บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1525 ตามติดประชิดหลัง
บทที่ 1525 ตามติดประชิดหลัง
……….
บทที่ 1525 ตามติดประชิดหลัง
ร่างอันงามสง่าในสมรภูมินั้นโดดเด่นเหนือธรรมดา นางสวมอาภรณ์ขาวดุจหิมะ เรือนผมงามดำขลับทิ้งตัวดุจน้ำตก ดวงตาพร่างพราว ใบหน้างดงามสงบเงียบดูประหนึ่งอยู่ในม่านพิรุณพรำ ทำให้บรรยากาศรอบกายดูฟุ้งเฟ้อประหนึ่งภาพฝัน
ร่างของนางวูบไหวท่ามกลางศัตรู เปล่งอำนาจแห่งแสงเรืองรองบริสุทธิ์ ทุกการลงมือให้บรรยากาศสุขุม เยือกเย็นและเฉียบชา ส่งให้นางดูโดดเด่นเป็นอย่างยิ่ง
ในหมู่ศิษย์นับพันของนิกายอำนาจเทวะ ย่อมไม่ขาดแคลนตัวตนระดับราชันเซียน และสมรภูมิก็ปกคลุมเต็มไปด้วยชั้นข้อจำกัด ทว่ากลับไม่อาจทำอันตรายใด ๆ นางได้
เมื่อมองมาจากไกล ๆ หญิงสาวดูเหมือนลำแสงวูบไหวเหนือหุบเขาดาบและทะเลเพลิง เจิดจรัสเหนือผู้ใด
ปรากฏว่านางคือชิงซิ่วอี้!
นี่คือเหตุผลที่ทำให้ร่างของเฉินซีนิ่งชะงักในเฉียบพลันประหนึ่งถูกฟ้าผ่า นั่นเป็นเพราะนางคือคู่บำเพ็ญเพียรของเขา ภรรยาของเขา!
ตั้งแต่เขายังอยู่ในนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ณ แดนภวังค์ทมิฬ ชิงซิ่วอี้ในขอบเขตเซียนทองคำทะลวงข้อจำกัดสวรรค์ ขึ้นสู่ภพเซียน
ยามนั้น นางรับปากเฉินซีไว้ว่า นางจะมาหาเมื่อเขาเข้าสู่ภพเซียน
ทว่าแม้กาลจะผ่านไปแสนนาน ทั้งสองก็ยังไม่อาจได้พบหน้าด้วยเหตุผลนานัปการ แสดงให้เห็นชัดเจนถึงการเล่นตลกของโชคชะตา
ภายหลัง หายนะบังเกิดแก่สามภพ ในที่สุดเฉินซีก็ได้ข่าวคราวของชิงซิ่วอี้จากสืออวี๋
ทว่าก่อนที่เขาจะทันได้ไปพาชิงซิ่วอี๋กลับจากตำหนักเต๋าหนี่หวามาอยู่ด้วยกัน ชายหนุ่มก็ได้ข่าวว่าพิภพเบญจขันธ์ ที่ตั้งของตำหนักเต๋าหนี่หวาปิดตัวสาบสูญ ขณะที่ผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่ของตำหนักเต๋าหนี่หวามุ่งหน้าไปยังแดนโลกาวินาศ
เรื่องนี้ทำให้เฉินซีรู้สึกทุกข์ใจเสมอมา
แต่เขาไม่คาดเลย ว่าจะได้มาพบนางในแดนอำนาจเทวะ!
เหตุใดนางจึงมาที่นี่?
ทั้งที่อยู่ในสามภพแท้ ๆ แต่เหตุใดจึงไม่มาพบข้า?
เกลียวคลื่นอารมณ์โถมซัดในใจเฉินซีขณะที่ความคิดของเขาแล่นเร็วจี๋ ไม่ว่าเขาจะคิดเช่นไร ก็ไม่อาจคิดออกว่าเหตุใดชิงซิ่วอี้จึงทำเช่นนี้
ฟ่านอวิ๋นหลานไม่มาพบข้าเพราะไม่อยากแทรกแซงชีวิตข้า แล้วนางเล่า? ต่อให้ไม่อยากพบข้า กระทั่งอันเอ๋อร์ นางก็ไม่อยากพบ?
เมื่อความคิดมาถึงตรงนี้ เฉินซีก็อดรู้สึกเศร้าเล็กน้อยไม่ได้
……
ไกลออกไป ศึกยังคงดำเนิน
ท้ายที่สุด เฉินซีก็ไม่เผยตัว ประการแรก เขาเห็นว่าความแข็งแกร่งปัจจุบันของชิงซิ่วอี้เพียงพอรับมือศัตรูทั้งมวลตรงหน้า และสอง เขาอยากรู้ว่าชิงซิ่วอี้มาที่นี่เพราะเหตุใดแน่
เขาตระหนักชัดเจนยิ่งว่า หากออกไปพบชิงซิ่วอี้ยามนี้ ด้วยอุปนิสัยเงียบขรึม นางไม่มีทางบอกเหตุผลที่แท้จริงกับเขาแน่นอน
เพราะนางทะนงเกินไป ทะนงจนไม่คิดอธิบายเรื่องใด นี่รวมถึงเวลาพูดคุยกัน ยิ่งกว่านั้น นิสัยนี้ก็ไม่อาจแก้ได้
หากเปลี่ยนได้ เช่นนั้นนางก็ไม่ใช่ชิงซิ่วอี้อีกต่อไป
วูบ!
ร่างของเฉินซีวูบไหว ใช้เคล็ดวิชาเร้นกายเงียบเชียบ หากมิใช่ตัวตนผู้มีความแข็งแกร่งสูงกว่าอย่างมหาศาล ย่อมไม่มีผู้ใดตรวจพบอย่างแน่นอน
หลังจากนั้น เขาก็พินิจชิงซิ่วอี้อย่างระมัดระวัง
น่าเสียดายที่ใบหน้างดงามของชิงซิ่วอี้ยังคงนิ่งสงบเฉยชา จึงไม่อาจพินิจอารมณ์ของนางในยามนี้ได้
ดังนั้นเฉินซีจึงตัดสินได้เพียงว่า ด้วยการบ่มเพาะปัจจุบันของนาง ได้มาถึงขั้นสูงสุดของขอบเขตราชันเซียนแล้ว ทักษะเต๋าพัฒนาถึงขั้นสมบูรณ์ ดังนั้นการผนึกกำลังโจมตีของราชันเซียนทั่วไปห้าหกคนจึงคณนามือแม้แต่น้อย
เห็นได้ชัดว่าตลอดเส้นทางฝึกฝนในตำหนักเต๋าหนี่หวา ความแข็งแกร่งของชิงซิ่วอี้พัฒนาก้าวกระโดด ถือได้ว่ามิอาจเทียบกันได้เลย
แต่เมื่อคิดแล้ว เฉินซีก็เข้าใจ
จากสิ่งที่เขารู้ หญิงสาวเผชิญสังสารวัฏมาแล้วร้อยหน ตัวตนของนางลึกลับยิ่งกว่าเฉินหลิงจวิน บิดาของเขาเสียอีก และด้วยฝีมือกับชาติกำเนิด ประกอบกับสารพัดประสบการณ์ที่สั่งสมมาในอดีตชาติ ก็ไม่มีทางเลยที่ความแข็งแกร่งของนางจะหยุดนิ่ง
ตู้ม!
ทันใดนั้น คลื่นเสียงกึกก้องก็สะท้านสะเทือนแดนดินมาจากไกล ๆ
อาภรณ์ของชิงซิ่วอี้โบกสะบัด เคลื่อนกายลำพังในสมรภูมิ หญิงสาวทำลายข้อจำกัดชั้นแล้วชั้นเล่า กระทั่งกองกำลังส่วนใหญ่ของศิษย์นิกายอำนาจเทวะนับพันยังถูกนางกวาดล้างไป
โลหิตพร่างพรม เสียงกรีดร้องโหยหวนดังระงมไม่จบสิ้น ศิษย์ที่เหลืออยู่ไม่กี่คนของนิกายอำนาจเทวะแตกตื่นหนีกระเจิงเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี มิกล้าสู้กับชิงซิ่วอี้ต่อ
ชิงซิ่วอี้ไม่ได้ไล่ตามพวกเขาไป
นางยืนท่ามกลางสมรภูมิ อาภรณ์ขาวดุจหิมะตัดกับแอ่งโลหิตเนืองนอง ดูประหนึ่งเมฆาขาวพิสุทธิ์ บริสุทธิ์เงียบงัน เหนือธรรมดาเกินจับต้อง
หญิงสาวเงยหน้ามองไปไกลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพลิ้วกายหายไปอย่างรวดเร็ว
เจ้ายังคิดไล่ล่าต่อไปอีกหรือ? แสนไกลออกไป เฉินซีขมวดคิ้ว เขารู้ว่าชิงซิ่วอี้ตั้งใจออกจากด่านสิบแปด มุ่งหน้าสู่ด่านสิบเก้า หายนะพิบัติสรวง
ชายหนุ่มครุ่นคิดลึกล้ำอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตามนางไปเงียบ ๆ
……
“จัดค่ายกล!”
“ลงมือเร็วเข้า!”
“ฆ่านางคนจากตำหนักเต๋าหนี่หวานี่เสีย!”
ณ หายนะพิบัติสรวง ศิษย์นิกายอำนาจเทวะตั้งขบวนรบ สร้างข้อจำกัดชั้นแล้วชั้นเล่าภายใต้การนำของห้าราชันเซียน พร้อมเปิดศึก
อันที่จริง แนวป้องกันของนิกายอำนาจเทวะแข็งแกร่งอย่างยิ่ง แต่ละด่านล้วนปกคลุมด้วยสารพัดข้อจำกัด และเมื่อใช้พวกมัน ก็กล่าวได้ว่าทุกย่างก้าวเปี่ยมล้นด้วยจิตสังหารและอันตรายสุดขั้ว
หากเปลี่ยนผู้บุกรุกเป็นราชันเซียนทั่วไปสักคน ราชันเซียนผู้นั้นคงถูกสังหารตั้งแต่ด่านแรก
ขณะเดียวกัน สาเหตุที่ชิงซิ่วอี้บุกเดี่ยวมาจนถึงด่านสิบเก้าได้โดยลำพังนั้น เป็นเพราะความแข็งแกร่งของนางห่างไกลเกินราชันเซียนทั่วไปมากนัก ดังนั้นข้อจำกัดทั้งหลายจึงมิอาจส่งผลใด ๆ ต่อนางได้เลย
กระทั่งเฉินซียังไร้ทางเลือก นอกจากยอมรับว่าอำนาจในมือชิงซิ่วอี้ขณะนี้ไม่ต่างจากเขายามก้าวเข้าสู่ขอบเขตราชันเซียนเท่าไหร่เลย
ถึงขนาดที่อำนาจต่อสู้ของชิงซิ่วอี้เหนือกว่าชิวเสวียนซูอยู่นิดหน่อย
สิ่งนี้ยิ่งทำให้เฉินซีสงสัย เหตุใดนางจึงมาที่นี่กันแน่?
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
ศึกปะทุขึ้นอีกครั้งในเฉียบพลัน
ศัตรูสามพันหกร้อยคน ห้าราชันเซียน ข้อจำกัดร้อยหกสิบแปดชั้น… การจัดทัพเช่นนี้มีหรือจะระคายนาง? เฉินซีตัดสินสถานการณ์ศึกได้ทันที แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น เขาก็ยังอดเป็นห่วงชิงซิ่วอี้ไม่ได้
ชายหนุ่มสั่งสมอำนาจเตรียมพร้อม หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันแม้เพียงน้อยนิด เขาจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือนางอย่างไม่ลังเล เพราะเทียบกับการหยั่งเหตุผลแท้จริงในการมาของชิงซิ่วอี้ เขาห่วงความปลอดภัยของนางมากกว่า
หญิงสาวบุกทะลวงมาถึงด่านสิบเก้าแล้ว มีหรือคนอื่น ๆ ในนิกายอำนาจเทวะจะมิอาจตัดสินสถานการณ์? ศิษย์เอกชั้นยอดอินไฮว่คงอยู่หนใด? คงมิใช่ว่าเขาจะทำเพียงมองศิษย์ทั้งหลายถูกสังหารไปเช่นนี้หรอกกระมัง? ทันใดนั้น เฉินซีก็สังเกตเห็นความผิดปกติ จนบัดนี้ นิกายอำนาจเทวะเหมือนไม่ได้ปฏิบัติกับชิงซิ่วอี้อย่างจริงจัง และไม่ได้ส่งยอดฝีมือแท้จริงในขอบเขตราชันเซียนมาเลย
มันผิดปกติ
ไม่ว่าอย่างไร ในเมื่อมีข้ามาแล้ว ข้าย่อมไม่มีทางให้นางเผชิญอันตราย… เฉินซีสูดหายใจลึก ๆ ขณะที่ดวงตาเรืองประกายเด็ดเดี่ยว
……
ขณะเดียวกันนั้นเอง ในพื้นที่เหนือด่านทั้งสามสิบสาม
ผู้คนมากมายนั่งขัดสมาธิเหนือแท่นบวงสรวงเต๋าโบราณแห่งหนึ่ง พวกเขาล้วนมีอำนาจยิ่งใหญ่อหังการ เผยบรรยากาศแข็งแกร่งยิ่งใหญ่
ปรากฏว่าทั้งศิษย์เอกชั้นยอดแห่งนิกายอำนาจเทวะ อินไฮว่คง และศิษย์ชั้นยอดอันดับห้าเจี้ยงหลิงเซียว รวมถึงศิษย์ชั้นยอดอื่น ๆ อีกมากมายก็รวมตัวอยู่ที่นี่
นอกจากศิษย์ชั้นยอดเหล่านี้ ยังมีชายชราในชุดคลุมสีเลือดอีกสองคนที่สะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง หนึ่งมีใบหน้าผอมซูบ สีหน้าดำคล้ำ ดวงตาลึกโหล ทั่วร่างปกคลุมด้วยชั้นหมอกมหาเต๋าบดบัง
อีกคนนั่งตรงสง่า สีหน้าเข้มงวด พื้นที่ระหว่างคิ้วคมเข้มเต็มไปด้วยจิตสังหาร ขณะที่ดวงตาแปลบปลาบประกายเยี่ยงสายฟ้า ดูน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
ชายชราทั้งสองคือนักบวชสองคนของนิกายอำนาจเทวะ ผู้อาวุโสคงจ้าวและนักพรตทัวคง!
“ศิษย์พี่ใหญ่ ชิงซิ่วอี้จากตำหนักเต๋าหนี่หวาบุกขึ้นมาถึงด่านสิบเก้าแล้วนะขอรับ” ศิษย์ชั้นยอดผู้หนึ่งกล่าวอย่างเป็นกังวล ในมือของเขาถือกระจกทองแดงบานหนึ่ง สะท้อนภาพศึก ณ ด่านสิบเก้าอยู่ภายใน
อินไฮว่คงผู้สวมหมวกไม้ไผ่สานขมวดคิ้ว เหลือบมองเจี้ยงหลิงเซียวก่อนจะพูดว่า “ศิษย์น้องหญิงเจี้ยง นำศิษย์น้องของเราไปอีกสองสามคน จบศึกโดยเร็วที่สุด”
เจี้ยงหลิงเซียวพยักหน้า ลุกขึ้นนำศิษย์ชั้นยอดอีกสามคนจากไปอย่างรวดเร็ว
หลังออกคำสั่ง อินไฮว่คงก็กวาดตามองคนอื่น ๆ “ข้าเชิญพวกเจ้าทั้งหมดมาในวันนี้ เพราะมีข่าวสำคัญจากแดนโลกาวินาศ”
แดนโลกาวินาศ! หัวใจทุกดวงสั่นสะท้าน กระทั่งสายตาของสองนักบวชแห่งนิกายยังหรี่ลงเล็กน้อย เผยเค้าสีหน้าจริงจัง
“ในข้อมูลที่นิกายส่งกลับมาจากแดนโลกาวินาศ สถานการณ์ที่นั่นไม่สู้ดีนัก แม้ข้าจะไม่อาจสืบสถานการณ์ที่แน่ชัดได้ แต่ก็ยังยืนยันว่ามีใครบางคนเข้าสู่แดนเทพโบราณได้แล้ว” สีหน้าของอินไฮว่คงเคร่งขรึมขึ้นมา
“อะไรนะ?”
“เป็นไปได้อย่างไร? นิกายอำนาจเทวะของเราวางกำลังไว้มากมายในแดนโลกาวินาศ ขวางทางไปยังแดนเทพโบราณไว้ตั้งนานแล้ว เรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร?”
หัวใจของคนอื่น ๆ กระตุกวูบ
“ไม่ว่าอย่างไร เรื่องนี้ก็พิสูจน์แล้วว่าเกิดขึ้นจริง” น้ำเสียงของอินไฮว่คงแหบแห้งทว่านุ่มนวล กล่าวขึ้นอย่างเนิบช้า “จากการอนุมานของข้า ในเมื่อเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น อีกไม่นาน ประตูสู่แดนเทพโบราณจะปิดลงอย่างสมบูรณ์ กระทั่งท่านประมุขก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้”
สีหน้าของพวกเขาทั้งมวลมืดหมอง
แม้พวกเขาจะกระทำการแทน ‘เต๋าสวรรค์’ ตลอดมา แต่หากคิดอยากเข้าสู่แดนเทพโบราณ พวกเขาก็ยังต้องมีคุณสมบัติเพียงพอเข้าไป ยามนี้ หากประตูสู่แดนเทพโบราณปิดลง พวกเขาย่อมสิ้นโอกาสเหยียบย่างสู่แดนเทพ!
“ศิษย์พี่ใหญ่ เช่นนั้นเราควรทำเช่นไร?” มีผู้อดถามคำถามนี้ออกมาไม่ได้
คนอื่น ๆ เองก็มุ่งสายตามายังอินไฮว่คงเช่นกัน
“ไม่ต้องร้อนใจไป ยังต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งจนกว่าทางเชื่อมสู่แดนเทพโบราณจะปิดลง ในชั่วขณะนั้น งานสำคัญสูงสุดของเราคือ…” อินไฮว่คงสูดหายใจลึก ๆ น้ำเสียงเผยจิตสังหารเบาบาง “กำจัดเฉินซี บดขยี้สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า และกำจัดราชันเซียนทั้งหมดในสามภพ!”
เขาเว้นช่วงครู่หนึ่ง จึงกล่าวต่อ “มีเพียงการทำเช่นนี้ เราจึงสามารถออกเดินทางสู่แดนโลกาวินาศได้เร็วที่สุด แล้วจึงรวมตัวกับคนอื่น ๆ จากนิกาย มุ่งหน้าสู่แดนเทพโบราณด้วยกัน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผู้คนต่างครุ่นคิดลึกล้ำอยู่ครู่หนึ่ง จึงตอบตกลงอย่างเป็นเอกฉันท์
“ครานี้ โปรดให้ข้ายืมแรงสร้างสมบัติวิญญาณธรรมชาติชั้นหนึ่งขึ้นด้วย ด้วยสมบัตินี้ ต่อให้ใช้ฆ่าเจ้าเด็กเฉินซีนั่น ก็จะง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ!” ทันใดนั้น อินไฮว่คงก็พลิกฝ่ามือ แล้วเหรียญทองแดงอันเฉิดฉันสามเหรียญก็ลอยตัวปรากฏขึ้น หมุนวนไม่จบสิ้นบนอากาศ เผยบรรยากาศโกลาหลร้ายกาจเกินคะเน
……….