บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1507 ภูเขาศักดิ์สิทธิ์และภูตผีตนหนึ่ง
บทที่ 1507 ภูเขาศักดิ์สิทธิ์และภูตผีตนหนึ่ง
……………………………………………………………………..
บทที่ 1507 ภูเขาศักดิ์สิทธิ์และภูตผีตนหนึ่ง
หนึ่งวันให้หลัง ภายในตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋า
โอม!
จานหยกที่เต็มไปด้วยแสงดาวเย็นเฉียบนี้ คือจานหยกวิญญาณดาราที่ศิษย์พี่หลียางมอบให้กับเฉินซี และมันสามารถพาไปสู่เขาเทพพยากรณ์ ด้วยการใช้สมบัตินี้
เพียงชั่วพริบตา ประตูไร้ตัวตนที่ดูเหมือนจะควบแน่นจากแสงดาวก็ปรากฏตรงหน้า
เฉินซีหายใจเข้าลึก ๆ และมีสีหน้าสงบ ขณะที่ก้าวผ่านประตูและหายตัวไปทันทีอย่างไร้ร่องรอย
…
ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ดวงดาวนับไม่ถ้วนนั่นโคจรตามวิถีของมันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด พวกมันดำรงอยู่ไปตลอดกาล คอยเปล่งรัศมีอันเป็นนิรันดร์และไร้ขอบเขตออกมา
ในส่วนลึกของจักรวาลนี้ มีภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่พาดผ่านกลุ่มดาวจำนวนนับไม่ถ้วน อาบอยู่ใต้แสงดาวที่พร่างพราวไร้ขอบเขตตลอดทั้งปี มันจึงดูงดงามและลึกลับ
นี่คือเขาเทพพยากรณ์!
ที่ตั้งของสุดยอดนิกายที่ลึกลับที่สุดในสามภพ
เขาเทพพยากรณ์ทั้งหมด ดูคล้ายกลุ่มกระบี่แหลมคมที่แทงทะลุจักรวาล น้ำตกและแม่น้ำสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนก็ไหลลงมาจากท้องฟ้า พวกมันถูกสร้างขึ้นจากพลังงานบริสุทธิ์ของดวงดาว ซึ่งกลายเป็นแม่น้ำสีเงินที่ไหลลงมาราวกับมังกรเงินที่เปล่งประกายระยิบระยับ
โอม!
ทันใดนั้น ประตูบานหนึ่งก็ปรากฏขึ้น จากนั้นร่างสูงของเฉินซีก็เดินออกมาจากภายในนั้น ก่อนที่เขาจะได้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าว
นี่เป็นครั้งแรกที่ได้มายังนิกายนับตั้งแต่กลายเป็นศิษย์เอกของเขาเทพพยากรณ์ และเมื่อเห็นฉากอันงดงามที่อยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มจึงถอนหายใจไม่รู้จบ
จักรวาลและดวงดาวดูเหมือนจะอยู่ใกล้แค่เอื้อม พวกมันล้วนเหมือนเมล็ดพืชที่เปล่งแสงแวววาวอันนุ่มนวลและน่าหลงใหล ในขณะที่พวกมันส่องสว่างไปทั้งโลก
เฉินซีอาบไปด้วยแสงดาวอันเย็นสบายขณะที่เดินไปยังเขาเทพพยากรณ์ เพียงก้าวเดียว มิติก็หดตัวลง ภูเขาและแม่น้ำมากมายก็ส่งเสียงหวีดหวิวผ่านไปต่อหน้าต่อตา
ในไม่ช้า เฉินซีก็หยุดเคลื่อนไหว และภูเขาที่ดูเหมือนก่อตัวขึ้นจากตำราก็ปรากฏอยู่ในระยะสายตา ภูเขานั่นสูงตระหง่านเทียมฟ้า ดูเหมือนจะมีรูปร่างเหมือนคันทวน มีตำรานับไม่ถ้วนกองอยู่บนนั้น มีทั้งแผ่นไม้ไผ่ ผ้าไหม กระดองเต่า แผ่นหยก… พวกมันล้วนงดงามตระการตาและกว้างใหญ่ไพศาลราวกับมหาสมุทร มันเป็นภูเขาตำราอย่างแท้จริง
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ร่างของศิษย์พี่สี่ปราชญ์เฒ่าก็ปรากฏในใจของเฉินซี และหวนนึกถึงเคล็ดกระบี่ที่สะท้านโลกา ซึ่งปราชญ์เฒ่าได้ใช้เพื่อทำลายล้างขุนพลสังหารเทพทั้งสาม ทำลายวงล้อชะตาวิถีสวรรค์ และทำลายค่ายกลขจัดเทพ!
ประกาศิตกระบี่ขงจื๊อ… นั่นเป็นตำราในเต๋าแห่งกระบี่ด้วยหรือ? เฉินซียังจำได้ว่า เคล็ดกระบี่ของปราชญ์เต๋า เรียกว่าประกาศิตกระบี่ขงจื๊อ และมันทิ้งความประทับใจอันลึกล้ำไว้ในใจไม่เสื่อมคลาย
ขณะที่คิด ชายหนุ่มก็พุ่งไปที่ภูเขาตำรา แล้วจึงอ่านตำราตามที่ใจต้องการ เขาเห็นตำรามากมายที่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายโบราณ ตำราหนังสัตว์ที่เขียนโดยเทพอสูร เศษผ้าไหมที่ปักด้วยแถบสีทอง คัมภีร์ที่เขียนด้วยลายมือที่เต็มไปด้วยรัศมีของพุทธองค์ กระดองเต่าที่คลุมเครือและแปลกตาที่ปกคลุมด้วยแผนผัง…
ด้วยประสบการณ์ของเฉินซีในปัจจุบัน ก็ยังรู้สึกมึนงงกับกองตำราเหล่านี้ ซ้ำยังอุทานด้วยความตกใจไม่รู้จบ หากตำราเล่มใดเล่มหนึ่งปรากฏสู่โลกภายนอก ผู้บ่มเพาะนับไม่ถ้วนอาจต้องต่อสู้จนตัวตายเพื่อให้ได้ครอบครอง ทว่าบัดนี้ พวกมันกลับถูกกองรวมกันบนภูเขาอย่างไร้ค่า ทำให้เฉินซีรู้สึกอดคิดไม่ได้ว่าช่างน่าเสียดาย
แน่นอนว่า แม้ตำราหลายเล่มจะหายาก แต่ตอนนี้กลับไม่มีประโยชน์ใด ๆ ต่อเขาเลย
เฉินซีเดินตรงไปข้างหน้า จนกระทั่งมาถึงส่วนที่ลึกที่สุดของภูเขาตำรา และพบกับโต๊ะหินตัวหนึ่ง บนโต๊ะนั้นมีม้วนคัมภีร์สีเหลืองอันหนึ่งวางอยู่โดดเด่นเป็นสง่า
ก่อนที่จะได้เข้าใกล้มัน เจตจำนงกระบี่ที่ดุร้ายและอำมหิตได้พุ่งออกมาจากม้วนคัมภีร์สีเหลือง มันกว้างใหญ่ เคร่งขรึม น่ากลัว และดูเหมือนตั้งใจที่จะทำลายล้างความชั่วร้ายทั้งปวง
ประกาศิตกระบี่ขงจื๊อ!
เพียงแค่มองแวบเดียว เฉินซีก็สังเกตเห็นว่ามีผนึกสามอันที่เขียนด้วยลายมือที่ทรงพลังและเก่าแก่อยู่บนม้วนคัมภีร์สีเหลือง แต่ละคำเหมือนกระบี่ที่ไร้เทียมทาน ซึ่งถูกประทับด้วยเจตจำนงกระบี่ที่น่าสะพรึงกลัว
หากเป็นคนทั่วไปที่อยู่ที่นี่ คนผู้นั้นอาจถูกเจตจำนงกระบี่ฟันเป็นชิ้น ๆ ก่อนที่จะเข้าใกล้มันได้ด้วยซ้ำ!
ถึงขนาดที่เฉินซีสงสัยว่า แม้แต่ราชันเซียนครึ่งขั้นก็อาจไม่สามารถเข้าใกล้ม้วนคัมภีร์นี้ได้เช่นกัน เพราะเจตจำนงกระบี่ที่อยู่ภายในนั้นน่าสะพรึงกลัวเกินไป อีกทั้งยังเกินขอบเขตเซียนกระบี่แล้ว และมีกลิ่นอายของจักรพรรดิกระบี่!
เหนือขอบเขตเซียนกระบี่คือขอบเขตจักรพรรดิกระบี่!
คำว่า ‘จักรพรรดิ’ ในที่นี้มีความหมายถึงการควบคุม และหมายถึงจ้าวผู้ปกครองเต๋าแห่งกระบี่เพียงผู้เดียว เมื่อใครคนหนึ่งมาถึงขอบเขตนี้ เต๋าแห่งกระบี่ก็จะบรรลุสภาวะที่สะท้านโลกาและอยู่เหนือจินตนาการ
ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน มีเพียงเทพที่มีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์เท่านั้น ที่มีโอกาสคว้าพลังดังกล่าว และมีเพียงเหตุผลเดียวสำหรับสิ่งนี้ เป็นเพราะมันยาก!
นับตั้งแต่ความโกลาหลในช่วงเริ่มต้นของโลกถูกแยกออกจากกัน ใคร ๆ ก็สามารถนับการดำรงอยู่ของผู้ที่บรรลุขอบเขตจักรพรรดิกระบี่ได้ด้วยมือเดียว ซ้ำยังอาจกล่าวได้ว่า พวกมันหายากพอ ๆ กับขนวิหคอมตะและเขากิเลน
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ที่บรรลุขอบเขตจักรพรรดิกระบี่ ล้วนเป็นตัวตนที่ขอบเขตเทวาหรือสูงกว่านั้น!
สิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร?
หมายความว่าไม่มีผู้เยี่ยมยุทธ์คนใดที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตเทวา จะบรรลุขอบเขตจักรพรรดิกระบี่นี้ได้!
เห็นได้ชัดว่ามันยากเพียงใดที่จะบรรลุขอบเขตดังกล่าวในเต๋าแห่งกระบี่ เพราะแม้พวกเขาจะดำรงอยู่ในขอบเขตเทวาแล้วก็ตาม มีเพียงคนส่วนน้อยเท่านั้นที่สามารถเข้าใจและบรรลุขอบเขตจักรพรรดิกระบี่ได้
อันที่จริง มันไม่ใช่แค่เต๋าแห่งกระบี่เท่านั้น ตัวอย่างเช่นเต๋าแห่งยันต์อักขระ เต๋าแห่งดาบ เต๋าแห่งคันศร และมหาเต๋าอื่น ๆ มากมายเช่นนี้ …มันยากที่จะบรรลุขอบเขตของ ‘จักรพรรดิ’
ตัวอย่างเช่น จนถึงจุดนี้ในเส้นทางการบ่มเพาะ เฉินซีเคยเห็นจักรพรรดิกระบี่เพียงคนเดียวเท่านั้น และมันคือจอมกระบี่บรรพกาลที่อยู่ในสุสานแห่งราชันนิรันดร์ ผู้ซึ่งเสียชีวิตไปเนิ่นนานแล้ว
ณ เวลา นี้ เมื่อสังเกตเห็นเจตจำนงกระบี่ที่แผ่ออกมาจากคัมภีร์ประกาศิตกระบี่ขงจื๊อ เฉินซีก็มั่นใจทันทีว่าศิษย์พี่สี่อาจบรรลุถึงขอบเขตจักรพรรดิกระบี่มานานแล้ว!
มิฉะนั้น เขาจะไม่สามารถใช้กระบวนท่าในวันนั้นได้อย่างแน่นอน ทั้งยังทำลายขุนพลสังหารเทพสามคน ทำลายวงล้อชะตาวิถีสวรรค์ และทำลายค่ายกลขจัดเทพด้วยกระบี่กระบวนท่าเดียว!
เมื่อหลายปีก่อน ข้าได้บรรลุขอบเขตเซียนกระบี่ขั้นสมบูรณ์แล้ว แต่ข้าไม่สามารถทะลวงขอบเขตได้จนถึงตอนนี้ บางทีข้าอาจพบร่องรอยของโอกาสที่จะบรรลุจากคัมภีร์ประกาศิตกระบี่ขงจื๊อนี้…
เฉินซีครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งก่อนที่จะยกมือขึ้นและเก็บคีมภีร์สีเหลืองไป โดยที่ตั้งจะคว้าโอกาสบรรลุขอบเขตผ่านมัน
หลังจากที่ทำทั้งหมดนี้แล้ว เฉินซีก็เงยหน้าขึ้นและตรวจดูสภาพแวดล้อม จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ ทำให้ลำแสงอมตะจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาและปกคลุมภูเขาตำราทั้งหมด
ฟึ่บ!
ตำราเล่มแล้วเล่มเล่าได้บินขึ้นและถูกเฉินซีเก็บไป ในเวลาไม่นาน ภูเขาที่ถูกปกคลุมไปด้วยกองตำรานับไม่ถ้วนก็หายไปทันที
ก่อนที่ศิษย์พี่สี่จะจากไป เขาได้บอกเฉินซีว่ายังมีตำราหลายเล่มอยู่ที่นิกาย และขอให้เฉินซีดูแลพวกมันให้ดี เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตำราเหล่านั้นถูกทำลายท่ามกลางภัยพิบัติที่แพร่กระจายไปทั้งสามภพ
โดยปกติแล้ว เฉินซีย่อมไม่อดกลั้นในสถานการณ์เช่นนี้ และเขาตัดสินใจเก็บรักษาพวกมันทั้งหมด เพราะอยู่ในความดูแลของเขา ดีกว่าถูกกองรวมกันอยู่ที่นี่เป็นไหน ๆ
หลังจากที่ทำทั้งหมดนี้เสร็จแล้ว เฉินซีก็เดินต่อไปยังส่วนลึกของนิกาย
ระหว่างทาง เฉินซีมองเห็น ‘ภูเขากระดูก’ ที่ศิษย์พี่สามเที่ยอวิ๋นไห่บ่มเพาะ มันเป็นภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยกองกระดูกของสัตว์อสูรต่าง ๆ สัตว์ที่กลายพันธุ์และสัตว์เทวะ
เห็น ‘ภูเขาบุปผาและใบไม้’ ซึ่งเป็นที่บ่มเพาะของศิษย์พี่ห้าหลี่ฝูเหยา เช่นเดียวกับชื่อที่บอกเป็นนัย ภูเขานั้นถูกปกคลุมไปด้วยดอกไม้และใบไม้ทุกประเภทที่มีลวดลายลึกลับประทับไว้
เห็น ‘ภูเขาคลื่นเสียง’ ซึ่งเป็นที่บ่มเพาะของศิษย์พี่หกฉางถู ผู้ที่เขาไม่เคยพบมาจนถึงตอนนี้
เห็น ‘ภูเขาประทีปเมฆา’ซึ่งเป็นที่บ่มเพาะของศิษย์พี่เจ็ดกู่เหลียงฉิน
เห็น ‘ภูเขาปณิธาน’ ซึ่งเป็นที่บ่มเพาะของศิษย์พี่แปดไป๋หรานหนิง และภูเขาอื่น ๆ อีกหลายแห่ง
ภูเขาทุกลูกแสดงถึงร่องรอยที่แตกต่างกันของมหาเต๋าที่ศิษย์พี่ชายและศิษย์พี่หญิงแสวงหา แต่ทั้งหมดล้วนบรรลุเป้าหมายเดียวกัน ด้วยวิธีการที่แตกต่างกัน และได้ก้าวเข้าสู่วิถีของเต๋าแห่งยันต์อักขระ
เช่นเดียวกับเฉินซี ชายหนุ่มท่องไปทั่วโลกด้วยกระบี่ในมือ แต่สุดท้ายเขาก็ก้าวเข้าสู่วิถีของเต๋าแห่งยันต์อักขระในทำนองเดียวกัน
ในระหว่างนี้ เฉินซีไม่หักห้ามใจแม้แต่น้อย และเก็บทุกสิ่งที่ได้พบไปหมดสิ้น ในช่วงเวลาสั้น ๆ แค่ครึ่งวัน ก็มีตำรามากมายนับไม่ถ้วน กระดูกแรกกำเนิดของสัตว์อสูร ดอกไม้ และใบไม้ที่มีลวดลายแห่งเต๋า สมบัติแปลก ๆ ที่เต็มไปด้วยทำนองทุกประเภท และสมบัติอื่น ๆ อีกมากมาย
ทั้งหมดนี้ถูกทิ้งไว้โดยเหล่าศิษย์พี่ ซึ่งตอนนี้พวกเขาได้มุ่งหน้าไปยังแดนโลกาวินาศ และอาจไม่สามารถกลับมาได้อีก เฉินซีจึงไม่ปล่อยให้ผลงานและสมบัติของพวกเขาต้องถูกกองอย่างไร้ค่าอยู่ภายในนิกาย เพราะนั่นไม่ต่างอะไรกลับการปล่อยให้ฝุ่นปกคลุมไข่มุกที่สุกสกาว
…
ในที่สุด เฉินซีก็มาถึงภูเขาลูกเล็ก ๆ ที่แสนจะธรรมดา บนยอดเขามีเพียงกระท่อมหลังหนึ่ง และมีหินปูนตั้งอยู่หน้ากระท่อม
หินปูนนี้มีรอยกระดำกระด่างและดูดำทะมึน มีร่องรอยของกาลเวลาที่ผ่านพ้น นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรพิเศษอีก
อย่างไรก็ตาม เพียงแค่มองแวบเดียวเฉินซีก็จำได้ว่านี่คือหอส่องดารา สถานที่ที่ปรมาจารย์แห่งเขาเทพพยากรณ์ฝูซีได้บ่มเพาะและพำนักอยู่ ในขณะรู้แจ้งมหาเต๋าเมื่อหลายปีก่อน
หินปูนนี้ธรรมดามากจริง ๆ แต่เนื่องจากฝูซีเคยรู้แจ้งเต๋าที่นี่ มันย่อมไม่ธรรมดาอย่างที่ตาเห็น
ตามที่ศิษย์พี่ห้ากล่าวไว้ หุบเหวศักดิ์สิทธิ์แห่งดารากลั่นตั้งอยู่ข้าง ๆ หอส่องดารา แต่ว่ามันอยู่ที่ใดกัน?
เฉินซีละสายตาจากหินปูนก้อนนั้น แล้วจ้องมองไปรอบ ๆ
สายตาสังเกตเห็นว่า รอบ ๆ ภูเขานี้ไม่มีอะไรที่สะดุดตาแม้แต่น้อย และไม่มีแม้แต่ข้อจำกัดที่ผันผวนใด ๆ
หุบเหวศักดิ์สิทธิ์แห่งดารากลั่นคงจะไม่อยู่ในกระท่อมหลังนี้กระมัง?
หลังจากนั้นไม่นาน เฉินซีก็จ้องมองไปที่กระท่อมด้านหลังหินปูน ที่มีความสูงประมาณสิบสองจั้ง และทำจากไม้สน หลังคากระท่อมดูเหมือนจะไม่ได้รับการดูแลมานาน มันจึงถูกปกคลุมไปด้วยวัชพืชที่ปลิวมาตามสายลม
ประตูกระท่อมปิดอย่างแน่นหนา แต่ไม่ได้เข้ากลอนไว้
เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวเดินไปข้างหน้า จากนั้นสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และยื่นมือดันประตูให้เปิดออก
แต่ในขณะนี้ จู่ ๆ ก็มีภูตผีโผล่ออกมาจากประตู มันทำให้เฉินซีตกตะลึง และรีบถอยหลังกลับมาอย่างรวดเร็ว ทั้งยังระวังตัวอย่างยิ่ง
ภูตผีตนนี้มีรูปร่างสูงใหญ่และเอามือไพล่หลังไว้ ผมสีขาวราวหิมะถูกปล่อยลงมาหลวม ๆ บนไหล่ เผยให้เห็นรูปลักษณ์ที่หล่อเหลา ยิ่งกว่านั้น เมื่อดวงตาของมันกะพริบ ก็ดูเหมือนดวงดาวนับไม่ถ้วนกำลังระยิบระยับอยู่ภายในนั้น ซ้ำยังเห็นเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ของการเปลี่ยนแปลงของเวลาภายในจักรวาล รวมทั้งวัฏจักรแห่งชีวิตและความตายของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง
ในทันทีที่เฉินซีพบกับการจ้องมองของภูตผีตนนี้ ก็รู้สึกว่าจิตวิญญาณสั่นไหว และรู้สึกราวกับความลับที่เก็บซ่อนเอาไว้ ล้วนถูกล่วงรู้
แต่ในเวลาต่อมา ดวงตาของภูตผีก็ฟื้นคืนความสงบ และไม่มีอารมณ์แปรปรวนอีกต่อไป มันเหมือนกับบ่อน้ำโบราณที่ลึกและเงียบสงบ ทำให้ผู้คนรู้สึกสงบสุขเพียงได้มองสบ
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะตกใจกับสิ่งนี้ ซ้ำยังไม่เคยคาดคิดว่าแค่การจ้องมองดังกล่าว จะสามารถครอบงำจิตใจของตน และไม่สามารถต้านทานมันได้เลย จะต้องมีการบ่มเพาะที่น่าสะพรึงกลัวเช่นใด จึงจะบรรลุเช่นนี้ได้?
“ศิษย์น้องเล็ก ในที่สุดเจ้าก็มา” ทันใดนั้น รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาของบุคคลนั้น และพร้อมกับรอยยิ้มนี้ ฟ้าดินดูเหมือนจะสว่างไสวขึ้นทันตา
เฉินซีตกตะลึงและก็รีบโค้งคำนับ “ข้าขอทราบได้หรือไม่ ว่าศิษย์พี่มีนามว่า?”
“อู่เซวี่ยฉาน” ภูตผีกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและสงบ
แต่เมื่อคำเหล่านี้ก้องกังวานอยู่ในหูของเฉินซี มันก็ไม่ต่างอะไรกับเสียงฟ้าร้อง ซึ่งสั่นคลอนหัวใจและความคิดจนสั่นสะท้าน ศิษย์พี่ใหญ่อู่เซวี่ยฉาน!?