บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1519 ความสุขของการที่ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า
บทที่ 1519 ความสุขของการที่ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า
……….
บทที่ 1519 ความสุขของการที่ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า
สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า
เมื่อเฉินซีกลับมาที่นี่พร้อมกับฟ่านอวิ๋นหลานและเฉินนั่ว มันก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนทันที
“ท่านเจ้าสำนัก แม่นางทั้งสองคือใครหรือ?” ตลอดทาง มีอาจารย์หลายคนถามคำถามนี้
“นี่คือคู่บำเพ็ญเพียรของข้า ฟ่านอวิ๋นหลาน และนี่คือบุตรสาวข้าเฉินนั่ว” เฉินซีหาได้หลีกเลี่ยงคำถามนี้ไม่ และตอบด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าอยู่เสมอ ไม่ว่าใครจะถามคำถามใดก็ตาม นอกจากนี้ ดูเหมือนเขาค่อนข้างภูมิใจและมีความสุข
แต่ในขณะที่เขามีความสุข ก็ทิ้งกลุ่มคนที่จ้องมองอย่างตกตะลึงไว้เบื้องหลัง ซึ่งพวกเขาอ้าปากค้างจนคางแทบแตะพื้น
สิ่งนี้ทำให้ฟ่านอวิ๋นหลานและเฉินนั่วรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เพราะการจ้องมองเช่นนั้นมันแปลกเกินไป มันมีทั้งตกใจ ประหลาดใจ งุนงง แปลกใจ และอื่น ๆ อีกมากมาย และมันทำให้ทั้งสองรับไม่ได้เล็กน้อย
เมื่อจั่วชิวเฟยหมิงและคนอื่น ๆ ของตระกูลจั่วชิวรู้เรื่องนี้ พวกเขาก็ถอนหายใจ ทั้งรู้สึกยินดี ภูมิใจ และมีความสุขอย่างยิ่ง เพราะเลือดครึ่งหนึ่งที่ไหลเวียนภายในร่างกายเฉินซีนั่นเป็นสายเลือดของตระกูลจั่วชิว ดังนั้นเมื่อเขามีคู่บำเพ็ญเพียรและบุตรสาว เหล่าคนของตระกูลจั่วชิวย่อมรู้สึกภาคภูมิใจเช่นกัน
ถึงแม้ว่าบางคนจะมีความสุข แต่ก็ย่อมมีคนที่ทุกข์
เมื่อเหล่าบุคคลสำคัญของตระกูลเซวียนหยวนรู้เรื่องนี้ พวกเขาทั้งหมดคล้ายถูกฟ้าผ่า และมีสีหน้าเป็นทุกข์ ก่อนหน้านี้ เมื่อผู้นำตระกูลเซวียนหยวน เซวียนหยวนเส้า ยังคงอยู่ในภพเซียน พวกเขาเรียกเฉินซีเป็นบุตรเขยอย่างเต็มปากเต็มคำ ถือเป็นคู่บำเพ็ญเพียรที่เหมาะสมกับอาซิ่วที่สุด
เนื่องจากความสัมพันธ์นี้ ตระกูลเซวียนหยวนจึงได้รับการดูแลเป็นอย่างดีขณะที่อยู่ในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ดังนั้นพวกเขาจึงภูมิใจที่มีเฉินซีเป็นบุตรเขยของตระกูล
แต่ใครจะคาดคิดว่าหลังจากเฉินซีออกจากสำนักไปในครั้งนี้ เขาไม่เพียงแค่นำคู่บำเพ็ญเพียรผู้งดงามหยาดเยิ้มกลับมา ซ้ำยังพาบุตรสาวที่โฉมสะคราญกลับมาอีกด้วย
สิ่งนี้ทำให้เหล่าผู้คนของตระกูลเซวียนหยวนตกตะลึงทันที
โดยสรุปแล้ว หลังจากเฉินซีพาฟ่านอวิ๋นหลานและเฉินนั่วกลับไปที่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ข่าวนี้ก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งสำนักราวกับติดปีก
ในเวลาไม่ถึงหนึ่งวัน ทุกคนล้วนทราบเรื่องที่เฉินซีพาคู่บำเพ็ญเพียรและบุตรสาวกลับมาที่สำนัก และในเวลานั้น มันทำให้เกิดความปั่นป่วนครั้งใหญ่
ท้ายที่สุดแล้ว เฉินซีไม่อาจเทียบกับในอดีตอีกต่อไป ชายหนุ่มครอบครองตำแหน่งเจ้าสำนักของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ทั้งยังสังหารกลุ่มราชันเซียนอย่างดุเดือด และเผยพลังอันไร้ขอบเขตเมื่อไม่กี่วันก่อน ทำให้เขากลายเป็นราชันเซียนซึ่งเป็นที่สนใจในภพเซียนมากที่สุด ซ้ำยังไม่มีใครเทียบเขาได้
ตอนนี้ เขาได้พาคู่บำเพ็ญเพียรและบุตรสาวกลับมาที่สำนักศึกษา ดังนั้นเรื่องนี้จึงกลายเป็นศูนย์กลางของความสนใจโดยทันที
ฟ่านอวิ๋นหลาน?
สตรีผู้นี้คือใครกัน?
นางกลายเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับเจ้าสำนักเฉินซีตั้งแต่เมื่อใด?
เฉินนั่วอายุมากแล้ว ทำไมถึงไม่รู้ว่าบิดาของตนคือเจ้าสำนักเฉินซี
คำถามเช่นนี้กลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงในหมู่ผู้คน
…
ตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋า
เฉินซีไม่ทราบถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกภายนอก ทันทีที่กลับมา เขาก็ขอให้ฟ่านอวิ๋นหลานและเฉินนั่วนั่งรอ ก่อนจะมุ่งหน้าไปเตรียมอาหารอย่างตื่นเต้น
“วันนี้ครอบครัวเราได้กลับมาอยู่กันพร้อมหน้าแล้ว” เฉินซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ช่วงเวลาที่อบอุ่นที่สุดเมื่อครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาคือตอนไหนน่ะหรือ? ย่อมเป็นตอนที่รับประทานอาหารรวมกันอย่างมีความสุขและพูดคุยกันอย่างอิสระ
ในขณะนี้ เฉินซีลืมตัวตนปัจจุบันของตนไปโดยสิ้นเชิง และรับบทเป็นพ่อครัวมือทอง ใช้ทักษะอย่างมีความสุขและการเริ่มทำอาหารด้วยความกระตือรือร้น
หากใครก็ตามจากภพเซียนได้เห็นเหตุการณ์นี้ คนคนนั้นจะต้องกลายเป็นบ้าอย่างแน่นอน เพราะใครจะกล้าจินตนาการว่าเจ้าสำนักผู้สง่างามของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ซึ่งเป็นตัวตนที่มีพลังอำนาจและอิทธิพลสูงสุดในภพเซียน กลับกำลังทำอาหารด้วยตัวเอง?
แม้แต่ฟ่านอวิ๋นหลานและเฉินนั่วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกงุนงงเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ เพราะมันไม่น่าเชื่อแม้แต่น้อย
แต่หลังจากนั้น หัวใจของพวกนางก็รู้สึกอบอุ่น ด้วยสถานะ อำนาจ และอิทธิพลในปัจจุบันของเฉินซี เขากลับเพิกเฉยต่อทุกสิ่งและเตรียมอาหารให้พวกนางด้วยตัวเอง ความตั้งใจเหล่านี้ก็เพียงพอแล้วที่สั่นคลอนหัวใจของพวกนาง
ไม่นานนัก อาหารเลิศรสซึ่งมีกลิ่นหอมรัญจวนก็ถูกยกมาที่โต๊ะ
เฉินซีเรียกให้ฟ่านอวิ๋นหลานและเฉินนั่วนั่งลง ก่อนจะตักกับข้าวและเทสุราให้พวกนาง ราวกับเป็นสามีและบิดาที่ดี
ที่โต๊ะอาหาร เฉินซีและฟ่านอวิ๋นหลานกำลังพูดคุยกัน ในขณะที่เฉินนั่วไม่ได้กล่าวอะไรแม้แต่คำเดียว ซ้ำยังคงเย็นชาและไม่แยแสต่อคำถามของเฉินซีอีกด้วย
ถึงกระนั้นเฉินซีก็พอใจมากแล้ว และยังเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศเช่นนี้ไม่น้อย
เมื่อพวกเขากินอิ่มหนำสำราญและดื่มสุราจนหมดจอก มื้อนี้ก็จบลงในที่สุด
ชายหนุ่มชงชาแล้วส่งให้ฟ่านอวิ๋นหลานและเฉินนั่ว ก่อนที่เขาจะถอนหายใจยาว “บางครั้ง ข้าหวังว่าทั้งหมดนี้จะสามารถดำเนินต่อไปได้ และไม่จำเป็นต้องไปสนใจเรื่องทางโลกต่าง ๆ แต่น่าเสียดาย… มีหลายครั้ง ที่ทำให้ข้าไม่มีทางเลือกอื่น”
ฟ่านอวิ๋นหลานเม้มริมฝีปากและเห็นด้วยอย่างสุดซึ้ง
แต่เฉินนั่วกลับฮึดฮัด
เพราะในขณะนี้ จู่ ๆ อาซิ่วก็มาเยี่ยม ทำให้เฉินซีอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงกับสิ่งนี้
“อาซิ่ว เจ้าต้องการสิ่งใดหรือ?” อาซิ่วยืนอยู่ที่ด้านนอกตำหนักศักดิ์สิทธิ์ พลันชำเลืองมองฟ่านอวิ๋นหลานและเฉินนั่วซึ่งอยู่ภายในตำหนักจากระยะไกล แล้วจึงส่ายหน้า “ข้าได้ยินว่าเจ้ากลับมาแล้ว ข้าก็เลยมาเยี่ยมเจ้า ตอนนี้หาได้มีอันใดแล้ว เชิญสนทนากันต่อเถิด”
ทันทีที่กล่าวจบ นางก็หันหลังจากไป โดยที่เฉินซีไม่มีโอกาสได้ชักชวนนางให้อยู่ต่อเลยด้วยซ้ำ
“วันนี้ยัยหนูนี้ทำตัวแปลก ๆ” เฉินซีขมวดคิ้วและสับสนเล็กน้อย
“ฮึ่ม!” ทันใดนั้น เฉินนั่วก็ส่งเสียงฮึดฮัดอีกครั้ง
“มีอะไรหรือ?” เฉินซีถาม
“ไม่มีอะไร ยัยหนูนิสัยเสียไปหน่อยเท่านั้น” ฟ่านอวิ๋นหลานจ้องมองที่อาซิ่วก่อนที่นางจะกล่าวกับเฉินซีด้วยสีหน้านิ่งสงบ ทว่านางไม่แสดงอารมณ์ที่ผันผวนใด ๆ ต่อการมาของอาซิ่ว
เฉินซีตระหนักถึงปัญหาได้ทันที และอดไม่ได้ที่จะตะลึงเล็กน้อย ก่อนจะอ้าปากด้วยความตั้งใจที่จะอธิบาย
แต่ฟ่านอวิ๋นหลานเพียงยิ้มเบา ๆ และนางกล่าวว่า “ไม่จำเป็นต้องกล่าววาจาใด ๆ แค่เจ้ามากับข้าก็พอแล้ว”
“หมายความว่าอย่างไรถึงบอกว่าพอ? เห็นได้ชัดว่าสตรีคนนั้นมี… ความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับเขา!” เฉินนั่วกล่าวอย่างขุ่นเคือง และรู้สึกกังวลแทนมารดาของนาง
“นั่วนั่ว อย่าได้กล่าวอันใดอีก มิฉะนั้น อย่าตำหนิข้าที่ส่งเจ้าเข้าสู่การปิดด่านบ่มเพาะ” ฟ่านอวิ๋นหลานกล่าวอย่างสบาย ๆ แต่กลับทำให้เฉินนั่วตกตะลึง นางทั้งโกรธเกรี้ยวและหงุดหงิด พลางกระทืบเท้าอย่างโกรธจัด แล้วนั่งบูดบึ้งอยู่คนเดียว
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างขมขื่น อคติที่บุตรสาวมีต่อข้ากลับเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว…
“ชิงซิ่วอี้อาจจะจากไปแล้วพร้อมกับผู้บ่มเพาะของตำหนักเต๋าหนี่หวา แล้วเฉินอันอยู่ที่ใดเล่า?” ฟ่านอวิ๋นหลานไม่สนใจท่าทีโกรธเคืองของบุตรสาว เพราะมีบางเรื่องที่นางเข้าใจดีกว่า ทว่านางจะไม่กล่าวอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะมันเป็นสิ่งที่ต้องใช้ประสบการณ์
“อันเอ๋อร์?” เฉินซีตกตะลึง “เขากำลังบ่มเพาะในโลกภายในหม้อกลั่นเก้าทวีปศักดิ์สิทธิ์” ชายหนุ่มหยุดครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเล่าทุกอย่างให้นางฟัง “อันเอ๋อร์มีคู่บำเพ็ญเพียรของเขาแล้ว และเขายังมีหลานสาวแก่ข้าด้วย… เจ้าตัวน้อยนั่นมีนามเฉินอวิ๋นอวิ๋น นางน่าเอ็นดูมาก”
ทันทีที่กล่าวจบ รอยยิ้มก็ผุดขึ้นที่ริมฝีปากอย่างห้ามไม่ได้
หัวใจของฟ่านอวิ๋นหลานหยุดเต้นไปชั่ววูบ ตอนนี้เขากลายเป็นปู่แล้วจริง ๆ หรือ?
“ฮึ่ม!” เฉินนั่วที่นั่งอยู่ด้านข้างขมวดคิ้ว “ท่านแม่ ข้าคิดว่าเราควรจากไป จะได้ไม่เป็นการรบกวนชีวิตเขา”
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะปวดหัวเล็กน้อย ทั้งยังไม่รู้ว่าควรจัดการกับบุตรสาวคนนี้อย่างไรดี
“นั่วนั่ว!” สายตาของฟ่านอวิ๋นหลานนั้นเข้มขึ้น และเต็มไปด้วยความโกรธ สิ่งนี้ทำให้เฉินนั่วตกใจมากจนนางเม้มริมฝีปากและไม่กล้ากล่าวต่อไปอีก
“เอาละ อย่าโทษนางเลย ที่นั่วนั่วกล่าวเช่นนี้ก็เพื่อประโยชน์ของเจ้า นางกังวลว่าเจ้าจะถูกทอดทิ้ง และข้าเข้าใจความรู้สึกของนาง” เฉินซียิ้มเบา ๆ และกล่าวอย่างอบอุ่น
โดยปกติแล้ว ว่ากันว่าบิดาจะเข้มงวด ในขณะที่มารดาจะให้ความรัก แต่เมื่อเป็นเฉินนั่ว เฉินซี และฟ่านอวิ๋นหลานกลับสลับบทบาทกัน กลายเป็นบิดาที่ให้ความรักและมารดาที่เข้มงวด
…
หลังจากนั้น ฟ่านอวิ๋นหลานและเฉินนั่วก็พำนักอยู่ในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า
โดยปกติแล้ว นอกเหนือจากการจัดการเรื่องบางอย่าง เฉินซีจะคอยเกาะติดอยู่กับทั้งสองอยู่เสมอ เพราะการทำเช่นนี้ช่วยให้เขาบรรเทาความรู้สึกผิดในใจได้บ้าง
ในทางกลับกัน เมื่อกาลเวลาผ่านไป ทัศนคติของเฉินนั่วที่ก็ค่อย ๆ คลายลง แม้ว่านางยังคงไม่เต็มใจที่จะพูดคุย แต่อย่างน้อยที่สุด นางก็ไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจ
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีค่อนข้างพอใจ เพราะถึงอย่างไรนางก็เป็นบุตรสาวของเขา!
แม้กระทั่งเพื่อให้เฉินนั่วทุ่มเทบ่มเพาะ เขาจึงทำหน้าที่แทนฟ่านอวิ๋นหลาน และเริ่มชี้แนะบุตรสาวในการบ่มเพาะด้วยตัวเอง ซึ่งถ่ายทอดความรู้ทั้งหมดให้นางอย่างไม่ตระหนี่
สำหรับสิ่งต่าง ๆ เช่นสมบัติอมตะ เขายังเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้นาง ราวกับไม่ต้องการอะไรมากไปกว่ามอบสิ่งที่สุดในโลกให้แก่บุตรสาวของตน
สิ่งนี้แตกต่างกับวิธีที่เขาปฏิบัติต่อเฉินอันอย่างสิ้นเชิง เพราะเฉินอันเป็นบุตรชายและได้กลายเป็นบิดาแล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องให้คำแนะนำใด ๆ แก่เฉินอันมานานแล้ว
ในทางกลับกัน เฉินนั่วเป็นเด็กหญิงที่ผู้เป็นบิดาย่อมหวงแหนโดยธรรมชาติ ดังที่กล่าวไว้ว่า เลี้ยงเด็กชายให้จน เลี้ยงเด็กหญิงให้รวย กล่าวอีกนัยหนึ่ง ไม่ว่าสถานะทางการเงินของครอบครัวจะดีเพียงใด เด็กชายจะต้องได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างอัตคัด เพราะมันจะส่งเสริมความแข็งแกร่งให้เด็กชาย ในทำนองเดียวกัน ไม่ว่าครอบครัวจะยากจนเพียงใดก็ตาม เราก็ต้องมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับบุตรสาวของตน ด้วยวิธีนี้ มันจะช่วยให้บุตรสาวไม่ต้องเล่ห์กลทุกประเภทในขณะที่ท่องไปในโลกภายนอกเพียงลำพัง
ทัศนคติของเฉินซีในปัจจุบันที่มีต่อบุตรสาวของเขา เฉินนั่ว จึงมีลักษณะประมาณนี้
…
“นั่วนั่ว เจ้าต้องจำไว้ว่า เมื่อเจ้าบ่มเพาะต่อไป ควรเน้นไปที่การบ่มเพาะดวงจิตแห่งเต๋า ในขณะที่สิ่งอื่นล้วนไม่จำเป็น รวมถึงเต๋าสวรรค์ด้วย! เพราะหากหัวใจถูกปกคลุมอยู่ใต้เงา เจ้าจะไม่สามารถสัมผัสถึงแก่นแท้ของมหาเต๋าได้อย่างเต็มที่”
“สรุปแล้วก็คือ การฝึกฝนคือการบ่มเพาะหัวใจ”
ในวันนี้ เฉินซีมีสีหน้านิ่งสงบ และอธิบายถึงความเข้าใจของตนต่อมหาเต๋า
เฉินนั่วนั่งอยู่ข้าง ๆ แล้วเท้าคางด้วยสองมือราวกับเบื่อหน่ายเจียนตาย นางจ้องมองไปยังท้องฟ้าอันห่างไกลอย่างว่างเปล่า และดูเหมือนจะไม่ฟังสิ่งที่เฉินซีกล่าวแต่อย่างใด
เฉินซีไม่ได้สนใจเรื่องนี้ เพราะความลึกซึ้งบางอย่างของเต๋านั้นน่าเบื่อมากจริง ๆ ด้วยการบ่มเพาะในปัจจุบันของเฉินนั่ว มันเป็นเรื่องยากสำหรับนางที่จะเข้าใจมันเช่นกัน แต่ตราบใดที่นางจำได้ นางก็จะเข้าใจไม่ช้า
ผัวะ!
ฟ่านอวิ๋นหลานที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป จึงตบเข้าไปที่ศีรษะของเฉินนั่ว ในขณะที่คิ้วใบหลิวของนางขมวดเข้าหากัน พลางตำหนิ “ถ้าเจ้ายังทำตัวเยี่ยงนี้ต่อไป ก็เข้าสู่การปิดด่านบ่มเพาะซะ!”
นางโมโห เพราะด้วยสถานะและการบ่มเพาะของเฉินซีในปัจจุบัน ถ้าเขาประกาศว่าจะเปิดการถกวิถีเต๋า ผู้บ่มเพาะทั้งหมดในสามภพอาจจะต่อสู้จนตัวตาย เพื่อให้สิทธิ์ในการรับฟัง
แต่เฉินนั่วมีโอกาสเช่นนี้อยู่ในมือ แต่กลับไม่สนใจเลยสักนิด สิ่งนี้ทำให้ฟ่านอวิ๋นหลานกัดฟันด้วยความโกรธ และหากเฉินซีไม่ห้ามปราม นางก็อยากจะทุบตีบุตรสาวที่ไม่รักดีคนนี้จริง ๆ
“อวิ๋นหลาน!” เฉินซีจ้องมองไปที่ฟ่านอวิ๋นหลาน “นั่วนั่วเป็นเพียงเด็ก อย่าตำหนินางเลย”
ฟ่านอวิ๋นหลานยิ้มอย่างขมขื่นทันที แต่นางก็รู้สึกยินดีในใจอย่างบอกไม่ถูก เป็นเพราะเฉินซีให้ความสำคัญกับบุตรสาวของนางมาก และในฐานะมารดาของเฉินนั่ว นางจะไม่มีความสุขเพราะเหตุนี้ได้อย่างไร
“อย่าว่าท่านแม่นะ!” เฉินนั่วจ้องเฉินซีเขม็ง
ใบหน้าหล่อเหลาแข็งค้างทันที “เอาละ เอาละ เอาละ! นั่วนั่วกล่าวถูกแล้ว มันจะไม่เกิดขึ้นอีก”
ฟ่านอวิ๋นหลานคลี่ยิ้ม มีสิ่งหนึ่งที่จะเอาชนะอีกสิ่งหนึ่งได้เสมอ พวกเขาเป็นเหมือนครอบครัวที่มีนิสัยเดียวกันจริง ๆ…
บรรยากาศในขณะที่พวกเขาอยู่ด้วยกันนั้นช่างกลมกลืนและเต็มไปด้วยความสุขอย่างยิ่ง น่าเสียดายที่ทั้งหมดนี้ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้เป็นเวลานาน
ในวันนี้ ชิวเสวียนซูมาถึงอย่างเร่งรีบเพื่อพบกับเฉินซี พร้อมกับข้อมูลที่ไม่คาดคิด
……….