บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1520 เมืองเหมันต์ม่วง
บทที่ 1520 เมืองเหมันต์ม่วง
……….
บทที่ 1520 เมืองเหมันต์ม่วง
ตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋า
“เจ้ากำลังบอกว่ากองกำลังทั้งหมดของนิกายอำนาจเทวะที่อยู่ทั่วภพเซียนได้ล่าถอยไปแล้วหรือ?” เฉินซีประหลาดใจเล็กน้อย
“ใช่แล้ว กองกำลังทั้งหมดที่อยู่ภายใต้การควบคุมของนิกายอำนาจเทวะ บัดนี้ได้ถูกมันทอดทิ้งหมดไปแล้ว” ชิวเสวียนซูพยักหน้า
“เจ้าหาสาเหตุได้หรือไม่” เฉินซีครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งพลันถาม
ในปัจจุบัน ภัยพิบัติกำลังแขวนอยู่บนท้องฟ้าเหนือจักรวาลทั้งหมด และเป็นโอกาสดีที่สุดสำหรับนิกายอำนาจเทวะที่จะกวาดล้างสามภพ ซึ่งถึงขั้นที่รุกรานภพเซียนไปมากกว่าครึ่งแล้ว
ทว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ กองกำลังของนิกายอำนาจเทวะที่รุกรานภพทั้งสามได้ล่าถอยไปแล้วจริง ๆ นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก
ชิวเสวียนซูกล่าว “ณ ปัจจุบัน ข่าวลือที่แพร่หลายในภพเซียนได้เกิดขึ้นภายในนิกายอำนาจเทวะจนไม่มีเวลาไปสนใจกับเรื่องต่าง ๆ ในโลกภายนอก และเท่าที่ข้าทราบ ดูเหมือนมีบางอย่างเกิดขึ้นในด่านทั้งสามสิบสามของนิกายอำนาจเทวะ ทว่าข้าไม่แน่ใจว่ามันเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งภายในหรือไม่”
เฉินซีคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้าเป็นเรื่องจริง นี่ถือได้ว่าเป็นนิมิตหมายอันดี”
ชิวเสวียนซูกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถูกต้อง ในตอนนี้กองกำลังต่าง ๆ ที่เข้าร่วมกับเรา ล้วนกระเหี้ยนกระหือรือที่จะคว้าโอกาสนี้เพื่อเปิดฉากตีโต้ต่อนิกายอำนาจเทวะ”
เฉินซีขมวดคิ้วมุ่น “แล้วเจ้าคิดเห็นอย่างไร”
“ข้าคิดว่า แทนที่จะต้องตั้งรับอยู่ที่นี่ เราควรลองดูสักตั้ง” ชิวเสวียนซูครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งครู่หนึ่ง
เฉินซีส่ายศีรษะ “นิกายอำนาจเทวะเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมและกลอุบาย ซ้ำยังมีชื่อเสียงเลื่องลือในด้านกลยุทธ์อันล้ำลึก เนื่องจากสถานการณ์ได้พลิกผันอย่างกะทันหัน มีใครกล้ายืนยันไหมว่านี่ไม่ใช่แผนร้ายของมัน?”
ชิวเสวียนซู ตกตะลึง “แล้วท่านอาจารย์อาคิดว่าเราควรทำอย่างไร?”
“เราควรทราบสถานการณ์ที่แน่ชัดก่อนตัดสินใจ” เฉินซีชำเลืองมองชิวเสวียนซู พร้อมกล่าวว่า “เสวียนซู ไม่ว่านิกายอำนาจเทวะจะใช้กลอุบายหรือไม่ก็ตาม แต่ก็ถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจแล้ว”
หัวใจของชิวเสวียนซูสั่นไหว “ท่านอาจารย์อา ท่านมีแผนการใด”
“ข้าเหลือเวลาไม่มากแล้ว” เฉินซีถอนหายใจเบา ๆ พลางมองด้วยสายตาว่างเปล่าไปยังท้องฟ้าเหนือตำหนักศักดิ์สิทธิ์
มีประตูบานหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ที่นั่น และเป็นทางเข้าที่นำไปสู่แดนโลกาวินาศ
เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้เกิดลางสังหรณ์ขึ้นในหัวใจอย่างควบคุมไม่ได้ หากเขาไม่ใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุดเพื่อมุ่งหน้าไปยังแดนโลกาวินาศ ก็คงไม่สามารถไปยังแดนเทพโบราณได้คราบชั่วนิรันดร์
ยิ่งกว่านั้น การบ่มเพาะได้มาถึงจุดที่จะทะลวงสู่ขอบเขตเทวาแล้ว แม้ว่าจะไม่ได้พึ่งพาพลังของผลวิญญาณเต๋า ทว่าคงใช้เวลาไม่นานที่เขาจะกลายเป็นเทพได้ในรวดเดียว!
ในเวลานั้น แม้จะไม่เต็มใจที่จะจากไป แต่โซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาจะสังเกตเห็นการมีอยู่ของเขา และถูกบังคับพาไปอย่างแน่นอน
ดังนั้นจึงต้องใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด และเตรียมการสำหรับทุกสิ่ง ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังแดนโลกาวินาศ ซึ่งโดยปกติแล้ว เขาจะต้องกำจัดนิกายอำนาจเทวะที่เป็นเหมือนเนื้อร้ายของสามภพให้หมดสิ้นเสียก่อน
เพียงคำพูดของเฉินซี ชิวเสวียนซูก็เข้าใจความหมายทั้งหมด และอดไม่ได้ที่จะตกใจ “ท่านอาจารย์อา ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าขอบุกนิกายอำนาจเทวะไปพร้อมกับท่านได้หรือไม่?”
เฉินซีส่ายศีรษะ “ไม่จำเป็น ข้าคนเดียวก็เพียงพอแล้ว ยิ่งกว่านั้น สำนักยังต้องการใครสักคนอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องมัน และถ้าเจ้ายืนกรานเช่นนั้น ข้าก็ไม่มั่นใจว่าจะมอบหมายหน้าที่ให้กับใครได้อีก”
มันเป็นความจริง ความแข็งแกร็งของชิวเสวียนซูในปัจจุบันนั่นเป็นอันดับสองรองจากเฉินซีเท่านั้น ซ้ำยังเป็นศิษย์หลาน และเมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่น ๆ แล้ว เขาย่อมไว้วางใจให้ชิวเสวียนซูดูแลสถานการณ์ภายในสำนักมากกว่า
นี่ไม่ได้หมายความว่า เฉินซีไม่ใช่ไม่วางใจหวังต้าวหลู โจวจื่อหลี และคนอื่น ๆ แต่เป็นเพราะการบ่มเพาะและความแข็งแกร่งที่ด้อยกว่า บางทีพวกเขาอาจจะสามารถควบคุมสำนักได้สักระยะหนึ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป ปัญหาย่อมมีโอกาสปะทุสูง
ยิ่งไปกว่านั้น คำพูดของเฉินซียังแฝงด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง เพราะหากเขามุ่งหน้าไปยังแดนโลกาวินาศ ตำแหน่งเจ้าสำนักย่อมตกเป็นของชิวเสวียนซู!
“อาจารย์อา ข้าเกรงว่า… นี่คงไม่เหมาะสม” ชิวเสวียนซูย่อมเข้าใจคำพูดของเฉินซีโดยธรรมชาติ และอดไม่ได้ที่จะตกใจ ท้ายที่สุดแล้ว หากพิจารณาอย่างรอบคอบ เขาก็ไม่ใช่ศิษย์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าด้วยซ้ำ
“สำนักจักรพรรดิเต๋าแห่งนี้ ก่อตั้งขึ้นโดยปรมาจารย์จี้อวี๋ และปรมาจารย์จี้อวี๋ก็เป็นบรรพจารย์ของเจ้า แล้วเหตุใดถึงไม่เหมาะ?” เฉินซีอธิบายด้วยเสียงแผ่วเบา จากนั้นก็ตัดสินใจว่าไม่อนุญาตให้ชิวเสวียนซูปฏิเสธ
…
“ข้ากำลังมุ่งหน้าไปยังสามสิบสามด่านของนิกายอำนาจเทวะ ไม่ต้องห่วง ข้าจะกลับมาเร็ว ๆ นี้” หลังจากที่เขาตัดสินใจแล้ว เฉินซีก็ไปตามหาฟ่านอวิ๋นหลาน แล้วบอกนางทุกอย่าง
“นั่นคือฐานที่มั่นของนิกายอำนาจเทวะ และมันอันตรายอย่างยิ่ง หากเจ้าไปลำพัง…” ฟ่านอวิ๋นหลาน มองเฉินซีด้วยสายตาเป็นกังวล ในใจไม่ยินยอมที่จะปล่อยเฉินซีไปเสี่ยงภัยนี้เพียงลำพัง
เฉินซีคว้าฝ่ามือของฟ่านอวิ๋นหลาน แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “มีบางสิ่งที่ต้องยุติในสักวัน ยิ่งกว่านั้นเจ้าไม่เชื่อในความแข็งแกร่งของข้าหรือ?”
ฟ่านอวิ๋นหลานเงยหน้าขึ้นมองตาเฉินซี “เจ้าต้องรีบกลับมานะ”
นางไม่ได้ให้คำแนะนำใด ๆ เพราะรู้ดีว่าเมื่อเฉินซีตัดสินใจเรื่องนี้แล้ว ก็ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนแปลง สิ่งเดียวที่นางทำได้ คือรอการกลับมาของเขาอยู่ที่นี่
“อืม เจ้าอย่าได้บอกเรื่องนี้กับนั่วนั่ว” เฉินซียิ้มพลางก้มศีรษะลงและจูบฟ่านอวิ๋นหลานทันที หลังจากนั้นเขาก็หันหลังกลับ แล้วจากไปอย่างรวดเร็วภายใต้สายตาประหลาดใจ นุ่มนวล และเขินอายของนาง
“คนผู้นี้… ในที่สุดก็ริเริ่มสักที…” ฟ่านอวิ๋นหลานเม้มริมฝีปากแดงของนาง ดวงตาสุกใสทอประกายแวววาว ใบหน้าที่งดงามและวิจิตรอย่างไร้ผู้เปรียบก็ร้อนผ่าวราวกับเปลวไฟที่ลุกโชน ทำให้นางดูสวยงามอย่างไม่มีใครเทียบได้ ถึงขั้นทำให้ฟ้าดินหมองลงเมื่อเปรียบเทียบกัน
“ท่านแม่ เขาอยู่ที่ใดหรือ?” หลังจากนั้นไม่นาน เฉินนั่วก็เดินหาวเข้ามาอย่างไม่กระสับกระส่าย แต่เมื่อนางเห็นฟ่านอวิ๋นหลานเพียงลำพัง ก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเล็กน้อย
เพราะทุก ๆ วันในเวลานี้ ไม่ว่าฝนจะตกหรือแดดออก เฉินซีจะทุ่มเทความสนใจเพื่อชี้แนะแนวทางในการบ่มเพาะของนาง แม้นางจะอยากทำตัวเกียจคร้าน แต่ก็จะถูกฟ่านอวิ๋นหลานบังคับกลับมาที่นี่อย่างดุเดือด ดังนั้นมันจึงค่อย ๆ กลายเป็นกิจวัตรประจำวัน
“ใครหรือ?” ฟ่านอวิ๋นหลานตกตะลึง และนางยังคงไม่ฟื้นคืนสติจากเหตุการณ์เมื่อครู่
“เขา” เฉินนั่วมองไปที่ฟ่านอวิ๋นหลานด้วยสายตาสงสัย
“เขาไปแล้ว” จู่ ๆ ฟ่านอวิ๋นหลานก็กลับมามีสติอีกครั้ง และเหลือบมองบุตรสาวของนาง “ตอนนี้เจ้าสามารถมีความสุขได้แล้ว จะไม่มีใครบังคับให้เจ้าบ่มเพาะอีกต่อไป”
ขณะที่นางกล่าวนางก็หันหลังกลับและจากไป
“เขาไปแล้ว?” เฉินนั่วตกตะลึง ริมฝีปากก็เผยอออกด้วยความตั้งใจที่จะหัวเราะ แต่กลับตระหนักว่าแท้จริงแล้วตนไม่สามารถหัวเราะได้ และความรู้สึกสูญเสียอย่างอธิบายไม่ได้ กลับเติมเต็มหัวใจของนางแทน
“เขา… ไยถึงจากไป? ไม่ใช่ว่าเขาบอกว่าจะบ่มเพาะกับข้าตลอดไปหรือ?”
“ท่านแม่ รอข้าด้วย! เขาไปที่ใดกัน? ไยเขาถึงผิดสัญญา? เจ้าจอมโกหกนั่น! ข้าจะไม่เชื่อเขาอีกแล้ว!” เฉินนั่วขุ่นเคืองเล็กน้อย แล้วนางก็วิ่งไปจนสุดทางและตามฟ่านอวิ๋นหลานทัน ก่อนที่นางจะกล่าวอย่างรวดเร็ว
“นั่วนั่ว เขาไม่ใช่แค่บิดาของเจ้าเท่านั้น เขายังเป็นเจ้าสำนักของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าแห่งนี้ และที่สำคัญที่สุด เขาไม่ได้เป็นหนี้เราทั้งคู่แต่อย่างใด” ฟ่านอวิ๋นหลานหยุดเดิน แล้วยกมือขึ้นลูบผมของเฉินนั่ว พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้าโตแล้วนะ”
เฉินนั่วตกตะลึง นางเม้มริมฝีปากแล้วก้มหน้าลง แล้วจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้าแค่… ข้าแค่อยากให้เขาสนใจข้ามากขึ้น ข้าไม่ได้อยากสร้างปัญหาเสียหน่อย”
ฟ่านอวิ๋นหลานยื่นมือออกมาและกอดบุตรสาวนางไว้ ก่อนที่จะพึมพำ “แม่เข้าใจแล้ว แต่เจ้าต้องเข้าใจว่าพ่อของเจ้าไม่ใช่ผู้ทรงอำนาจ เขาต้องการให้คนอื่นสนับสนุนเขาเช่นกัน…”
เมื่อกล่าวถึงตอนนี้ เสียงของฟ่านอวิ๋นหลานก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้า “เขามาจากภพมนุษย์ คนอื่น ๆ ต่างเห็นแต่ความรุ่งโรจน์ของเขา แต่นอกจากพวกเราแล้ว จะมีใครรู้ถึงความยากลำบากและความเปลี่ยวเหงาที่เขาต้องเผชิญอยู่เบื้องหลังสิ่งเหล่านี้?”
…
ฟิ่ว!
อากาศเกิดความผันผวน เมื่อร่างของเฉินซีวูบไหวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วธูป ร่างของเฉินซีก็ปรากฏตัวที่เมืองเหมันต์ม่วงภายในทวีปนภาเหมันต์
สถานที่ที่นิกายอำนาจตั้งอยู่นั้น ได้ก่อตัวเป็นโลกของตนเอง และมันถูกเรียกว่าแดนอำนาจเทวะ มันลึกลับอย่างสุดขั้ว ซึ่งนับตั้งแต่สมัยโบราณจวบจนปัจจุบัน มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถทราบตำแหน่งที่แน่นอนของมัน
เฉินซีก็ไม่รู้เรื่องนี้เช่นกัน แต่เขาสามารถเสาะหาคนเพื่อซักถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้
ก่อนที่เขาจะออกจากสำนัก ก็ได้ทราบข้อมูลจากชิวเสวียนซูว่า ตระกูลหนานกงแห่งเมืองเหมันต์ม่วงถูกแทรกซึมและเข้าควบคุมโดยนิกายอำนาจเทวะในช่วงแรกของภัยพิบัติ
ปัจจุบัน กองกำลังของนิกายอำนาจเทวะได้ถอนตัวออกจากภพเซียนทั้งหมด และตระกูลหนานกงก็ไม่มีข้อยกเว้น แต่จากข้อมูลของชิวเสวียนซู ศิษย์ของนิกายอำนาจเทวะที่แฝงตัวอยู่ภายในตระกูลหนานกง ยังไม่ได้ล่าถอยอย่างสมบูรณ์
…
เมืองเหมันต์ม่วงเป็นฐานที่มั่นของตระกูลหนานกง
ในขณะนี้ ภายในห้องโถงใหญ่ของตระกูล ผู้อาวุโสทุกคนของตระกูลได้มารวมตัวกันที่นี่ และจ้องมองไปที่ชายชราผมสีเทาร่างผอมซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ผู้นำตระกูล
เขาเป็นผู้อาวุโสเพียงคนเดียวของตระกูลหนานกงที่มีชีวิตอยู่มานับล้านปี หนานกงเลี่ย ระดับการบ่มเพาะอยู่ที่ขอบเขตราชันเซียน ซึ่งเขาก็ปกปิดมันไว้อย่างดี
“วันนี้ที่ข้าเรียกพวกเจ้าทุกคนมาที่นี่ เพราะข้ามีเรื่องสำคัญจะประกาศ” หนานกงเลี่ยกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำและแหบแห้ง แต่กลับเปี่ยมด้วยน้ำเสียงที่สง่างามอย่างยิ่ง
ใจของทุกคนสั่นไหว และพวกเขารับฟังด้วยความเคารพ
“ข้าจะออกจากตระกูลเร็ว ๆ นี้ และข้าอาจจะไม่สามารถกลับมาได้อีกนาน ดังนั้นข้าจะต้องให้พวกเจ้าทุกคนไปทำหน้าที่ของตระกูล จงจำไว้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันในภพเซียนนั้นสับสนและซับซ้อน ดังนั้นเจ้าต้องไม่ดำเนินการที่รุนแรงใด ๆ และห้ามเปิดเผยว่าตระกูลหนานกงของเราเกี่ยวข้องกับนิกายอำนาจเทวะเป็นอันขาด!” ท่าทางของหนานกงเลี่ยเคร่งขรึม คำพูดเปี่ยมด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาและเคร่งครัด
“ท่านบรรพบุรุษ อย่าได้กังวล!”
“ไม่จำเป็นต้องกังวลเลยท่านบรรพบุรุษ เราจะไม่เอาความอยู่รอดของตระกูลมาเสี่ยงเดิมพันเป็นอันขาด”
คนอื่น ๆ ต่างก็ตอบรับกันตามลำดับ
ในคืนนั้นเอง หนานกงเลี่ยออกจากตระกูลเพียงลำพัง และเคลื่อนย้ายผ่านห้วงมิติไปจากเมืองเหมันต์ม่วงอย่างเงียบ ๆ
“หนานกงเลี่ย?” อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเพิ่งเคลื่อนย้ายไปจากเมืองเหมันต์ม่วง ก็พลันรู้สึกว่าร่างกายของตนเริ่มเฉื่อยชา ซึ่งแท้จริงแล้ว เขาไม่สามารถเคลื่อนย้ายผ่านห้วงมิติได้อีกต่อไป ทำให้ร่างเขาถูกบังคับออกจากห้วงมิติทันที
ในขณะนี้มีเสียงหนึ่งดังก้องข้างหูของเขา ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที “ผู้ใดกัน!?”
“พาข้าไปที่นิกายอำนาจเทวะ แล้วเจ้าจะหลีกเลี่ยงความตายได้ มิฉะนั้นตระกูลหนานกงทั้งหมดจะถูกฝังไปพร้อมกับเจ้า” เสียงนั้นดังขึ้นอีกครา มันแผ่วเบาและเลือนราง จนหนานกงเลี่ยไม่สามารถระบุตำแหน่งที่แน่นอนของมันได้ นี่ทำให้หัวใจของเขาดิ่งลงอีกครั้ง ประสบการณ์อันโชกโชนของเขา ทำให้แยกแยะได้ทันทีว่าความแข็งแกร่งของศัตรู อย่างน้อยก็เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด!
“สหาย ข้าเกรงว่าเจ้าจะเข้าใจผิด ข้าไม่ใช่ศิษย์ของนิกายอำนาจเทวะ แล้วข้าจะรู้ที่ตั้งของมันได้อย่างไร?” หนานกงเลี่ยหายใจเข้าลึก ๆ และกล่าวช้า ๆ
“ความอดทนของข้ามีจำกัด หากเจ้าไม่ตกลงภายในสามลมหายใจ ข้าจะให้เจ้าเห็นการล้างบางตระกูลหนานกงด้วยตาของเจ้าเอง” เสียงนั้นดังก้องอย่างสงบและไม่แยแส จากนั้นก็ตกอยู่ในความเงียบงันอีกครั้ง
สามลมหายใจ! สังหารตระกูลหนานกงทั้งหมด!?
ทันใดนั้น นัยน์ตาของหนานกงเลี่ยก็หดตัว ขนบนร่างกายตั้งชัน ในขณะที่เขาทั้งหวาดกลัวและโกรธแค้นถึงขีดสุด
……….