บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1505 จากลา
บทที่ 1505 จากลา
……………………………………………………………………..
บทที่ 1505 จากลา
อินไฮว่คงสวมหมวกและเสื้อคลุมสีดำอำพรางไม่ให้ผู้ใดสามารถเห็นรูปลักษณ์ของเขาได้อย่างชัดเจน ไม่แม้จะสังเกตถึงสีหน้าที่สำแดงออกมาในยามนี้
กระนั้นเฉินซีก็สัมผัสได้ว่ารัศมีของอินไฮว่คงกำลังปะทุออกมาอย่างบ้าคลั่ง เห็นทีคำพูดยั่วโทสะของหลี่ฝูเหยาคงจะทำให้เขาโกรธจัด
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ศิษย์พี่จากเขาเทพพยากรณ์ของข้าช่างร้ายเหลือ!
“เช่นนั้น หรือว่าเจ้าหยั่งรู้หนทางสู่การเป็นเทพเล่า? อย่าลืมสิว่าตอนนี้เจ้ายังเป็นแค่ราชันเซียน! และตราบใดที่เจ้าเป็นแค่ราชันเซียน ความตายของเจ้าก็จะอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน!” อินไฮว่คงแผดเสียงก่อนจะเริ่มโจมตีอีกครั้ง ควบคุมแดนวิบัติทมิฬเพื่อสร้างทวยเทพที่เหี้ยมเกรียมทั้งหลาย รวมถึงปรากฏการณ์แห่งภัยพิบัติต่าง ๆ เท่าที่จะสร้างขึ้นได้ในตอนนี้ พลังโจมตีนี้ส่งผลให้แรกกดดันโดยรอบเพิ่มขึ้นจนน่าสะพรึงกลัว
“ขอบเขตเทวาอยู่ห่างจากข้าไปเพียงก้าวเดียวเท่านั้น” หลี่ฝูเหยายิ้มจาง ๆ ก่อนจะก้าวไปเบื้องหน้า มันเป็นการกระทำที่ดูเรียบง่าย ทว่ากลับส่งผลให้รัศมีอันสง่างามเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว มันเรืองรองด้วยรัศมีเทวะที่กว้างใหญ่ไพศาล!
ในตอนนี้ ไม่ว่าใครก็สังเกตเห็นเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่ขดอยู่รอบ ๆ ตัวเขาราง ๆ แต่ละริ้วของเปลวเพลิงนั้นคล้ายมีเทพเซียนผู้เคร่งขรึมและยิ่งใหญ่สถิตอยู่ภายใน
คล้ายบรรลุเต๋าและกลายเป็นเทพเซียนในก้าวเดียวเท่านั้น!
“ก้าวเดียวหรือ! บัดซบ! หลี่ฝูเหยา! เจ้ามันวิปลาส! นี่เจ้าไม่กลัวเลยหรืออย่างไรว่าแดนโลกาวินาศจะพาตัวเจ้าไป!?” เมื่ออินไฮว่คงเห็นสิ่งนี้ เขาอดไม่ได้ที่จะสบถออกมาอย่างเกรี้ยวกราด วาจาเหล่านี้ล้วนแต่เต็มไปด้วยความไม่เชื่อสายตาและความคลางแคลง
เฉินซีเองก็ตกตะลึงไม่ต่างกัน ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าหลี่ฝูเหยาเลือกที่จะบรรลุขอบเขตเทวาในขณะนี้ ไม่เพียงเท่านั้น การกระทำดังกล่าวยังผ่านพ้นไปได้โดยง่าย ราวกับว่าตราบใดสามารถกลายเป็นเทพเซียนได้ทุกเมื่อ!
นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว!
ความตะลึงเกิดได้ไม่นานนัก หัวใจของเฉินซีก็พลันคล้ายถูกบีบรัด สิ่งที่อินไฮว่คงพูดมานั้นมิผิดแม้แต่น้อย ทันทีที่ศิษย์พี่ห้าหลี่ฝูเหยาบรรลุขอบเขตเทวา โซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาก็ปรากฏขึ้นด้วยความรวดเร็วและหมายมุ่งที่จะพาตัวเขาไปยังแดนโลกาวินาศโดยยังไม่ทันได้ตั้งตัว
หลี่ฝูเหยาคล้ายไม่แยแสต่อสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ รอยยิ้มที่เริงร่าสอดรับแววตาที่วาวโรจน์ยิ่งกว่าแสงดารา ประกายของมันเปี่ยมล้นด้วยความศักดิ์สิทธิ์ เขาสะบัดชายแขนเสื้อข้างขวาของตนเพียงเบา ๆ
ตึง!
มันเป็นการเคลื่อนไหวที่ดูสบาย ๆ หากแต่ใบไม้เขียวชอุ่มนับหมื่นพันที่ปรากฏขึ้นจากการเคลื่อนไหวนั้นกลับอบอวลด้วยรัศมีเทวะเรืองรอง ขณะที่ใบไม้เหล่านี้เริ่มโปรยปราย พวกมันก็ค่อย ๆ ก่อตัวเป็นยันต์เทวะที่ทอดยาวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ฉับพลัน แรงระเบิดอันน่าสะพรึงกลัวปะทุขึ้น เทพผู้เหี้ยมเกรียมจำนวนมากมายและปรากฏการณ์แห่งภัยพิบัติต่าง ๆ ที่ถูกสร้างขึ้นจากน้ำมืออินไฮว่คงแหลกสลายเป็นเศษเสี้ยว ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่ท้องฟ้าและจักรวาลอันไร้ขอบเขตของฟ้าดินทั้งหลายก็ยังพังครืนลงพร้อมกับเสียงกัมปนาท
ในขณะเดียวกันนั้น หลี่ฝูเหยาสาวเท้ายังเบื้องหน้า เขาเหยียดแขนขวาออกไปคว้าจับอินไฮว่คงด้วยความรวดเร็ว
“เอาละ สหายเต๋า จงมุ่งหน้าไปยังแดนโลกาวินาศกับข้า!”
“ไม่!!!” อินไฮว่คงโกรธจัด ร่างกายสั่นสะท้านไปด้วยความผันผวนของพลังอันน่าสะพรึงกลัว เพียงพริบตา เขาก็หายตัวไปในอากาศและพยายามหลบเลี่ยงการโจมตีจากอีกฝ่าย
หมับ!
กระนั้นทันทีที่พยายามจะหลบหนี เขาก็ถูกฝ่ามือของหลี่ฝูเหยาคว้าเอาไว้อีกครั้ง แขนขวาถูกฉีกกระชาก ส่งผลให้บัดนี้ท้องฟ้าถูกย้อมเป็นสีแดงฉาน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดรวดเร็วยิ่งกว่าการกะพริบตา มันเร็วเสียจนเฉินซีไม่ทันตั้งตัว ชายหนุ่มชะงักไปครู่หนึ่งด้วยนึกตกใจ
ผ่านไปไม่นาน แรงสั่นสะเทือนของฟ้าดินมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของผืนพิภพ ภาพเบื้องหน้าที่ต่างไปจากเดิมทำให้เฉินซีรู้ว่าบัดนี้ตนได้กลับมาอยู่ที่ด้านหน้าของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าอีกครั้ง
…
อาทิตย์อัสดงสาดแสงสีแสดประหนึ่งโลหิตย้อม มันอาบท้องฟ้าให้เป็นดังทะเลเลือด
พื้นที่ด้านนอกของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าปกคลุมไปด้วยซากปรักหักพังและความรกร้าง ทั่วทั้งเมืองเซียนสัประยุทธ์ถูกกวาดล้างจนราบคาบ เหลือเพียงเศษซากที่ชวนให้หดหู่
ไม่มีศัตรูใดหลงเหลืออยู่อีกแล้ว แม้แต่อินไฮว่คงก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“น่าเสียดายนัก! มันยังอุตส่าห์รอดพ้นความตายไปได้” หลี่ฝูเหยาถอนใจเอื่อย เขาเค้นแรงไปที่ฝ่ามือก่อนจะเกิดเสียงเปาะดังขึ้น แขนที่ขาดของอินไฮว่คงในมือพลันแหลกเป็นผุยผงและสลายไปในอากาศ
อย่างไรก็ดี เรื่องของอินไฮว่คงในยามนี้ไม่ใช่เรื่องที่เฉินซีจำต้องให้ความสนใจนัก “ศิษย์พี่ห้า ในเมื่อตอนนี้ท่านบรรลุขอบเขตเทวาแล้ว เช่นนั้น…” เขาพูดเสียงกังวล
ยังไม่ทันจะพูดจบ เฉินซีที่กำลังเงยหน้าขึ้นไปก็พลันเห็นประตูซึ่งมีโซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาจำนวนมากพันรัดเอาไว้ตั้งตระหง่านอยู่กลางท้องฟ้า มันเหมือนกับกระบี่คมกริบที่ลอยอยู่เหนือหัวของทุกคน
หลี่ฝูเหยายิ้ม “อย่าได้กังวลไป ข้าน่ะรอวันนี้มานานแล้ว หากข้ายังไม่ไปอีกละก็ ศิษย์พี่ใหญ่กับคนอื่น ๆ คงจะเบื่อน่าดูที่ต้องคอยข้าอยู่ในแดนโลกาวินาศนาน ๆ”
เฉินซีชะงัก เขากับศิษย์พี่ห้าเพิ่งได้พบกับไม่นาน ไหนเลยจะต้องแยกจากกันแล้ว
“ท่านเจ้าสำนัก!”
“ท่านเจ้าสำนักปรากฏตัวแล้ว!”
“ท่านเจ้าสำนักยังไม่ตาย!”
ตอนนั้นเอง เมื่อบรรดาอาจารย์และศิษย์ทั้งหลายของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเห็นร่างของเฉินซีปรากฏขึ้น พวกเขาก็ส่งเสียงโห่ร้องด้วยความประหลาดใจ
ก่อนหน้านี้ในตอนที่เฉินซีถูกพาตัวเข้าไปในแดนวิบัติทมิฬ พวกเขาไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าเกิดสิ่งใดขึ้นภายในนั้นบ้าง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเฉินซีไปอยู่ที่ไหน และคิดว่าอีกฝ่ายคงจะประสบกับเภทภัยครั้งใหญ่ แน่นอนว่าเรื่องนี้ทำให้ทุกคนหวั่นวิตกอย่างยิ่ง
เมื่อได้เห็นว่าเฉินซียังปลอดภัยดี ก็ต่างพากันโล่งอก
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นสิ่งนี้ การที่กองกำลังของนิกายอำนาจเทวะไม่ฉวยโอกาสปิดล้อมสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเอาไว้นับเป็นเรื่องที่แปลกนัก
อย่างไรเสีย หากนิกายอำนาจเทวะฉวยโอกาสในระหว่างที่เขาและศิษย์พี่ห้าติดอยู่ในแดนวิบัติทมิฬโจมตีสำนักศึกษา ผลที่ตามมาก็คงยากเกินกว่าจะจินตนาการได้
ครั้นเฉินซีจะถามถึงเรื่องนี้ จู่ ๆ หลี่ฝูเหยาก็คลี่ยิ้มออกมาและมองไปยังอีกทางหนึ่ง “ศิษย์น้องเล็ก เจ้าดูสิว่าใครมา”
เฉินซีชะงักเล็กน้อย เขามองไปตามสายตาของอีกฝ่ายไป
คนผู้นั้นคือบุรุษหนุ่มรูปร่างสง่างาม กำลังย่างก้าวผ่านมิติด้วยท่าทางสุขุมและอบอุ่นยิ่ง
สีหน้าซึ่งปราศชากความกังวลประหนึ่งนักปราชญ์ผู้ทรงภูมิกำลังมุ่งหน้าสู่เมืองหลวงเพื่อสอบจอหงวน ในมือถือไม้เรียวสีดำสนิทที่มีขนาดกว้างสามชุ่นและยาวสามฉื่อ
ทันทีที่เขาปรากฏกาย กลิ่นอายแห่งความทรงภูมิก็กำจายออกมา มันทำให้คนอื่น ๆ ต่างก็รู้สึกกริ่งเกรงต่อความเที่ยงธรรมนั้น ราวกับเป็นราชาเทวะผู้วางระเบียบของโลกขึ้นมาใหม่เพื่อนำพาสันติสุขและความสงบมาสู่แผ่นดิน
“ชิวเสวียนซู!?” เฉินซีประหลาดใจ มีหรือที่เขาจะจำไม่ได้ คนผู้นี้คือชิวเสวียนซู คนที่เคยได้พบพานเมื่อครั้งอยู่ในแดนภวังค์ทมิฬ
“คารวะอาจารย์อาห้า อาจารย์อาเล็ก” ชิวเสวียนซูเดินเข้ามาพร้อมกับคำนับ
เฉินซีตกตะลึง ไม่นานนักเสียงของหลี่ฝูเหยาก็ดังขึ้นจากด้านข้าง “เขาเป็นศิษย์ของศิษย์พี่สี่ ก่อนหน้านี้กำลังฝึกฝนอยู่ที่สำนักไพรครามซึ่งอยู่ในแดนไร้นามภายในแดนภวังค์ทมิฬ จากนั้นศิษย์พี่สี่ก็พาเขากลับมาที่นิกาย และเริ่มบ่มเพาะอยู่ในนิกายนับแต่นั้น”
ชายหนุ่มเข้าใจในทันที ‘ตอนที่ข้าได้พบกับสหายเต๋าผู้นี้เมื่อหลายปีก่อน ไหนเลยจะคิดว่าเขาจะกลายเป็นศิษย์หลานของข้า’ เสียงความคิดดังขึ้นภายในใจ
ที่น่าประหลาดใจกว่านั้นก็คือชิวเสวียนซูบรรลุขอบเขตราชันเซียนแล้ว รัศมีที่ไพศาลราวผืนสมุทรไม่ได้ด้อยไปกว่าเฉินซีเท่าไรนัก
สำหรับคนของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า แน่นอนว่าพวกเขาสับสนไม่น้อยด้วยไม่รู้ว่าหลี่ฝูเหยาและชิวเสวียนซูคือใคร
“พวกเขาเป็นใครอย่างนั้นหรือ? รัศมีน่าเกรงขามเหลือเกิน แม้จะมองดูจากที่ไกลก็ยังรู้สึกไม่อาจต้านทาน ราวกับว่าข้าเป็นเพียงมดตัวหนึ่งบนหนทางของพวกเขา” ยอดฝีมือจากภพมังกรตกตะลึงระคนสับสน
“พวกเขาเป็นผู้สืบทอดของเขาเทพพยากรณ์ หากข้าจำไม่ผิด นั่นคงจะเป็นนายท่านห้าหลี่ฝูเหยา เขาบรรลุเต๋าผ่านริ้วลายของพฤกษาพรรณ อีกทั้งยังแตกฉานในเต๋าแห่งยันต์อักขระ เป็นผู้ที่ไม่อาจหยั่งรู้ถึงความแข็งแกร่งได้โดยง่าย” โจวจื่อหลีตอบคนอื่น ๆ ด้วยเสียงที่แผ่วเบาหากเต็มไปด้วยความตกใจและความนบนอบ “ส่วนอีกคนนั้น หากข้าเดาไม่ผิด เขาเองก็น่าจะเป็นคนของเขาเทพพยากรณ์ด้วยเช่นนั้น”
คนอื่น ๆ ต่างตกใจต่อคำตอบนั้นอย่างอดไม่ได้ ใช่แล้ว เจ้าสำนักเฉินซีเองก็เป็นผู้สืบทอดจากเขาเทพพยากรณ์ด้วยเช่นกัน!
ชั่วขณะหนึ่ง บรรยากาศโดยรอบตกอยู่ภายใต้ความเงียบงัน สายตาที่จับจ้องยังเฉินซีและคนอื่น ๆ เผยซึ่งร่องรอยแห่งความยำเกรง เขาเทพพยากรณ์! ดินแดนที่ลึกลับที่สุดในบรรดาสามสุดยอดมหานิกายแห่งสามภพ!
…
ขลุก! ขลุก!
หลังจากที่ชิวเสวียนซูทักทายเฉินซีและหลี่ฝูเหยาแล้ว เขาก็สะบัดแขนเสื้อของตนเบา ๆ หัวที่ชโลมไปด้วยโลหิตจำนวนสามหัวกลิ้งตกสู่พื้นในทันที แม้จะไร้วิญญาณแล้ว หากดวงตาเหล่านั้นยังคงเบิกโพลงอย่างโกรธแค้น มันเป็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยการดิ้นรนขัดขืนต่อความตายอย่างยิ่ง
เฉินซีหรี่ตาลง “สิ่งนี้คือ…?”
“ศิษย์ชั้นสูงคนที่หก เก้า และสิบสองของนิกายอำนาจเทวะขอรับ ก่อนหน้านี้ตอนที่ท่านอาจารย์อาห้าพาข้ามา ข้าก็เห็นว่าพวกเขาตั้งใจจะใช้โอกาสในระหว่างที่พวกท่านทั้งสองติดอยู่ในแดนวิบัติทมิฬนี้เพื่อโจมตีสำนักศึกษา ด้วยเหตุนี้ข้าจึงหยุดพวกเขาเอาไว้” ชิวเสวียนซูตอบด้วยความสุภาพ “ทั้งหมดนี้เป็นเพราะอาจารย์อาห้าช่วยชี้แนะ ไม่เช่นนั้นแล้ว ด้วยความสามารถของข้า ข้าคงจะหลงกลวิชาอำพรางกายของพวกมันแล้ว”
ตอนนี้เฉินซีเข้าใจแล้วว่าเหตุใดนิกายอำนาจเทวะจึงไม่ฉวยโอกาสนี้ในการโจมตีสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ที่แท้ก็เป็นเพราะศิษย์พี่ห้าได้เตรียมการรับมือในเรื่องต่าง ๆ มาตั้งแต่ต้น โดยที่มีชิวเสวียนซูช่วยทำแทนในส่วนที่เขาทำไม่ได้ในขณะนั้น
เฉินซีรีบแสดงความขอบคุณด้วยความรวดเร็ว หากไม่ใช่เพราะการมาถึงของหลี่ฝูเหยาและชิวเสวียนซู ม่านแห่งการต่อสู้ในครานี้คงไม่ถูกกระชากลงมาโดยง่ายอย่างแน่นอน
อีกฟากหนึ่ง เมื่อทุกคนในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าได้ยินว่าศิษย์ชั้นสูงทั้งสามของนิกายอำนาจเทวะ ซึ่งดำรงอยู่ในขอบเขตราชันเซียนถูกชิวเสวียนซูสังหารไปจนสิ้น พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้าง คนของเขาเทพพยากรณ์ล้วนแต่มีฝีมือร้ายกาจจริง ๆ!
“ศิษย์น้องเล็ก ไม่จำเป็นต้องขอบคุณเลย” หลี่ฝูเหยายิ้ม พลางหันหน้าไปมองชิวเสวียนซูก่อนจะถามขึ้น “เหตุใดจึงมีเพียงสามหัว?”
“ขออภัยขอรับ เดิมทีพวกมันมีกันสิบเอ็ดคน แต่หลังจากที่ข้าจัดการสามคนนี้แล้ว จู่ ๆ พวกมันก็ล่าถอยกลับไปโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้ข้าไม่อาจหยุดยั้งพวกมันไว้ได้ทัน” น้ำเสียงของชิวเสวียนซูเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
“คงจะเป็นความคิดของอินไฮว่คง” หลี่ฝูเหยาครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง “นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า อย่างไรเจ้าก็จัดการกับพวกมันทั้งหมดด้วยตัวเจ้าเพียงลำพังไม่ได้อยู่ดี หากการต่อสู้นี้ดำเนินต่อไป เจ้าจะกลายเป็นฝ่ายตกอยู่ในอันตรายแทน”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เขาก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าทั้งสีหน้าสิ้นหวัง “ศิษย์น้องเล็ก ข้าต้องไปแล้ว” ว่าแล้วก็ส่ายหน้าน้อย ๆ
เฉินซีชะงัก เงยหน้ามองท้องฟ้า บัดนี้โซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชารอบประตูคล้ายจะสังเกตเห็นถึงบางสิ่ง พวกมันเริ่มตื่นจากการหลับใหลและดูกระตือรือร้นอย่างยิ่ง
“ศิษย์พี่ห้า” หัวใจของเฉินซีสั่นไหว
“เหลือเวลาไม่มากแล้ว ข้าได้บันทึกทุกสิ่งไว้ในแผ่นหยกนี้ ไม่ว่าเจ้าจะจัดการกับนิกายอำนาจเทวะ หรือจะมุ่งหน้าไปยังแดนโลกาวินาศ มันก็มีประโยชน์ต่อเจ้าทั้งสองทาง” หลี่ฝูเหยาตบไหล่ของเฉินซีทั้งรอยยิ้ม ก่อนจะกลายเป็นลำแสงที่ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า
“ศิษย์น้องเล็ก ศิษย์หลานเสวียนซู รักษาตัวด้วย!” เหนือท้องฟ้าขึ้นไป เสียงหัวเราะอันอบอุ่นและร่าเริงของหลี่ฝูเหยาดังกังวาน ท่ามกลายสายตาของผู้คนทั้งหลาย เขาเป็นเพียงลำแสงเจิดจ้าหนึ่งที่พุ่งชนประตูบนท้องฟ้าด้วยความรวดเร็ว
ตึง!
โซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาที่อยู่โดยรอบประตูพลันตระหนก ยังไม่ทันที่พวกมันจะได้ลงมือใด ๆ ร่างของหลี่ฝูเหยาก็หายไปที่หลังประตูแล้ว