไร้ผู้สามารถรับผิดชอบเรื่องนี้ได้” ครู่สั้น ๆ ต่อมา ชิวเสวียนซูก็รำพึงเบา ๆ อันที่จริง เขาเห็นชอบการโต้ตอบนี้แล้ว แต่มีเรื่องให้ต้องพิจารณามากเกินไป และไม่สามารถตัดสินใจโดยอิงความรู้สึกของตัวเองได้
ยอดฝีมือทั้งหลายอดเผยความผิดหวังเล็กน้อยยามได้ยินเช่นนี้ไม่ได้
พวกเขาเข้าใจแน่แท้ ว่าการตัดสินใจของชิวเสวียนซูต่อปฏิบัติการนี้คลุมเครืออย่างยิ่ง หากผิดพลาดขึ้นมา พวกเขาก็จะไม่อาจให้คำอธิบายต่อเฉินซียามหวนคืนได้เลย
“หากพวกเจ้าคิดลงมือ ก็ทำได้เลย ไม่ต้องลังเลเลยสักนิด” ขณะนี้เสียงแผ่วเบาดังขึ้นในตำหนักศักดิ์สิทธิ์ พร้อมกันนั้น ร่างเพรียวบางงามสง่าของฟ่านอวิ๋นหลานก็ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นฟ่านอวิ๋นหลานปรากฏตัว ชิวเสวียนซูก็ผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบร้อนก้มหัวคารวะนาง
ขณะเดียวกัน ผู้ทรงอำนาจทั้งหลายต่างเผยเค้าความปรีดายามได้ยินเช่นนี้ พวกเขาตระหนักดีว่าฐานะของฟ่านอวิ๋นหลานไม่ธรรมดา นางเป็นคู่บำเพ็ญเพียรของเฉินซี
หากเรื่องนี้ได้รับความเห็นชอบจากฟ่านอวิ๋นหลาน ก็เท่ากับมีชัยไปครึ่งหนึ่งแล้ว
“แต่ทำเช่นนี้เหมือนว่า…” ชิวเสวียนซูลังเล็กน้อย
“เจ้าห่วงว่ามันจะล้มเหลวหรือ?” ฟ่านอวิ๋นหลานเอ่ยขัดทันที
ชิวเสวียนซูส่ายหัว “ปัจจุบัน สถานการณ์ของภพเซียนเหมาะสมแก่การโจมตีตอบโต้อย่างยิ่ง จึงห่างไกลหากจะล้มเหลว แต่ข้าก็ไร้ทางเลือกนอกจากต้องพิจารณามัน”
“เช่นนั้น เจ้ากังวลว่าอาจารย์อาของเจ้าจะลงโทษที่ตัดสินใจตามความรู้สึกตัวเองยามกลับมาหรือ?” ฟ่านอวิ๋นหลานถามต่อ
ชิวเสวียนซูคิดหนักอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงยิ้มเจื่อน “มิใช่เช่นนั้น”
“เช่นนั้น เหตุใดเจ้าจึงลังเล?” ฟ่านอวิ๋นหลานว่า “ภายหน้ายามอาจารย์อาของเจ้าจากไป เจ้าก็จะเป็นเจ้าสำนักศึกษาแทนเขา ต้องจำไว้ว่าเจ้าไม่สามารถโลเล ลังเล ตัดสินใจเชื่องช้ายามกระทำการ เพราะนี่รังแต่จะทำให้เจ้าอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก”
ชิวเสวียนซูรู้สึกละอายยิ่งนัก ประสานกำปั้นกล่าว “ท่านพูดถูก เสวียนซูเข้าใจแล้วว่าต้องทำเช่นไร”
……
ชั่วครู่ต่อมา ชิวเสวียนซูก็นำผู้ทรงอำนาจทั้งหลายออกไปนอกสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า
เห็นเช่นนี้ ผู้คนที่รวมตัวอยู่พลันตื่นเต้น ส่งเสียงโห่ร้องไร้สิ้นสุด ทราบแล้วว่าชิวเสวียนซูเห็นชอบต่อปฏิบัติการนี้แล้วแน่แท้!
“ผู้อาวุโสชิวเสวียนซู โปรดวางใจเถิด เราไม่ทำให้ท่านผิดหวังแน่นอน!”
“ถูกต้อง! เราสาบานแล้วว่าจะไม่กลับมา จนกว่าจะทวงคืนแดนดินภพเซียนที่นิกายอำนาจเทวะบุกรุกคืนมาได้!”
“ฮ่า ๆ ๆ! ผู้อาวุโสอนุญาตแล้ว ข้าไร้ความปรารถนาอื่นใดนอกจากทะลวงสามสิบสามด่านแดนอำนาจเทวะ ทำลายรังนิกายอำนาจเทวะให้สิ้น!”
“อย่าเพ้อเจ้อหน่อยเลย! แดนอำนาจเทวะอันตรายเกินธรรมดา นับแต่กาลก่อน ทวยเทพมากมายมุ่งหน้าไปที่นั่นเพื่อหวังถอนรากถอนโคนนิกายอำนาจเทวะ แต่พวกเขากลับล้มเหลวกลับมา เจ้าพูดเล่นเรื่องพรรค์นี้ไม่ได้นะ!”
ผู้คนโหวกเหวกเจี๊ยวจ๊าว สุดแสนตื่นเต้น
หัวใจของชิวเสวียนซูเต็มไปด้วยความฮึกเหิมยามเห็นเช่นนี้ แต่ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากนั้นเอง ม่านตาพลันหดตัว สายตาเบนไปมองไกลออกไปทันที
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
ทันใดนั้นเอง คลื่นเสียงกระหึ่มสะท้านฟ้าดินก็กึกก้องจากบริเวณหนึ่งอันสุดแสนห่างไกล ประหนึ่งสายฟ้าฟาดสนั่นเวหา กึกก้องทั่วโลกา
ขณะนั้น ทั้งเหล่าผู้ทรงอำนาจในสำนักศึกษาหรือผู้คนที่รวมตัวกันนอกสำนักศึกษาล้วนชะงัก สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เบนสายตาตาม ๆ กันไปอย่างพร้อมเพรียง
หนึ่งเงาร่างปรากฏขึ้นแสนไกลอย่างกะทันหัน มโหฬารคลุมนภาบังตะวัน ประหนึ่งทวีปลอยฟ้า
“นั่นคือ?” ทุกผู้คนสูดปากพร้อมเพรียง เพราะพวกเขาต่างตกใจเมื่อสังเกตเห็นว่าเงามหึมาคลุมนภาบังตะวันนั้น เป็นอสูรประหลาดขนาดมโหฬารอันน่าสะพรึงกลัวยิ่ง!
อสูรตนนี้มีรูปลักษณ์คล้ายเต่า ศีรษะดูเหมือนมังกร ดวงตามโหฬารดุจธารนที ยิ่งกว่านั้นทั่วร่างยังเต็มไปด้วยปราณเซียนยิ่งใหญ่ ดูประหนึ่งเทพอสูรบรรพกาล
ทันทีที่มันปรากฏตัว แรงกดดันมหาศาลก็แผ่ทั่วทิศ กระทบต่อทุกผู้คน ทำให้สีหน้าต่างตกตะลึง
ขณะนี้ กระทั่งชิวเสวียนซู หวังต้าวหลู โจวจื่อหลีและคนอื่น ๆ ต่างตะลึงตกใจ อสูรกลืนสวรรค์! อสูรบรรพกาลหายากอันสาบสูญเนิ่นนานจากยุคบรรพกาล!
“เวร! นั่นมันบ้าอะไรกัน!?” มีผู้อุทานอย่างตกใจ
“ใครจะสนเล่าว่านั่นอะไร? มันมาด้วยเจตนาร้ายชัด ๆ! ข้าจะไปแลกหมัดกับมันสักหน่อย!” ราชันเซียนอารมณ์ร้ายผู้หนึ่งคำรามลั่น พุ่งออกไปด้วยคิดสู้กับอสูรกลืนสวรรค์ทันที
ทว่าก่อนเขาจะทันได้ลงมือ หวังต้าวหลูข้างกายเขาก็หยุดไว้ “หยุด! เจ้าไม่สังเกตหรือว่าบนหลังอสูรกลืนสวรรค์นั่นมีคนอยู่สองคน?”
ทันทีที่สิ้นคำ ผู้คนมากมายในบริเวณใกล้เคียงก็นิ่งไป และเมื่อสังเกตดี ๆ พวกเขาก็เห็นสองเงาร่างซึ่งยืนอยู่บนหลังอสูรกลืนสวรรค์จริง ๆ แต่เพราะร่างของอสูรกลืนสวรรค์ใหญ่โตเกินไป สองร่างนั้นจึงดูเล็กจ้อยประหนึ่งมด ทำให้พวกเขาไม่ทันสังเกตทั้งสองมาก่อน
แต่ขณะนั้นเอง ทุกคนในบริเวณก็สังเกตเห็นคนทั้งสอง โดยเฉพาะเมื่อเห็นหนึ่งในคนทั้งสองชัด ๆ หลายคนก็อุทานอย่างตกใจ
“นั่นมัน?”
“เหมือนจะเป็นเจ้าสำนักเฉินซีนะ?”
“แต่ผมเขาเป็นสีขาว?”
“เป็นเขาแน่ ๆ! เขาคือเจ้าสำนักเฉินซี! สวรรค์! เขาปราบอสูรกลืนสวรรค์มาเป็นพาหนะ! ไม่ธรรมดายิ่งกว่าขี่มังกรหรือวิหคอมตะอีก!”
ขณะนี้ กระทั่งชิวเสวียนซูและคณะก็เห็นเฉินซีแล้วเช่นกัน แต่เมื่อเห็นเส้นผมสีขาวราวหิมะทั้งศีรษะ พวกเขาก็สัมผัสคลับคล้ายได้ว่าเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นกับเฉินซี
แต่ไม่นานนัก ความสนใจของพวกเขาก็ถูกดึงไปที่หญิงงามล้ำซึ่งยืนข้างกายเฉินซี
นางมีเรือนผมงดงามดำขลับ รูปลักษณ์ตราตรึง ริมฝีปากนุ่มแดง ผิวพรรณขาวผ่อง ดวงตาพร่างพราวเปี่ยมจิตวิญญาณ เมื่อยืนข้างเฉินซี นางก็เผยความงามบริสุทธิ์เกินธรรมดา กระทั่งฟ้าดินยังหม่นรัศมี
“เจ้าสำนักคงมิได้นำคู่บำเพ็ญเพียรกลับมาอีกคนหรอกกระมัง?” หวังต้าวหลูพูดติดตลก เพราะหนก่อนยามเฉินซีกลับมา เขาก็พาฟ่านอวิ๋นหลานกับเฉินนั่วมาด้วย และครั้งนี้ เขาก็พาอีกหนึ่งสตรีซึ่งงามเสียจนทำให้ผู้อื่นรู้สึกด้อยกว่ามา จึงไม่อาจหยุดความคิดนี้ได้
ผู้อื่นได้ยินเช่นนั้นก็แย้มยิ้ม รู้ว่าหวังต้าวหลูแค่หยอกเล่น
“พวกเจ้าพูดถูกแล้ว” ทว่าพวกเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อชิวเสวียนซูถอนใจเบา ๆ “นั่นคือคู่บำเพ็ญเพียรของอาจารย์อาข้าจริง ๆ นางมีนามว่าชิงซิ่วอี้ ศิษย์ของตำหนักเต๋าหนี่หวา ทั้งสองเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกันมาตั้งแต่อยู่ในภพมนุษย์ กระทั่งมีบุตรด้วยกันหนึ่งคนนามเฉินอัน”
คนอื่น ๆ ต่างผงะตกใจ มันจริงเสียอย่างนั้น!
ตู้ม!
ขณะนี้ ร่างมหึมาของอสูรกลืนสวรรค์ลดระดับลงมา หยุดลงบนเวหา
เฉินซีและชิงซิ่วอี้กระโดดลงมาที่ข้างกายชิวเสวียนซูและคณะ
“เจ้าสำนัก!”
“อาจารย์อา!”
คนอื่น ๆ เหมือนเพิ่งฟื้นจากฝัน รีบร้อนก้มหัวคารวะ
ผู้คนซึ่งรวมตัวกันนอกสำนักศึกษาก็พากันก้มหัว ทักทายเฉินซีเสียงดังเช่นกัน
ชั่วขณะนั้น นามของเฉินซีกึกก้องทั่วฟ้าดิน เป็นสภาพการณ์ยิ่งใหญ่สุดขั้ว
นี่เป็นครั้งแรกที่ชิงซิ่วอี้เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ และนางก็อดขยับเข้าไปใกล้เฉินซีกว่าเดิมมิได้ เพราะนางเป็นคนเงียบขรึม ไม่ชอบเป็นศูนย์กลางจุดสนใจ
เฉินซีตบบ่านาง จากนั้นก็กล่าวกับชิวเสวียนซูและคณะ “พวกเจ้าทำอันใดกันอยู่?”
ขณะเดียวกัน เขาก็กวาดสายตามองผู้คนนอกสถานศึกษาแล้วอดขมวดคิ้วมิได้
ชิวเสวียนซูรีบร้อนบอกเหตุผลกับเฉินซีทันที และเมื่อพูดจบก็เสริมว่า “อาจารย์อา ยามนี้ท่านกลับมา โปรดตัดสินใจเรื่องนี้ด้วยเถิด”
หลังทราบเรื่องทั้งหมด เฉินซีก็นิ่งไป เผยสีหน้าคลับคล้ายพิกล
“อาจารย์อา หรือเรื่องนี้จะมีข้อไม่สมควรใดขอรับ?” ชิวเสวียนซูสังเกตเห็นสีหน้าของเฉินซีแล้วใจสะท้านอย่างช่วยไม่ได้ คิดไปว่าเฉินซีไม่ชอบใจการกระทำของเขาอย่างยิ่ง
ตัวตนทรงอำนาจอื่น ๆ ก็หันมองเฉินซีอย่างพร้อมเพรียงกัน ทั้งประหม่าและกระวนกระวายในใจไม่แตกต่างกัน
ตำหนิพวกเขาที่รู้สึกเช่นนี้ไม่ได้ ขณะนี้ ชื่อเสียงของเฉินซีเกรียงไกรเสียจนกระทั่งเผยเค้ากลบรัศมีเหมิงซิงเหอ เจ้าสำนักคนเก่าแล้ว ภายในภพเซียนปัจจุบัน เขาคือตัวตนดุจตะวันกลางนภา
แม้จะเป็นหวังต้าวหลูและคณะซึ่งอยู่มาแสนนาน มากอาวุโสกว่าเฉินซีเกินนับก็มิกล้ากระทำการตามใจ ขนาดที่ยามเผชิญหน้ากัน พวกเขายังเปี่ยมความยำเกรงในใจ
บรรยากาศเงียบกริบ ผู้คนนอกสำนักศึกษาต่างมุ่งสายตามายังเฉินซี หัวใจกระวนกระวายยิ่ง
เฉินซีเห็นเช่นนี้ก็อดส่ายหัวไม่ได้ “ไม่ต้องประหม่ากันหรอก ข้าไร้เจตนาคัดค้านการกระทำนี้”
ทุกผู้ผ่อนหายใจโล่งอกกันทันที
“เช่นนั้น อาจารย์อามีความเห็นเช่นไรขอรับ?” ชิวเสวียนซูอดถามมิได้
“ทำตามเจ้าว่านั่นแหละ” เฉินซีตบบ่าชิวเสวียนซู กล่าวปลอบว่า “ไม่ต้องกลัวล้มเหลว แดนอำนาจเทวะถูกทำลายแล้ว ยอดฝีมือทั้งหลายตายสิ้น พวกเขาจะไม่เป็นภัยต่อภพเซียนอีกต่อไป”
“อะไรนะ?” ทันทีที่วาทะเหล่านี้ถูกกล่าว ทุกผู้ก็ตกตะลึง ผู้ทรงอำนาจทั้งหลายร้องออกมาอย่างตกใจ
……….