บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1517 สองยอดกระบี่
บทที่ 1517 สองยอดกระบี่
……….
บทที่ 1517 สองยอดกระบี่
ฟึ่บ!
ปราณกระบี่พุ่งผ่านท้องฟ้า
ตอนนี้เอง ทั่วทั้งหุบเขาปีศาจปกคลุมไปด้วยมหาค่ายกล ข้อจำกัดที่เปล่งประกายก่อตัวขึ้นชั้นแล้วชั้นเล่า เมื่อพลังจากปราณกระบี่ฟาดฟัน มันก็ทำลายได้เพียงชั้นนอกสุดเท่านั้น และทันทีที่มันพังทลาย มันจะฟื้นคืนสู่สภาพเดิมด้วยความรวดเร็ว
เดิมทีจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์สวี่เซียงและคนอื่น ๆ ต่างก็กังวลใจไม่น้อย ดังนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นนี้จึงทำให้พวกเขารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
“ฮ่า ๆ ๆ! ทำอย่างไรเจ้าก็ฝ่ามันไปไม่ได้หรอก! ค่ายกลนี้ครอบคลุมไปทั้งหุบเขาปีศาจซึ่งกินพื้นที่ล้านลี้ และมีพลังดาราจักรโบราณเป็นต้นกำเนิดพลัง โดยข้อจำกัดของมันถูกแบ่งออกมามากถึงเก้าชั้น ที่เจ้าทำลายไปมันก็แค่ชั้นแรกเท่านั้น การจะผ่านมันมาได้นั้นยังอีกห่างไกล!”
“บัดซบ! อย่าคิดฝันเลยว่าจะผ่านค่ายกลนี้มาได้! เจ้าแค่กำลังรนหาที่ตายเท่านั้น! พวกข้าน่ะไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะคงไว้ซึ่งความแข็งแกร่งไว้เช่นนี้ได้ไปตลอด! เมื่อถึงยามที่เจ้าสิ้นแรง เวลานั้นจะเป็นคราวตายของเจ้า!”
บรรดาจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายหัวเราะร่วนเสียงเหี้ยม
เฉินซีทอดมองสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดจากบนท้องฟ้า หากแต่สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง
ตู้ม!
ตอนนี้เอง ท่ามกลางสายตาประหลาดใจของผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพ ปราณกระบี่ที่เฉินซีตวัดลงไปก่อนหน้านี้คล้ายจะกระจายตัวราวกับสายฝนแห่งแสง ละอองแสงแต่ละเส้นนั้นหาได้หายไปไม่ หากแต่หลอมรวมเข้าด้วยกันและกลายเป็นยันต์เทวะที่ลึกลับและคลุมเครือจำนวนมาก
ผังอักขระยันต์ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ก่อตัวเชื่อมประสาน ก่อนจะทุบทำลายค่ายกลนั้นอย่างเดือดดาล!
ฉับพลัน คลื่นเสียงตกกระทบก็แผดก้อง ข้อจำกัดแต่ละชั้นแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ ส่วนที่ปกคลุมหุบเขาปีศาจจำนวนเจ็ดชั้นจากเก้าชั้นพังทลายลงอย่างต่อเนื่อง คลื่นกระแทกจากแรงปะทะดังกังวานในขณะที่มันกวาดล้างทุกสรรพสิ่ง ส่งผลให้อุกกาบาตและดวงดาวรอบ ๆ ทรุดตัวลง แม้แต่ภูเขาเก่าแก่ทั้งหลายก็พลันสลายเป็นธุลี
ผลจากแรงสั่นสะเทือนครานี้น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก ถึงขนาดที่กองกำลังต่างพิภพเรือนหมื่นต่างก็รู้สึกว่าตนกำลังถูกสั่นคลอนโดยแผ่นผานับร้อยพัน ร่างของพวกมันถูกฉีกกระชาก เหลือเพียงละอองเลือดที่ฟุ้งกระจายไปในอากาศ
แม้แต่จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ทั้งเจ็ดก็ได้รับผลกระทบจากปราณกระบี่นี้เช่นกัน สีหน้าที่เครียดขึงของพวกเขาอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกอยากจะกระอักเลือดเสียให้ได้
“นี่มัน…” จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์สวี่เซียงหวาดกลัวเสียจนหน้าถอดสี เขากลืนน้ำลายอย่างยากเย็นก่อนจะพูดขึ้น “โชคดีที่มหาค่ายกลยังไม่ถูกทำลายจนหมด พลังของเขายังมีไม่เพียงพอ”
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเขาไม่มีทางทำสำเร็จ เพราะการดึงพลังที่ท้าทายสวรรค์เช่นนั้นออกมาจำต้องใช้ความแข็งแกร่งมหาศาล” แม้ว่าจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์คนอื่น ๆ จะรู้สึกประหวั่น หากในที่สุดก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นว่ามหาค่ายกลของตนฟื้นตัวขึ้นมาอีกครั้ง
“มิผิด อีกทั้งตอนนี้ก็มีเขาเพียงผู้เดียวเท่านั้น ข้าว่าเขาไม่มีทางจะยืนหยัดอยู่ในการต่อสู้ต่อไปได้นานนักหรอก”
“เขาไม่มีทางเอาชนะพวกเราได้อย่างแน่นอน ตราบใดที่เรามีมหาค่ายกลนี้!”
บรรดาจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ยังคงควบคุมมหาค่ายกลเอาไว้เพื่อรับมือกับเฉินซี ไม่คิดประมาทแม้แต่น้อย
คิ้วของเฉินซีเลิกขึ้นเมื่อเห็นเหตุการณ์นั้น ก่อนที่จะพึมพำกับตัวเองเบา ๆ มหาค่ายกลนี้หลอมรวมกับหุบเขาปีศาจอย่างสมบูรณ์แล้ว เป็นความสามารถในการป้องกันที่ประมาทไม่ได้จริง ๆ
ค่ายกลนี้เรียกได้ว่าเป็นค่ายกลศักดิ์สิทธิ์ แกนกลางของมันคือหุบเขาปีศาจทั้งหมด ดังนั้นแล้วหากเฉินซีต้องการทำลายค่ายกลนี้ ก็เท่ากับว่าต้องทำลายหุบเขาปีศาจ
แต่ถึงอย่างนั้น หุบเขาปีศาจก็เป็นทวีปที่ลอยอยู่เหนือธารแยกดินแดนซึ่งกินพื้นที่ทั้งหมดล้านลี้ และเต็มไปด้วยพลังดาราจักรโบราณ ไม่ง่ายเลยที่จะทำลายมัน
“เห็นที ข้าคงต้องเติมเชื้อไฟอีกสักหน่อย” ความเด็ดเดี่ยวปรากฏขึ้นที่มุมปากของเฉินซี จากนั้นชายหนุ่มก็ยื่นมือซ้ายออกไป
แกร๊ง!
กระบี่สีแดงเลือดปรากฏขึ้นบนอากาศ ก่อนจะตกลงสู่มือของเฉินซี
“กระบี่อีกเล่ม!”
“เมื่อกี้เขาชักกระบี่ออกมาอีกด้ามหรือ มันเป็นกระบี่ที่น่ากลัวเหลือเกิน”
“ระวังด้วย เจ้าเด็กนี้น่าจะเปิดไพ่ตายแล้ว”
ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพทั้งหลายภายในหุบเขาปีศาจมองเหตุการณ์นี้ด้วยใบหน้าเคร่งขรึม พวกเขาไม่ลังเลในการควบคุมมหาค่ายกลด้วยพลังทั้งหมดที่มีเลยแม้แต่น้อย
ขวับ!
ทันทีที่เฉินซีชักกระบี่เต๋าวิบัติออกมา ยันต์ศัสตราในมือขวาก็ถูกชูขึ้นในเวลาเดียวกัน
“โจมตี!” ทันทีที่ชายหนุ่มตวัดกระบี่ คมกระบี่บงกชใสกระจ่างก็ปรากฏขึ้นจากกระบี่เต๋าวิบัติ พวกมันเบ่งบานทั่วทุกพื้นที่ของหุบเขาปีศาจ ในขณะที่ยันต์ศัสตราปลดปล่อยปราณกระบี่ที่ก่อตัวเป็นยันต์เทวะออกมา ก่อนจะผสานการโจมตีเข้ากับคมกระบี่บงกชนั้นด้วยความรวดเร็ว
นี่คือความสามารถที่น่าเกรงขามที่สุดสองประการที่เขามีในยามนี้
อย่างแรก ได้แก่การโจมตีของคมกระบี่บงกชจากกระบี่เต๋าวิบัติ มันเกิดขึ้นจากพลังของเต๋าแห่งหายนะที่สถิตอยู่ในตัวกระบี่ พลังของมันลึกลับและน่าเกรงขามยิ่ง แม้แต่นิกายอำนาจเทวะยังหวั่นเกรงเมื่อต้องเผชิญหน้ากับมัน
อย่างที่สองคือยันต์ศัสตราที่ถูกจารึกไว้ด้วยยันต์เทวะจำนวนมาก มันไม่เพียงแต่สามารถสร้างปราณกระบี่ขึ้นมาได้เท่านั้น หากยังช่วยให้เต๋าแห่งกระบี่และเต๋าแห่งยันต์อักขระทำงานส่งเสริมซึ่งกันและกัน นับเป็นความลึกซึ้งที่ยากจะหาสิ่งใดเปรียบ
บัดนี้ เพื่อที่จะทำลายมหาค่ายกลดังกล่าว เขาได้เลือกที่จะใช้สมบัติสุดยอดทั้งสองนี้พร้อมกัน!
“บุก!” การโจมตีที่แตกต่างกันของเต๋าแห่งกระบี่ตวัดลงราวพายุดวงดาว พวกมันโจมตีด้วยความรุนแรงยังมหาค่ายกลในเวลาเดียวกัน
ตึง!
มหาค่ายกลปะทุคลั่งราวผืนสมุทร แรงผันผวนรุนแรงหมุนวนพร้อมกับร่องรอยแห่งความสั่นไหวและเสียงครวญคราง ไม่นานนัก ข้อจำกัดทั้งหลายก็ถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง!
ตอนนั้นเอง ฟ้าดินคล้ายคร่ำครวญ ผืนพิภพคล้ายอยู่ใต้เงาสับสน ปราณกระบี่ที่น่าสะพรึงกลัวอย่างไม่มีใครเทียบได้กวาดฟ้าดินจนเรียบ ราวกับว่ามันมุ่งหมายจะล้างแผ่นดินหมดจด เป็นการโจมตีที่ชวนให้หวาดผวาอย่างถึงขีดสุด
ตู้ม!
ในที่สุด พื้นที่ภายใต้มหาค่ายกลซึ่งจักรพรรดิศักดิ์ชื่อเยียนสถิตอยู่ก็เป็นบริเวณแรกที่ถูกทำลาย มันสั่นสะเทือนรุนแรงก่อนจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ชั่วขณะหนึ่ง พื้นที่โดยรอบตกอยู่ภายใต้ความเงียบงัน ในขณะที่ร่างของผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพล้วนสั่นสะท้านด้วยความหวาดผวา
ฟึ่บ!
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เฉินซีพุ่งตัวลงมา เพียงชั่วอึดใจชายหนุ่มก็มาถึงบริเวณดังกล่าวแล้ว
“โจมตี!” ปราณกระบี่ทั้งสองสายกวาดออกไปตามแนวยาว ทุกที่ที่พวกมันเคลื่อนผ่าน พลังอันมหาศาลของมันก็จะกวาดกลืนชีวิตของผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพคราแล้วคราเล่าด้วยความรวดเร็ว
“วอนตายเสียแล้ว!” จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ชื่อเยียนพุ่งตัวไปยังทิศทางของเฉินซีผ่านผืนฟ้า รัศมีเรืองรองสง่างาม เขาในยามนี้ไม่ต่างอันใดกับมหาสมุทรที่ลุกโชนด้วยเปลวเพลิง
“หึ!” เฉินซีโต้กลับด้วยการตวัดกระบี่หนึ่งครั้ง
ชิ้ง!
ท้องฟ้าคล้ายจะมืดลงในทันใด เพียงครู่เดียว ร่างกายของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ชื่อเยียนก็ขาดออกเป็นสองท่อนทั้งที่ยังไม่ทันจะได้แตะต้องเฉินซี เลือดคลุ้งคาวสาดกระเซ็นยิ่งกว่าน้ำพุ ท้ายที่สุด เขาก็ถูกแสงของปราณกระบี่ฟาดฟันจนกลายเป็นเศษธุลีก่อนจะสิ้นลมในพลัน
แกรก!
ค่ายกลกลั่นกรองเทพวิญญาณบรรพชนถูกแยกออกจากกันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่ละพื้นที่ล้วนถูกห่อหุ้มไว้ด้วยข้อจำกัดแน่นหนา หลังจากที่พื้นที่ของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ชื่อเยียนถูกทำลายลง ข้อจำกัดอื่น ๆ ก็ไม่อาจรักษาเสถียรภาพได้อีกต่อไป พวกมันค่อย ๆ แตกออกทีละจุดราวปฏิกิริยาลูกโซ่
เมื่อเฉินซีเห็นสิ่งนี้ เขาก็ไม่เสียเวลาคิดอีกต่อไป
…
“บัดซบ! มันฝ่าเข้ามาได้จริง ๆ!”
“จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ชื่อเยียนถูกสังหารแล้ว! เราควรทำอย่างไรต่อไปดี?”
“ไม่ไหว… พวกเราต้านเขาไว้ไม่ได้แน่…”
“จบกัน”
“พวกเราจบเห่แล้ว”
ตอนนี้เอง ทั่วทั้งหุบเขาปีศาจตกอยู่ภายใต้ความวุ่นวาย เสียงโห่ร้องร่ำไห้โหวกเหวกไปทั่วบริเวณโดยรอบ เจตจำนงในการต่อสู้ของเหล่าทหารต่างพิภพพังครืน แม้แต่บรรดาจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์คนอื่น ๆ ก็ไม่อาจหยุดยั้งเหตุการณ์แสนอลหม่านนี้ได้
อีกด้านหนึ่ง เฉินซีฉวยโอกาสในระหว่างความสับสนวุ่นวายนี้บุกทะลวงผ่านพื้นที่ต่าง ๆ ภายในข้อจำกัดได้อย่างง่ายดาย ชายหนุ่มทำลายล้างกองกำลังผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพรวมไปถึงจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ที่ควบคุมบริเวณนั้นโดยไม่เหลือแม้แต่คนเดียว
ชั่วขณะหนึ่ง อากาศโดยรอบคละคลุ้งไปด้วยละอองเลือด เสียงคำรามสะท้านไปทั้งสวรรค์ ราวกับแดนชำระล้างแห่งใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้น
“พวกเขา ไม่มีใครรอดเลย…” ณ ใจกลางของข้อจำกัด ใบหน้าของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์สวี่เซียงถอดสีซีดเผือดขณะที่ทอดมองยังด้านนอก “เป็นไปไม่ได้ เจ้าเด็กนี่… ชักจะน่ากลัวเกินไปแล้ว”
ในยามนี้ เขารู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่ง ความรู้สึกไม่สงบใจเอ่อล้นในห้วงคิด
“นี่เป็นสิ่งเดียวที่ข้าพอจะทำได้!” ทันใดนั้น จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์สวี่เซียงก็หงายฝ่ามือข้างขวา แผ่นหยกสีดำปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือด้วยความรวดเร็ว เขากัดฟันแน่นครู่หนึ่งก่อนจะบดขยี้แผ่นหยกนั้นให้กลายเป็นผุยผง
“คราวนี้พวกเราคงไม่รอดแล้ว ข้าทำได้เพียงส่งข่าวกลับไปบอกพวกเขา ว่าเราไม่มีทางจะรุกล้ำสามภพได้อย่างสมบูรณ์แน่หากไม่กำจัดเจ้าเด็กเฉินซีนี่!”
โครม!
เมื่อเขาทำทุกสิ่งเสร็จสิ้น ข้อจำกัดหลักที่ข้อหุ้มตัวเขาเอาไว้ก็พลันพังทลายลงก่อนจะระเบิดเป็นเสี่ยง ๆ มันเป็นเวลาเดียวกันกับที่ปราณกระบี่อันน่าสะพรึงกลัวกำลังกวาดกลืนทุกสรรพสิ่ง
ฉึก! ฉึก! ฉึก!
กำลังพลต่างพิภพที่ซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังข้อจำกัดเป็นกลุ่มแรกที่เผชิญกับกับเคราะห์ร้าย พวกมันถูกสังหารอย่างไร้ความปรานี
สีหน้าของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์สวี่เซียงซีดเซียวไร้สี เขาไม่ได้เข้าช่วยเหลือพวกของตนหรือเข้าขัดขวางเฉินซีแต่อย่างใด ทำเพียงเพ่งมองจากที่ไกลเท่านั้น ทันใดนั้นเอง ร่างหนึ่งพลันปรากฏเคลื่อนผ่านอากาศและพุ่งตรงเข้ามา
ร่างนั้นสวมอาภรณ์สีเขียว เส้นผมยาวพลิ้วไหวไปตามสายลม ดุจเทพอสูรผู้ไร้เทียมทานจากบรรพกาล ชายผู้นั้นสามารถทำลายล้างค่ายกลกลั่นกรองเทพวิญญาณบรรพชนทั้งหมดได้ด้วยตัวคนเดียว ทั้งยังสังหารผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพไปมากกว่าแสนคน!
ไม่เคยมีสิ่งใดทรงพลังได้เช่นนี้มาก่อน!
ตึง!
ผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพคนสุดท้ายถูกปลิดชีพ ร่างของมันระเบิดเป็นเสี่ยง ๆ บัดนี้ภายในหุบเขาปีศาจ เหลือเพียงแต่จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์สวี่เซียงที่ยังคงมีชีวิตอยู่เท่านั้น
แกร๊ง!
เฉินซีตวัดกระบี่เต๋าวิบัติก่อนจะชี้ยันต์ศัสตราไปยังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์สวี่เซียงที่อยู่ไกลออกไปทั้งจิตสังหารเข้มข้น
“บอกข้ามาว่าผู้หญิงที่พวกเจ้าจับตัวมาเมื่อห้าวันก่อนอยู่ที่ไหน แล้วข้าจะไม่ให้เจ้าตายอย่างทรมาน” เฉินซีเอ่ยเสียงเย็นเยียบ “อย่าได้คิดตุกติกเชียว เชื่อเถอะว่าข้าสามารถจับเจ้าไว้ได้ก่อนที่เจ้าระเบิดตัวเอง เมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้อยากตายแค่ไหนข้าก็จะไม่ปล่อยให้เป็นเช่นนั้น”
จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์สวี่เซียงสีหน้าเครียดขรึม สถานการณ์ที่อับจนหนทางก่อเกิดเป็นความกลัว คล้ายว่าเขายอมแพ้เลิกดิ้นรนแล้ว
“ที่แท้ ก็เพื่อสตรีนางหนึ่งเองหรือ… ฮ่า ๆ หรือนี่จะเพียงโกรธเกรี้ยวเพื่อโฉมงาม*[1]เท่านั้น?” เขาพึมพำทั้งเผยสีหน้างุนงง
เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าเฉินซีจะมาที่นี่ด้วยตัวเอง และสังหารคนนับแสนรวมไปถึงบรรดาจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อย่างเหี้ยมโหด… เพียงเพื่อผู้หญิงคนเดียว!
ฟึ่บ!
ยันต์ศัสตราของเฉินซีฉายแสงแวววาว มันตัดแขนขวาของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์สวี่เซียงด้วยความรวดเร็ว เลือดของเขาพุ่งออกมาราวน้ำพุ
“ข้าไม่มีเวลามาฟังเสียงรำพึงรำพันของเจ้า” เฉินซีพูดอย่างไม่แยแส
ใบหน้าของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์สวี่เซียงบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด “ข้าจะบอกให้ก็ได้ว่านางอยู่ที่ไหน แต่ก่อนอื่นช่วยบอกข้ามาทีว่าเจ้าเป็นราชันเซียนหรือทวยเทพกันแน่?” เสียงของเขาอู้อี้
ท่าทางแสดงถึงปรารถนาใคร่รู้อย่างลึกซึ้ง บางทีสำหรับเขาแล้ว คำตอบนี้อาจจะเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เขาไม่มีวันลืมเลือน
“ขอบเขตครึ่งเทวา” เฉินซีตอบเสียงเรียบเฉย
“ครึ่งเทวา?” จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์สวี่เซียงตกตะลึง แสงอันน่าสะพรึงกลัวฉายวาบจากดวงตา “ไม่แปลกใจ ก็เจ้าน่ะ… เป็นศิษย์ของฝูซีแห่งเขาเทพพยากรณ์นี่นะ!” เสียงคำรามหัวเราะอย่างขื่นขมแผดดัง
ภายในน้ำเสียงมีความชิงชังและความโล่งใจซ่อนเร้นอยู่
แค่ก!
เมื่อจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์สวี่เซียงพูดจบ เขาไม่ได้เลือกที่จะระเบิดตัวเอง หากแต่ทำอัตวินิบาตกรรมโดยการทำลายดวงจิตของตนให้ตายลงเดี๋ยวนั้น!
หากผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพซึ่งเทียบได้กับราชันเซียนตั้งใจที่จะปลิดชีพตัวเอง แม้แต่เทพก็ไม่อาจหยุดยั้ง ดังนั้นแล้วเฉินซีจึงไม่มีทางที่จะขวางเขาไว้ได้สำเร็จเช่นกัน
“อย่างน้อยเจ้าก็รู้ขีดจำกัดของตัวเอง” เฉินซีตระหนักดีว่าสหายเต๋าผู้นี้คงจะรู้ตัวว่าแรงโจมตีที่เกิดจากการระเบิดตัวเองนั้นไม่สามารถทำอันตรายใดกับตนได้ ด้วยเหตุนี้ แทนที่จะต้องทรมานกับความอัปยศอดสู จึงเลือกที่จะปลิดชีพตัวเองให้เร็วที่สุด อย่างน้อยก็จะได้ตายอย่างมีศักดิ์ศรี
ข้าสงสัยว่าตอนนี้ฟ่านอวิ๋นหลานถูกซ่อนไว้ที่ใด… เฉินซีสูดลมหายใจลึกก่อนจะเพ่งกระแสจิตออกไป พลังของเขาปกคลุมไปทั่วทั้งหุบเขาปีศาจ สอดส่องทุกช่องว่างของแผ่นดิน ชายหนุ่มยอมรับ เขาในยามนี้กระวนกระวายใจอย่างยิ่ง
กังวลว่าหญิงสาวจะต้องประสบเคราะห์ร้าย และยิ่งกังวลมากกว่านั้นหากความรู้สึกผิดที่มีบีบคั้นให้เขาไม่อาจสู้หน้านางได้…
“ตรงนั้น!” หลังจากนั้นไม่นาน หัวใจของเฉินซีพลันสั่นระรัว โพรงถ้ำใต้ดินหนึ่งปรากฏขึ้นในห้วงคำนึง ท่ามกลางความมืดมิด ร่างของสตรีนางหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น…
ตอนนั้นเอง เฉินซีตื่นเต้นจนใจปวดแปลบ ชายหนุ่มละล้าละลังด้วยไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรต่อไป หลังจากที่ห่างหายจากกันไปนานหลายปี นางจะผิดหวังในตัวข้าไปแล้วหรือไม่?
[1] โกรธเกรี้ยวเพื่อโฉมงาม (一怒为红颜 ) มาจากสำนวน 恸哭六军俱缟素,冲冠一怒为红颜 ‘สามทัพครวญไว้ทุกข์องค์ราชัน, นายทัพโกรธเกศาชันเพื่อโฉมงาม’แปลว่า ทำทุกอย่างเพราะเห็นแก่สาวงาม
……….