บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1535 ทำลายล้างแดนอำนาจเทวะ
บทที่ 1535 ทำลายล้างแดนอำนาจเทวะ
……….
บทที่ 1535 ทำลายล้างแดนอำนาจเทวะ
หลังจากการสู้รบครั้งใหญ่ ชั้นที่สามสิบสองของแดนอำนาจเทวะก็พังทลายลง
โลกได้แยกออกจากกัน ข้อจำกัดต่าง ๆ ถูกทำลาย ภูมิทัศน์ต่าง ๆ กลายเป็นพื้นที่รกร้างว่างเปล่า ศพของราชันเซียนจำนวนมากนอนจมกองเลือด อากาศเต็มไปด้วยกลิ่นคาวโลหิต เหตุการณ์นี้ดูน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง กลิ่นอายของความโศกเศร้าและความตายอบอวลอยู่ทุกที่
ในการต่อสู้ครั้งนี้ ศิษย์ชั้นยอดสามสิบหกคนของนิกายอำนาจเทวะ ที่อยู่ในขอบเขตราชันเซียนได้ถูกสังหารลง และไม่มีสักคนเดียวที่รอดชีวิต อินไฮว่คง นักพรตเต๋าทัวคงกับนักบวชอาวุโสคงจ้าวเองที่อยู่ในขอบเขตเทวาก็ถูกสังหารลงเช่นกัน
อาจกล่าวได้ว่ากองกำลังและเหล่าผู้อาวุโสทั้งหมดที่นิกายอำนาจเทวะเหลือทิ้งไว้ในสามภพ ได้ถูกกวาดล้างออกไปจนหมดในคราเดียว และไม่ได้อาจนำพาหายนะมาสู่โลกอีกต่อไป
และทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของเฉินซี!
……
เวลาผ่านไปและพื้นที่โดยรอบก็ค่อย ๆ สงบลง
เฉินซีและชิงซิ่วอี้ เดินเคียงข้างกัน ฝ่ายชายสูงและหล่อเหลา ผมสีขาวสลวยดุจหิมะสีเงิน ส่วนฝ่ายหญิงนั้นมีผมสีดำสนิทคลุมไหล่ รูปลักษณ์สวยงามและบริสุทธิ์ พวกเขาดูราวกับคู่เทพนางสวรรค์
ในไม่ช้าทั้งสองก็มาถึงด้านบนด่านที่สามสิบสาม
สถานที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขตแห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยความสับสนวุ่นวาย มีเพียงแท่นบวงสรวงเต๋าโบราณกับบัลลังก์ศักดิ์สิทธิ์ที่มืดมิดและสง่างามเท่านั้น ที่ตั้งตระหง่านอยู่ที่นั่น ไม่มีสิ่งอื่นใดอีก
สถานที่แห่งนี้แต่เดิมเป็นที่ที่ประมุขนิกายอำนาจเทวะบ่มเพาะและพำนัก แต่ยามนี้ด้วยภัยพิบัติ ประมุขนิกายอำนาจเทวะจึงได้หลบหนีออกไปจากสามภพแล้ว ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงไม่มีเจ้าของอีกต่อไป
ฟิ่ว~ ฟิ่ว~ ฟิ่ว~
หมอกโกลาหลกระจายปกคลุมไปทั่วบริเวณโดยรอบ ส่งเสียงคร่ำครวญ ความว่างเปล่าอันกว้างใหญ่ ทำให้สถานที่แห่งนี้ดูเงียบสงบยิ่งขึ้น
เมื่อเฉินซีมาถึงที่นี่ เขารู้สึกเหมือนเคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน
ทันใดนั้น เขาก็จำได้ว่ามันคือเหตุการณ์ที่สะท้อนผ่านแผ่นหยก ที่พ่อของเขาทิ้งไว้ในคุกเนตรเซียน
ในภาพนั้นคือ เฉินหลิงจวินในชาติก่อน ที่มีนามว่าไท่หลิง ผู้เป็นศิษย์น้องของประมุขนิกายอำนาจเทวะ ที่ครั้งหนึ่งเคยสนทนากับประมุขนิกายอำนาจเทวะอยู่ ณ ที่แห่งนี้
หลังจากการสนทนาครั้งนั้น ประมุขนิกายอำนาจเทวะก็ได้สังหารไท่หลิงลงด้วยมือของตนเอง
เพียงเหตุผลเดียวนั่นคือ ไท่หลิงไม่ต้องการอยู่ในสามภพอีกต่อไป และต้องการกลับไปยังแดนเทพโบราณ อย่างไรก็ตาม ประมุขนิกายอำนาจเทวะต่อต้านเรื่องนี้ ดังนั้นความขัดแย้งจึงเกิดขึ้น
เวลานี้ เมื่อเฉินซีได้ก้าวเท้าเข้ามายังสถานที่แห่งนี้แล้ว ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงเฉินหลิงจวินและจั่วชิวเสวี่ย
“แดนเทพโบราณ… พวกเขาจะเดินทางไปถึงกันแล้วหรือยัง?” เฉินซีจ้องมองไปรอบ ๆ อย่างว่างเปล่าเป็นเวลานาน และอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจแผ่วเบา
แผ่นหยกที่เฉินหลิงจวินทิ้งไว้ก่อนออกเดินทางในวันนั้น เผยให้เห็นว่าตราบใดที่เขาดูแลชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากอย่างดี วันหนึ่งทั้งเราก็จะสามารถกลับมารวมตัวกันอีกครั้งเมื่อเขาเดินทางไปถึงแดนเทพโบราณ
หลังจากกลับไปครานี้และรักษาอาการบาดเจ็บแล้วชายหนุ่มตั้งมั่นที่จะไปยังแดนโลกาวินาศ… แล้วดูให้รู้ว่าแดนเทพโบราณเป็นสถานที่เช่นใด! เฉินซีสูดหายใจเข้าลึก ๆ ความมุ่งมั่นแวบขึ้นมาในดวงตา และตัดสินใจอย่างแน่วแน่
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าแก่นแท้วิญญาณของอสูรกลืนสวรรค์นั้นถูกเก็บไว้ที่ไหน?” จู่ ๆ ชิงซิ่วอี้ที่อยู่ด้านข้างก็ถามขึ้น หลังจากที่นางมาถึงที่นี่ นางก็ค้นหาอยู่ตลอดเวลา แต่กลับไม่พบอะไรเลย
“ใต้บัลลังก์ศักดิ์สิทธิ์นั่น” เฉินซียกมือขึ้นและชี้ออกไป ท่ามกลางความโกลาหลที่ก่อตัวเป็นวงกว้าง รัศมีศักดิ์สิทธิ์ส่งผ่านออกมา ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาว ขึ้นและตกหมุนเวียนไป ตรงกลางของความสับสนวุ่นวาย มีบัลลังก์ศักดิ์สิทธิ์สีดำตั้งตระหง่านอยู่ สง่างาม ยิ่งใหญ่ ประดุจตัวแทนของอำนาจสูงสุด
ชิงซิ่วอี้ชะงัก นางเองก็สังเกตบัลลังก์ศักดิ์สิทธิ์นั่นเช่นกัน แต่นางไม่เคยคิดเลยว่า แก่นวิญญาณที่ถูกพรากไปจากสัตว์อสูรกลืนสวรรค์จะถูกผนึกไว้ใต้บัลลังก์ศักดิ์สิทธิ์นี้
ขณะที่พูด ร่างของพวกเขาก็กะพริบและมาถึงหน้าบัลลังก์ศักดิ์สิทธิ์สีดำในชั่วอึดใจ
เมื่อมองจากระยะใกล้ บัลลังก์ศักดิ์สิทธิ์นี้กลับดูธรรมดามาก มันเป็นสีดำสนิทราวกับม่านแห่งราตรีนิรันดร์ ไม่ได้ถูกแกะสลักตกแต่งแต่อย่างใด ทว่ากลับเต็มไปด้วยรัศมีที่น่าสะพรึงกลัว จนทำให้ใจสั่นไหว
ทว่านั่นไม่ใช่รัศมีของบัลลังก์ศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นรัศมีที่ประมุขนิกายอำนาจเทวะในอดีตทิ้งเอาไว้ มันทั้งสลัว คลุมเครือแต่กลับสง่างามและเจิดจ้าจนไม่อาจมองดูใกล้ ๆ ได้!
วูบ!
เฉินซีไม่ลังเลเลยที่จะเรียกกระบี่เต๋าวิบัติออกมา และฟันลงไปที่บัลลังก์อย่างแรง
เมื่อใช้กระบี่โจมตี ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหล เต๋าบงกชและมารบงกช ตอนนี้เขาได้ทำลายแดนอำนาจเทวะของนิกายอำนาจเทวะแล้ว หากทั้งสามได้เห็นฉากนี้พวกเขาก็คงจะมีความสุขมากใช่หรือไม่?
โครม!
ประกายศักดิ์สิทธิ์บนบัลลังก์ระเบิดออก และขวางกั้นกระบี่ของเฉินซีเอาไว้!
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ก่อนที่เฉินซีจะทันได้ลงมือต่อ จู่ ๆ ม่านแสงก็ปรากฏขึ้นจากบัลลังก์ศักดิ์สิทธิ์ และเปลี่ยนร่างเป็นชายในชุดคลุมสีดำ
ร่างนี้ดูสูงส่งอย่างไร้ขอบเขต เต็มไปด้วยรัศมีที่สง่างามยิ่ง ราวกับผู้ปกครองสรวงสวรรค์และโลก ผู้อยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง เพียงเศษเสี้ยวรัศมีก็ทำให้โลกสั่นสะเทือน
ประมุขนิกายอำนาจเทวะ!
เมื่อเห็นภาพลักษณ์ตรงหน้า หัวใจของเฉินซีก็สั่นไหว รูม่านตาหดตัวลง ชายหนุ่มคว้ามือของชิงซิ่วอี้ก่อนที่จะเคลื่อนย้ายถอยออกไปไกลอย่างรวดเร็ว
แต่ในไม่ช้า เฉินซีก็สังเกตเห็นว่าร่างนี้ไม่ได้มีอยู่จริง และมันเป็นตัวตนที่คล้ายคลึงกับตราประทับวิญญาณ ไม่ได้สร้างอันตรายใด ๆ
สิ่งนี้ทำให้เขาถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก พูดตามตรง ไม่ว่าตอนนี้จะมั่นใจในระดับการบ่มเพาะของตัวเองมากเพียงใด แต่ก็ยังไม่มีความมั่นใจว่า จะต่อต้านตัวตนอย่างประมุขนิกายอำนาจเทวะได้
“ผู้ที่กล้าดูหมิ่นบัลลังก์ของทวยเทพ จะต้องไม่ใช่ศิษย์ของนิกายอำนาจเทวะของข้าอย่างแน่นอน และในสามภพนี้ ก็มีอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถมาถึงด่านที่สามสิบสามของแดนอำนาจเทวะได้อย่างปลอดภัย” เสียงที่ว่างเปล่าและไม่แยแสดังกึกก้องไปทั่วสวรรค์และโลก ทันใดนั้นดวงตาของ ‘ประมุขนิกายอำนาจเทวะ’ ก็จับจ้องมาทางเฉินซี ราวกับแสงศักดิ์สิทธิ์สองสายกำลังส่องตรงมา
แม้ว่าเขาจะรู้ว่านี่ไม่ใช่ร่างที่แท้จริง แต่เฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัวเมื่อเผชิญหน้ากับการจ้องมองนี้
สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มขมวดคิ้ว และหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อโคจรลมปราณขจัดความตื่นตระหนก จากนั้นสีหน้าก็กลับมาเป็นปกติ
“เฉินซี! เป็นเจ้า?” เสียงของประมุขนิกายอำนาจเทวะดังก้องขึ้นอีกครั้ง ประหนึ่งเสียงฟ้าร้อง ที่มีความมั่นใจอยู่อย่างเต็มเปี่ยม
“แม้ว่าข้าจะไม่เคยพบเจ้ามาก่อน แต่ข้าก็ไม่เคยมองข้ามข้อมูลใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับตัวเจ้า และนั่นรวมถึงประสบการณ์เมื่อยังเป็นเด็กของเจ้าด้วย เส้นทางการบ่มเพาะของเจ้าในภพมนุษย์ และประสบการณ์ในภพเซียน ข้าเห็นทุกอย่างแล้ว”
เฉินซีรู้สึกหวาดกลัวอีกครั้ง เขาไม่คิดว่าประมุขนิกายอำนาจเทวะจะพูดเกินจริงหรือหลอกลวง เพราะมันไม่จำเป็นเลย แต่ทำไมประมุขนิกายถึงสนใจเขาขนาดนี้?
นี่คือเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้จิตใจของเฉินซีรู้สั่นสะท้าน
“ไม่จำเป็นต้องกังวลไป ข้าคิดว่าชายชราคนนี้แค่กำลังเล่นตลกกับเจ้า” เสียงที่อ่อนโยนและเยือกเย็นของชิงซิ่วอี้ดังขึ้นข้างหู ทำให้หัวใจของเขารู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันใด จากนั้นชายหนุ่มก็พยักหน้าให้อีกฝ่ายเพื่อบอกว่าตนสบายดี
“ข้าต้องยอมรับว่าหลังจากที่เจ้าครอบครองชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากแล้ว ศิษย์คนอื่น ๆ ของเขาเทพพยากรณ์ก็เทียบกับเจ้าไม่ได้แล้ว ในสามภพไม่มีใครสามารถมองทะลุชะตากรรมของเจ้าได้อีกต่อไป”
ประมุขนิกายอำนาจเทวะพูดด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ แต่กลับแฝงด้วยความรู้สึกสูงส่งยิ่ง “น่าเสียดาย การที่ชะตากรรมของเจ้าถูกปกปิด ก็หมายความว่าเจ้าเองก็จะควบคุมชะตากรรมของตัวเองได้ยากเช่นกัน”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เขาก็ยิ้มเล็กน้อยและพูดถึงเรื่องอื่น “ท้ายที่สุด สามภพนั้นก็เล็กเกินไป มันเหมือนกับกรงที่กักขังสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ และต่ำต้อยเอาไว้เท่านั้น ไม่ได้มีอะไรให้น่าพูดถึงเลย หากเจ้าปรารถนาที่จะสังหารข้า ก็จงใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด มาที่แดนเทพโบราณ ตัวข้าเองก็สนใจชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากที่เจ้ามีอยู่ไม่น้อย ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ตายในแดนโลกาวินาศเสียก่อน…” พร้อมกับคำพูดเหล่านี้ ร่างของประมุขนิกายอำนาจเทวะก็ค่อย ๆ จางลงเรื่อย ๆ ก่อนที่จะหายไป
ทุกอย่างกลับมาสู่ความเงียบงันอีกครั้ง ในขณะที่เฉินซียืนนิ่งอยู่ตรงจุดนั้น คิ้วเข้มขมวดแน่น ราวกับว่ากำลังครุ่นคิดบางอย่าง
เหตุใดประมุขนิกายอำนาจเทวะจึงทิ้งเจตจำนงเช่นนี้ไว้เบื้องหลัง? หรือเขาจะคาดการณ์ไว้แแล้วว่าข้าจะมาที่นี่? แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น เหตุใดเขาไม่เตรียมแผนจัดการข้าเสียที่นี่เลยล่ะ?
สิ่งที่พูดก่อนหน้านี้ เขาหมายถึงอะไรกันแน่?
ในตอนนี้ จิตใจของเฉินซีเต็มไปด้วยความคิดมากมาย อย่างไรก็ตาม เขาไม่สามารถอนุมานคำตอบที่ทำให้น่าพอใจได้เลย
“อย่าคิดมาก เห็นได้ชัดว่าประมุขนิกายอำนาจเทวะพยายามจะใช้กลยุทธ์หลอกลวงให้เจ้าสงสัย หากเจ้าไม่สามารถมาถึงสถานที่แห่งนี้ได้ เจ้าก็จะไม่มีทางจะได้พบตราประทับวิญญาณนั้นได้เช่นกัน” ชิงซิ่วอี้พูดเบา ๆ จากด้านข้าง
เฉินซีหายใจเข้าลึกและตื่นขึ้นมาจากภวังค์ของตน “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุด ข้าก็จะเดินทางไปยังแดนเทพโบราณ ไม่ว่าคำพูดของประมุขนิกายอำนาจเทวะจะเป็นภัยคุกคามหรือไม่ สักวันหนึ่งข้าก็จะสังหารเขาอยู่ดี”
โครม!
หลังจากที่พูดจบเสียงระเบิดก็ดังก้องขึ้น บัลลังก์สีดำเริ่มสั่นและแตกออกเป็นชิ้น ๆ
ราวกับทุกสิ่งเชื่อมต่อกัน ไม่นานหลังจากนั้น สวรรค์และโลกอันกว้างใหญ่นี้ก็เริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เวลาและมิติเริ่มผันผวน และส่งสัญญาณของการพังทลายอย่างแผ่วเบา
ไม่เพียงเท่านั้น ในเวลานี้ ทุกสิ่งภายในสามสิบสามด่านของแดนอำนาจเทวะกำลังสั่นสะเทือน ทุกสิ่งทุกอย่างพังทลาย สวรรค์และโลกก็ตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย รอยแยกอันน่าสะพรึงกลัวมากมายปรากฏขึ้น
“นี่มันดูไม่ดีเลย! แดนอำนาจเทวะกำลังจะถูกทำลาย!” ชิงซิ่วอี้หรี่ตาลง ขณะที่นางพูดด้วยความประหลาดใจ
“รอข้าสักครู่” ขณะที่พูด ร่างของเฉินซีก็กะพริบและหายไปทันที
“ไปกันเถอะ!” หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ร่างของเฉินซีก็กลับมา ชายหนุ่มคว้ามือของชิงซิ่วอี้ก่อนที่จะพุ่งออกไปด้วยการเคลื่อนย้ายมิติและจากไปอย่างรวดเร็ว
……
ครืน!
ในทางเดินใต้ซากปรักหักพังแห่งความโกลาหล อสูรกลืนสวรรค์ที่กำลังหลับตาอยู่ จู่ ๆ ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยเสียงรบกวนที่สั่นสะเทือนฟ้าดิน
มันปล่อยการรับรู้ออกไป หลังจากนั้นครู่หนึ่ง มันก็ร้องออกมาด้วยความตกใจ “โอ้ สวรรค์! แดนอำนาจเทวะกำลังพังทลายจริง ๆ ! เป็นไปได้อย่างไรกัน?”
อสูรกลืนสวรรค์ตกตะลึงอย่างมากจนแข็งทื่อไปทั้งตัว แดนอำนาจเทวะของนิกายอำนาจเทวะมีอยู่มาตั้งแต่สมัยบรรพกาลจนถึงยามนี้ และถูกโจมตีมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่มีผู้ใดสามารถทำลายมันได้เลย
แต่ตอนนี้มันกำลังพังทลายลงแล้วจริง ๆ ! ใครเป็นคนทำสิ่งนี้ได้สำเร็จกัน?
เป็นเด็กมนุษย์คนนั้นหรือ?
ฟุ่บ!
“ไปกันได้แล้ว!” ก่อนที่อสูรกลืนสวรรค์จะฟื้นจากอาการตกใจ ร่างของเฉินซีฉีกผ่านมิติมาปรากฏตัวบนท้องฟ้า สิ่งนี้ทำให้มันเข้าใจได้ทันทีว่าทั้งหมดนี้คงเป็นผลงานของเด็กคนนี้จริง ๆ!
ชั่วขณะหนึ่ง คลื่นแห่งความตื่นตระหนกก็ผุดขึ้นมาในใจของมัน เขาทำสำเร็จจริง ๆ… เด็กคนนี้เป็นใครกันแน่? เขาสามารถบดขยี้แดนอำนาจเทวะเพียงลำพังได้จริงหรือ?
“เจ้าจะยังยืนนิ่งอยู่ทำไมอีก? ไปกันได้แล้ว!” เฉินซีขมวดคิ้วและตะโกนด้วยเสียงต่ำ
ตอนนี้อสูรกลืนสวรรค์กลับไม่ได้โกรธ มันมองไปที่เฉินซีอย่างลึกซึ้งแทน ก่อนที่จะเริ่มขยับร่างอันใหญ่โตซึ่งครอบคลุมพื้นที่กว่าแสนลี้ แบกเฉินซีไว้บนหลัง ขณะที่พุ่งทะลุช่องว่างมิติหลายชั้นเพื่อออกไป
อ่านน้อยลง
……….