บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1532 ต่อสู้กับเหล่าเทพซึ่งหน้า
บทที่ 1532 ต่อสู้กับเหล่าเทพซึ่งหน้า
……….
บทที่ 1532 ต่อสู้กับเหล่าเทพซึ่งหน้า
พลังเทวะแผ่ซ่านออกไปและเติมเต็มฟ้าดินในทันที
ในขณะนี้ ทั้งสามสิบสามด่านของนิกายอำนาจเทวะตกอยู่ภายใต้ความหวาดกลัวครั้งใหญ่ ทุกสิ่งภายในนั้นคร่ำครวญและสั่นเทา ราวกับพวกมันได้ยอมจำนน แต่ก็ดูเหมือนใกล้จะพังทลายลงเช่นกัน
นี่คือพลังที่แท้จริงของเต๋าศักดิ์สิทธิ์!
พลังดังกล่าวได้เกินขอบเขตของสามภพแล้ว และพลังที่น่าสะพรึงกลัวดังกล่าวก็เพียงพอที่จะสร้างโลกขึ้นมาใหม่ สร้างภูมิทัศน์โดยรอบ เปลี่ยนสิ่งธรรมดาให้กลายเป็นไม่ธรรมดา มันจึงยิ่งใหญ่มาก!
ครืน!
ฟ้าดินข้างล่างถูกกลืนหายไปพร้อมคลื่นเสียงกัมปนาท อวกาศไม่อาจรักษาเสถียรภาพได้อีกต่อไป พลุ่งพล่านและระเบิดเป็นเสี่ยง ๆ พลันเปลี่ยนเป็นกระแสน้ำที่พัดพาไปทุกทิศทาง และโลกก็ตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย!
ทันใดนั้น ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง และความรู้สึกตื่นตัวก็ลุกโชนไปทั่วร่าง
ฟิ่ว!
จู่ ๆ ร่างของเขาก็เปล่งประกายแวววาว และมันวูบวาบผ่านชั้นอวกาศแตกสลายเพื่อเคลื่อนตัวออกไปไกล และหลีกเลี่ยงแรงกดดันที่แผ่ออกมาจากพลังเทวะนี้
หลังจากนั้น เขาก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่จักรวาลภายในร่างกายจะเริ่มส่งเสียงดังก้อง
ยันต์เทวะอนันต์หมุนเวียนอย่างเต็มกำลัง พลังงานของแก่นเต๋าบรรพกาลนั่นพลุ่งพล่านด้วยกลิ่นอายแห่งพลังเทวะที่ไหลทะลักออกมาจากภายในร่างกาย ทำให้ทั้งร่างเปล่งประกายรัศมีอันศักดิ์สิทธิ์ และห้อมล้อมด้วยยันต์ที่เหลือคณานับ
ณ เวลานี้ เฉินซีไม่กล้าลังเลแม้แต่น้อย และใช้ความสามารถทั้งหมดที่เขามีหลังจากบรรลุขอบเขตครึ่งเทวา
ชายหนุ่มตระหนักดีว่าการต่อสู้ครั้งนี้เปี่ยมด้วยอันตรายและคาดเดาไม่ได้!
ตั้งแต่ที่บ่มเพาะมาจนถึงตอนนี้ มันเป็นครั้งแรกที่เขาต้องเผชิญกับเทพที่แท้จริง และพวกมันยังมีมากกว่าหนึ่ง!
…
ฟิ่ว! ฟิ่ว! ฟิ่ว!
ท่ามกลางความโกลาหลน่าสะพรึงกลัวอันกว้างใหญ่นี้ จู่ ๆ อากาศก็เกิดการผันผวน และร่างอันทรงพลังสามร่างที่เปี่ยมด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้น น่าตกใจที่พวกมันคืออินไฮว่คง ผู้อาวุโสคงจ้าว และนักพรตเต๋าทัวคง
แต่กระนั้น พวกเขาดูแตกต่างออกไป ทุกการกระทำล้วนเต็มไปด้วยพลังเทวา ในขณะที่ยืนอยู่ที่นั่นอย่างปราศจากกังวล ดูเหมือนพวกมันจะกลายเป็นจ้าวผู้ครองสามคนที่ควบคุมฟ้าดินนี้ไว้ ซ้ำยังครอบครองพลังสูงสุด
เห็นได้ชัดว่าเพื่อบดขยี้เฉินซี พวกมันได้ปลดผนึกการบ่มเพาะ และฟื้นคืนพลังที่แท้จริงของขอบเขตเทวา
“ไอ้สารเลว! ในช่วงเวลาสั้น ๆ เจ้ากลับบังอาจฆ่าศิษย์น้องของข้า!”
ทันทีที่อินไฮว่คงปรากฏตัว เขาสังเกตเห็นว่าศิษย์ชั้นยอดสามสิบหกคนถูกทำลายล้างหมดสิ้น สิ่งนี้ทำให้สีหน้าของเขามืดมนทันที พร้อมกับแผ่จิตสังหารออกมา
จากไปไม่ถึงสี่ชั่วยาม แต่เฉินซีกลับสังหารผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตราชันเซียนระดับเลิศล้ำไปถึงสามสิบคน แล้วอินไฮว่คงจะไม่โกรธเคืองกับเรื่องนี้ได้อย่างไร?
ศิษย์เหล่านี้ล้วนเป็นเสาหลักของนิกายอำนาจเทวะ สำหรับควบคุมทั้งสามภพ!
บัดนี้พวกมันล้วนตายอย่างน่าสังเวช ซึ่งเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่สำหรับนิกายอำนาจเทวะ และมันถึงขั้นทำให้แผนการที่จะกวาดล้างทั้งสามภพสั่นคลอน!
“ก็แค่สวะกองหนึ่ง ต่อให้พวกมันถูกแล้วจะทำไม? หรือว่ามีเพียงนิกายของเจ้าเท่านั้นที่มีสิทธิ์สังหารผู้คนได้ตามอำเภอใจ?” เฉินซีแค่นเสียงอย่างเย็นชา แม้ว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับสามตัวตนในขอบเขตเทวา แต่เขาก็หาได้เกรงกลัวไม่ ในทางกลับกัน จิตวิญญาณต่อสู้ภายในร่างกายกลับพลุ่งพล่านและเดือดพล่านราวกับหินหลอมเหลว ทำให้กลิ่นอายที่แผ่ออกมารุนแรงยิ่งขึ้น
“อย่าได้เสียเวลากับเจ้าเด็กบัดซบนี้ รีบฆ่ามันซะ!” คงจ้าวกล่าวอย่างไม่แยแส คนผู้นี้สวมเสื้อคลุมสีแดงเลือด มีใบหน้าผอมแห้งและมืดมน
ในขณะที่เสียงยังไม่เลือนหายไปจากอากาศ เขาพลันเหยียดฝ่ามือแล้วฟาดไปที่เฉินซีซึ่งอยู่ในระยะไกล
คนผู้นี้ลงมืออย่างเด็ดขาด ซ้ำยังไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ครืน!
พลังฝ่ามือพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า แล้วถาโถมลงมาราวกับผืนฟ้าอันกว้างใหญ่ พลังเทวาที่แฝงลงมาพร้อมกับมันได้ปิดกั้นสภาพแวดล้อมทั้งหมดไว้ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าไร้ขอบเขต
“ฮึ่ม!” เฉินซีแค่นเสียงเย็น ร่างพลันพุ่งขึ้นฟ้าราวกับอีกาทมิฬ กระบี่เต๋าวิบัติที่ระยิบระยับด้วยแสงสีโลหิตก็ทะยานสู่นภา
ฟิ่ว!
มันทำลายพลังฝ่ามือที่ฟาดเข้ามาเป็นสองส่วน!
ท่ามกลางแสงเรืองร่องที่ระเบิดออกมาจากมัน เฉินซีหาได้ล่าถอย แต่กลับรุกคืบหน้า ซ้ำยังพุ่งตัวเข้าหาคงจ้าวอย่างดุเดือด
“มันคือขอบเขตครึ่งเทวาจริง ๆ แต่น่าเสียดายด้วยฝีมือต่ำทรามเช่นนี้ เจ้าจักต้องพินาศในวันนี้อย่างแน่นอน”
คงจ้าวมีสีหน้าไม่แยแส ร่างกายเปล่งประกาย ดาบศักดิ์สิทธิ์ปรากฏภายในฝ่ามือ ดาบเป็นสีดำสนิทและมีรูปร่างเหมือนจันทร์เสี้ยว ซ้ำยังมีกลิ่นอายแห่งพลังเทวะที่ทำให้หัวใจเต้นระรัวขณะที่มันฟาดฟัน
ดาบเล่มนี้เรียกว่าสังหารจันทรา มันเป็นสมบัติวิญญาณธรรมชาติที่คมกริบอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ และยังไร้เทียมทานเมื่อเผชิญหน้ากับเทพและปีศาจ!
โครม
ทั้งสองปะทะกันอย่างดุเดือดและพลังแห่งเทวาก็ดังกึกก้อง มันเหมือนกับโลกที่สายฟ้าแห่งการทำลายล้างได้ปะทุขึ้น บังเกิดเป็นคลื่นกระแทกอันน่าสะพรึงกลัวที่กวาดไปทั่วทั้งฟ้าดิน ทุกที่ที่มันผ่านไป มิติและเวลาจะสูญสิ้น ทุกสรรพสิ่งล้วนพินาศดับสูญ
ภายใต้อานุภาพของการโจมตีครั้งนี้ ร่างของเฉินซีและคงจ้าวสั่นไหว ซึ่งอันที่จริงทั้งสองนั่นมีฝีมือที่สูสีกัน
สิ่งนี้ทำให้สีหน้าของคงจ้าวมืดมน เพราะตระหนักถึงพลังฝีมือของเฉินซีนั่นน่าสะพรึงเพียงใด
ในทางกลับกัน เมื่ออินไฮว่คงและนักพรตเต๋าทัวคงเห็นสิ่งนี้ พวกเขาทราบดีว่าคงจ้าวเพียงคนเดียวอาจไม่สามารถรับมือเฉินซีได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นจึงพุ่งตัวออกไปอย่างไม่ลังเล
พวกมันคลายผนึกการบ่มเพาะ และเผยพลังที่แท้จริงที่ขอบเขตเทวา ดังนั้นพวกมันต้องใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุดเพื่อสังหารเฉินซี มิฉะนั้นพวกมันจะถูกโซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาพาตัวไป
นั่นไม่ใช่สิ่งที่พวกมันเต็มใจอย่างแน่นอน
แส้หางม้าหลั่งไหลด้วยประกายแสงอันศักดิ์สิทธิ์ และปลดปล่อยแสงไฟที่เผยปรากฏการณ์ลึกลับมากมายเมื่อมันถูกตวัดไปทั่ว ดูเหมือนจักรวาลถูกปกคลุมไปด้วยมหาสมุทรแห่งเปลวไฟที่ปกคลุมลงมา และมันมีพลังที่น่าสะพรึงกลัว
นี่คือสมบัติศักดิ์สิทธิ์ของนักพรตเต๋าทัวคง แส้หางม้าเมฆาอัคคี และมันเป็นสมบัติวิญญาณธรรมชาติ ตามตำนานเล่าว่าวิญญาณแก่นอัคคีจากภายในความโกลาหลได้กลายร่างเป็นวิญญาณดวงนั้น และมันเปี่ยมด้วยเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ เปลวเพลิงเหล่านี้เพียงเสี้ยวเดียวก็สามารถเผาผลาญปฐพีอันกว้างใหญ่ได้ และมันช่างน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
หวด!
กระบี่สีดำที่แคบและยาวพุ่งผ่านท้องฟ้า มันเป็นการโจมตีที่สะอาด ตรงไปตรงมา และเรียบง่ายอย่างสุดขั้ว แต่ก็ดูเหมือนลำแสงคมกริบที่มาจากภายในแก่นแท้ของความมืด ซ้ำยังเผยจิตหารสังหารอันน่าสะพรึงกลัว
นี่คือกระบี่พิบัติทมิฬของอินไฮว่คง แม้ว่ามันจะเป็นสมบัติวิญญาณประดิษฐ์ แต่ความสามารถในการทำลายล้างของมันก็น่ากลัวยิ่งกว่าสมบัติวิญญาณธรรมชาติบางชิ้นเสียอีก
ท้ายที่สุด ไม่ว่าจะเป็นสมบัติวิญญาณธรรมชาติหรือสมบัติวิญญาณประดิษฐ์ แต่ละอย่างก็ฤทธิ์เดชลึกล้ำของตนเอง และในแง่ของพลังโดยรวม ล้วนขึ้นอยู่ความแข็งแกร่งของผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ใช้มัน
ตัวอย่างเช่น กระบี่พิบัติทมิฬได้รับการกลั่นโดยประมุขนิกายอำนาจเทวะ หลังจากใช้เวลานับหมื่นปีในการรวบรวมสมบัติล้ำค่าทั่วทั้งแดนดิน ความสามารถในการทำลายล้างของมันจึงน่ากลัวมากจนไม่ด้อยไปกว่า ดาบสังหารจันทราของคงจ้าวและแส้หางม้าเมฆาอัคคีของทัวคง
ในขณะนี้ อินไฮว่คงและนักพรตเต๋าทัวคงได้ลงมือพร้อมกัน พวกมันต่างใช้สมบัติศักดิ์สิทธิ์ของตนออกไปเพื่อโจมตีเฉินซีอย่างดุเดือด ซึ่งหากเป็นราชันเซียนธรรมดา ๆ ก็คงไร้พลังที่จะต่อต้าน และหวาดกลัวจนหมดสติ
เฉินซีรู้สึกกดดันเป็นพิเศษเช่นกัน แต่ภายใต้ผลกระทบของแรงกดดันนี้ ชายหนุ่มไม่เพียงไม่หลบเลี่ยง แต่ยังพุ่งตัวไปข้างหน้าอีกครั้ง
ฟิ่ว! ฟิ่ว!
มือขวากวาดกระบี่เต๋าวิบัติออกไป ปลดปล่อยกระบี่ดอกบัวสีใสออกมามากมาย ซึ่งท่วมท้นไปทั้งฟ้าดิน
ในมือซ้าย กระบี่ยันต์ศัสตรากวาดผ่านนภา ซึ่งเผยให้เห็นผังยันต์เทวะจำนวนมากขณะที่มันแผ่พุ่งผ่านผืนฟ้า
การโจมตีของกระบี่ทั้งสองปะทะกับนักพรตเต๋าทัวคงและอินไฮว่คงตามลำดับ ซึ่งทันใดนั้น เสียงกัมปนาทก็ดังก้องไปทั่วฟ้าดิน ราวกับภูเขาจำนวนนับไม่ถ้วนได้ปะทะกัน และแหลกลาญเป็นเสี่ยง ๆ
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
ร่างของเฉินซีสั่นสะท้าน พลางถอยกลับไปสามก้าวอย่างควบคุมไม่ได้ ยิ่งกว่านั้น ทุกย่างก้าวนั่นทำให้อวกาศแตกเป็นเสี่ยง ๆ และหลุมดำจำนวนมากก็ฉีกกระชากออกมา
ในทางกลับกัน อินไฮว่คงและนักพรตเต๋าทัวคงไม่ได้ขยับแม้แต่ก้าวเดียว และพวกเขาไม่ได้รับอันตรายใด ๆ
เห็นได้ชัดว่าเฉินซีเป็นฝ่ายด้อยกว่าในการปะทะกันครั้งนี้ และถูกโจมตีจนต้องถอยร่นกลับไป
“ฆ่า!”
“โจมตีพร้อมกัน!”
“เราไม่อาจเสียเวลาอีกต่อไป!”
เมื่อเห็นเช่นนี้ อินไฮว่คง ผู้อาวุโสคงจ้าวและนักพรตเต๋าทัวคง ผู้ซึ่งมีประสบการณ์การต่อสู้อันโชกโชน ย่อมคว้าโอกาสนี้เพื่อผสานการโจมตีอีกครั้ง และตั้งใจที่จะทำลายล้างเฉินซีในคราวเดียว
ในเวลานี้เองที่รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏที่ริมฝีปากของเฉินซี แม้ว่าเขาจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่ก็ต้านทานการโจมตีของเทพทั้งสองได้
ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นการปะทะกันซึ่งหน้า!
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีที่กำลังต่อสู้กับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเทวาเป็นครั้งแรก ได้ตระหนักว่าพลังฝีมือในปัจจุบันของตนนั้นสามารถก้าวข้ามขอบเขตเพื่อต่อสู้กับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเทวาได้แล้ว
แค่นี้ก็เกินพอ!
ครืน!
การต่อสู้ปะทุขึ้นอย่างสมบูรณ์ เฉินซีตกอยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบขณะที่ต่อสู้กับเทพทั้งสามเพียงลำพัง พวกเขาได้เปลี่ยนนิกายอำนาจเทวะทั้งหมดให้กลายเป็นสนามรบ ซ้ำยังต่อสู้ขึ้นไปบนผืนฟ้าและลงสู่ผืนดิน ต่อสู้จนสวรรค์ ปฐพี สุริยัน และจันทรามืดหมอง
ฉากการต่อสู้ที่หายากเช่นนี้ ทำให้ดูเหมือนกับว่าพวกเขาได้ย้อนกลับสู่ยุคบรรพกาลเมื่อเหล่าเทพต่อสู้เพื่อชิงอำนาจสูงสุด ซึ่งเผยปรากฏการณ์ที่น่าเศร้าและน่าสะพรึงกลัวทุกประเภท
หากมีคนอื่นอยู่ที่นี่ บุคคลนั้นจะต้องประทับใจต่อพลังฝีมือของเฉินซีอย่างมาก เพราะเขาสามารถต่อสู้กับเทพสามองค์ได้อย่างซึ่งหน้า ทั้งที่อยู่ในขอบเขตครึ่งเทวา แม้ท้ายที่สุดจะต้องพ่ายแพ้ แต่ก็เพียงพอที่จะถูกพิจารณาว่ามีพลังฝีมือที่ไม่ผู้ใดเทียบได้ และทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในสามภพต้องตกใจ!
…
เวลาผ่านไป เฉินซียังคงเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
ร่างสูงใหญ่โรมรันกับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเทวาสามคน ยิ่งกว่านั้น พวกมันยังมีสมบัติศักดิ์สิทธิ์มากมาย และครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์สูงสุด ดังนั้นเมื่อพวกมันต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ก็เห็นได้ชัดว่าพลังต่อสู้นั้นน่ากลัวเพียงใด
แม้จะเป็นเทพที่แท้จริง ก็ยังรู้สึกว่ายากที่จะต้านทาน
ในทางกลับกัน แม้เฉินซีจะบรรลุขอบเขตครึ่งเทวา แต่ก็สามารถต่อสู้ข้ามขอบเขตได้ และยังมีพลังที่ฝีมือที่ต่อกรกับขอบเขตเทวาได้ เขาไม่เพียงแต่เผชิญหน้ากับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเทวาเพียงคนเดียว แต่มีถึงสามคน!
นี่หมายความว่าอย่างไร?
หมายความว่าชายหนุ่มไม่เพียงแค่ต่อสู้ข้ามขอบเขต ซ้ำยังเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้หลายคนที่มีขอบเขตบ่มเพาะสูงกว่า!
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าพลังฝีมือจะท้าทายสวรรค์สักเพียงใด ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบได้ และเริ่มแสดงสัญญาณของการถูกสยบอย่างราง ๆ
แต่ถึงกระนั้น พลังฝีมือที่เฉินซีได้เผยออกมา ทำให้อินไฮว่คงและคนอื่น ๆ รู้สึกสะเทือนใจที่สุด และความตกใจที่พวกเขารู้สึกก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อการต่อสู้ดำเนินต่อไป
ไม่ถึงปีที่ผ่านมา เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านั่นเพิ่งบรรลุขอบเขตราชันเซียนเท่านั้น บัดนี้ไม่เพียงแต่จะทะลวงการบ่มเพาะเพื่อบรรลุขอบเขตครึ่งเทวา แต่พลังฝีมือยังน่าสะพรึงจนสามารถต่อสู้กับเทพทั้งสามได้อย่างซึ่งหน้าเพียงลำพัง ความเร็วในการบ่มเพาะที่น่ากลัวเช่นนี้ ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่อาจจินตนาการได้และเหลือเชื่ออย่างยิ่ง!
หากเขามีเวลาเติบโตมากกว่านี้ เกรงว่าแม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเทวาก็ไม่สามารถทำอะไรกับเขาได้
เมื่อเวลาผ่านไป ในขณะที่การต่อสู้ดำเนินต่อไป พวกมันก็ยังไม่สามารถบดขยี้เฉินซีได้สักที สิ่งนี้ทำให้หัวใจของอินไฮว่คงและคนอื่น ๆ รู้สึกหนักอึ้งยิ่งขึ้น ซ้ำยังต้องยอมรับว่าเฉินซีเป็นตัวประหลาดที่ไม่อาจตัดสินได้ตามหลักสามัญสำนึก เป็นอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้ ถึงขั้นอาจกล่าวได้ว่าหายากที่จะพบในประวัติศาสตร์ตั้งสมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน
ความเข้าใจดังกล่าว ทำให้จิตสังหารในหัวใจของอินไฮว่คงและคนอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้น จึงทำการรุกคืบทีละขั้นอย่างเด็ดเดี่ยว ด้วยความตั้งใจที่จะกำจัดเฉินซี
เท่าที่พวกมันกังวล ถ้าหากไม่อาจสังหารเฉินซีได้ในครั้งนี้ ผลที่ตามมาก็ยากจินตนาการได้ และในอนาคต เฉินซีจะต้องกลายเป็นภัยคุกคามที่ไม่มีใครสามารถปราบปรามได้!
“ฆ่า!”
“ครั้งนี้เราต้องฆ่าให้มันได้!”
“เห็นได้ชัดว่าเจ้าเด็กนี้พยายามถ่วงเวลา เมื่อโซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาลงมา การต่อสู้ครั้งนี้ก็จะจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของเรา เราต้องบดขยี้เจ้าเด็กนี้ในคราวเดียว!”
อินไฮว่คงและคนอื่น ๆ กล่าวผ่านกระแสปราณ และทุกคนได้กระตุ้นจิตสังหารในใจของตน พลังโจมตีเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ซ้ำยังดูน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม ทำให้เฉินซีไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหลบซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วโซเซกลับไป
สถานการณ์เริ่มไม่เอื้อต่อเฉินซีมากขึ้นเรื่อย ๆ…
……….