บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1504 แดนวิบัติทมิฬ
บทที่ 1504 แดนวิบัติทมิฬ
……………………………………………………………………..
บทที่ 1504 แดนวิบัติทมิฬ
ตาข่ายครอบคลุมสวรรค์ลงมาจากฟากฟ้า เจี้ยงไท่จงที่มีใบหน้าเหี้ยมหมายสู้สุดชีวิต
เฉินซีถือยันต์ศัสตราไว้ในมือ เข้าโจมตีเจี้ยงไท่จงจากด้านข้าง
จู่ ๆ มือขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้น กรีดผ่านข้อจำกัดศักดิ์สิทธิ์และคว้าจังหวะสังหารเฉินซีไว้ได้
ทันใดนั้น เหตุการณ์สามอย่างก็ปรากฏขึ้นพร้อมกัน ตั๊กแตนจับจักจั่น ไม่ทันระวังนกขมิ้นด้านหลัง มันเกิดขึ้นรวดเร็วมากจนทำให้ทุกคนตื่นตะลึง
ผลลัพธ์สุดท้ายคล้ายว่าเฉินซีคงเอาชีวิตไม่รอด แต่ในจังหวะเป็นตายนั้นเอง ก็มีใบไม้สีเขียวขจีร่วงลงมา ก่อนมันจะเคลื่อนตัววาดโค้งเข้าสกัดฝ่ามือยักษ์ไว้ได้
จังหวะนั้นเหมือนเวลาหน่วงลง ห้วงอากาศถูกแช่แข็ง ทุกการเคลื่อนไหวเชื่องช้าลงไปอย่างนั้น
เห็นได้ชัดว่าใบไม้ใบนี้มีรูปร่างเป็นทรงกลมเกลี้ยง ทั้งยังมีสีเขียวขจีและพื้นผิวเต็มไปด้วยเส้นโลหิต มันคือผลงานแห่งธรรมชาติ เปล่งประกายเจิดจ้า และเต็มไปด้วยกลิ่นอายลึกลับไม่อาจอธิบายได้
ทันทีที่มันปรากฏตัวขึ้นมา ปราณร้ายที่โอบล้อมร่างเฉินซีไว้ก็หายไปไม่เหลือร่องรอย ทำให้เฉินซีที่เดิมทีตึงเครียดอยู่มากผ่อนคลายลงได้อย่างรวดเร็ว นัยน์ตาฉายแววประหลาดใจออกมา
และในจังหวะเดียวกันนั้น ฝ่ามือเรียวที่กำลังกรีดผ่านฟ้ามาก็ทำท่าจะหยุดเคลื่อนไหว เหมือนสัมผัสอันตรายบางอย่างได้และยั้งมือเอาไว้กลางอากาศ ก่อนจะหดกลับไปเหมือนถูกของร้อน!
แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว ใบไม้เขียวคล้ายกับมีดวงตา มันเคลื่อนเข้าและโปรยลงมาอย่างแผ่วเบาเหมือนกลีบบุปผาร่วงหล่นลงฝ่ามือ….
ตู้ม!
พริบตาที่มันสัมผัสกับฝ่ามือนั้น แสงสีเขียวจัดก็แผ่ออก เผยให้เห็นผังอักขระยันต์อันลึกล้ำสนั่นครืนซัดลงมา
ทันใดนั้น มือยักษ์ดั่งโดนสายฟ้าฟาด เกิดรอยแตกลึกถึงกระดูกขึ้นบนผิวเนื้อนั่น เลือดสีทองพุ่งออกมาจนทั่วฟ้า
อึก!
เฉินซีอ้าปากค้าง เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นตรงหน้าอย่างชัดเจน มองคราเดียวก็รู้ได้ว่าผังอักขระยันต์ศักดิ์สิทธิ์อันลึกล้ำหนึ่งที่ลอยออกมาจากใบไม้ใบนั้น!
หรือว่าเป็นศิษย์พี่จากเขาเทพพยากรณ์?
เป็นไปไม่ได้หรอก ตอนนี้ความวิบัติกระจายตัวทั่วสามภพ ทวยเทพได้หายไปหมดสิ้นศิษย์พี่ชายและหญิงในเขาเทพพยากรณ์มุ่งหน้าไปแดนโลกาวินาศตั้งนานแล้ว จะยังเหลือศิษย์ในสามภพได้อีกหรือไร?
“ใบกฤษณาศักดิ์สิทธิ์! หลี่ฝูเหยา! เจ้าไม่ได้ถูกพาตัวไปนี่!” ทันใดนั้น เสียงร้องตกตะลึงปนโกรธเกรี้ยวก็ดังขึ้น มันเป็นน้ำเสียงแหบแห้งฟังดูเหมือนสตรีที่ดังก้องขึ้นทั่วฟ้าดิน
หลี่ฝูเหยา!
ศิษย์พี่ห้า!
เฉินซีตกตะลึงยิ่ง เขาพลันนึกถึงศิษย์พี่หญิงหลียางที่เคยพูดไว้ว่า ในหมู่ศิษย์แห่งเขาเทพพยากรณ์ มีเพียงศิษย์พี่ห้าเท่านั้นที่บ่มเพาะจนถึงขอบเขตราชันเซียนและยั้งไว้เพียงเท่านั้นด้วยสาเหตุบางอย่าง เช่นนี้แล้วศิษย์พี่ หลี่ฝูเหยาจึงยังสามารถอยู่ภายในสามภพได้!
และแน่นอนว่าตอนนี้ก็พลันได้ยินน้ำเสียงอบอุ่นใสกระจ่างดังขึ้น “ตอนนี้ข้ายังไม่ถึงขอบเขตเทวาเลย แล้วทำไมข้าจะต้องไปด้วย? แต่เจ้า อินไฮว่คง ถึงขอบเขตเทวามาตั้งนานแล้ว แต่เจ้ากลับทิ้งร่างของตน ใช้วิชากดพลังบ่มเพาะไว้ที่ขอบเขตราชันเซียน ไม่ใช่ที่เจ้าว่าจะยอมทำตามเต๋าสวรรค์เลย”
ระหว่างที่พูด ข้อจำกัดศักดิ์สิทธิ์ที่เฉินซีสร้างขึ้นก็พังทลายกลายเป็นฝนแสงโปรยลงมา
แต่เฉินซีก็ต้องตกใจว่าตอนนี้เขาไม่ได้ยืนอยู่ภายนอกสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าแล้ว กลับมายืนอยู่ในโลกพิศวงแห่งหนึ่งแทน!
ที่นี่เต็มไปด้วยความมืดมิดและความรกร้างว่างเปล่า เหมือนจักรวาลที่ไร้ดวงดาวไม่เห็นสิ่งใด มีเพียงความเงียบสงัด
จึงทำให้เฉินซีตกใจมาก เขารู้ทันทีว่าตนเองคงตกหลุมพรางนิกายอำนาจเทวะเข้าโดยไม่ทันรู้ตัวและ คงจะถูกเคลื่อนมิติมายังดินแดนเร้นลับหรือภายในสมบัติประหลาดบางอย่างเข้า!
ยกตัวอย่างเช่นจานข่ายหมื่นดาราของเหมิงซิงเหอเองก็มีโลกภายในอยู่ในตัวสมบัติ สามารถดึงศัตรูเข้าไปภายในได้
จากนั้นเฉินซีก็สังเกตเห็นว่ามีเงาร่างหนึ่งยืนอยู่ไกล ๆ ร่างนั้นสวมหมวกไว้ ทั่วร่างถูกปกคลุมด้วยชุดคลุมสีดำ ทำให้ไม่อาจเห็นรูปลักษณ์ได้ชัดเจน
กลิ่นอายขู่ขวัญแผ่ออกทั่วร่างเหมือนหุบเหวมืด จุดที่ร่างนั้นยืนอยู่เต็มไปด้วยราตรีนิรันดร์ เมฆาครึ้มกระจายตัวไปรอบ ๆ คละคลุ้งกลิ่นอายวิบัติ หากมองจากไกล ๆ แล้ว เขาเหมือนราชันเหนือใคร น่าเกรงขามยิ่ง
“ศิษย์น้องเล็ก เขาคืออินไฮว่คง อันดับหนึ่งในเจ็ดศิษย์ชั้นยอดแห่งนิกายอำนาจเทวะ ขึ้นขอบเขตเทวามาเมื่อหลายพันปีก่อน ตอนนี้ใช้วิชาลับบางอย่างกดพลังไว้เพื่อให้เผยว่าตนอยู่ขอบเขตราชันเซียน” น้ำเสียงอบอุ่นดังขึ้นที่ข้างหูเฉินซีอีกครั้ง เขาเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งอยู่ข้างกาย กำลังส่งยิ้มมาให้
ชายหนุ่มสวมหมวกทรงสูง อยู่ในชุดโบราณ มีท่าทางสง่างามยิ่ง ถึงจะหน้าตาดูไม่โดดเด่น แต่นัยน์ตากลับส่องประกายดั่งดารา มุมปากเจือรอยยิ้ม และแม้จะไร้แสงศักดิ์สิทธิ์ใดคุ้มกาย แต่ตอนที่อยู่เช่นนั้นก็มีท่าทางสง่างามดั่งขุนเขา ดูสงบเยือกเย็นยิ่ง ราวกับว่าแม้ฟ้าจะถล่มก็ไม่อาจทำลายขุนเขานี้ลงได้
เขาคือนายท่านห้าแห่งเขาเทพพยากรณ์ หลี่ฝูเหยา!
“ศิษย์พี่ห้า” เฉินซีป้องมือเคารพ ในใจเกิดความอบอุ่นขึ้นมา ในจังหวะเสี่ยงตายเช่นนี้ ก็ยังเป็นศิษย์พี่เขาเทพพยากรณ์ที่คอยช่วยเหลือ ทำให้เขารู้สึกยินดีไม่น้อย
ระหว่างนั้นชายหนุ่มก็เห็นว่าเจี้ยงไท่จงถูกตาข่ายครอบคลุมสวรรค์กักไว้จนหมดท่า นอนราบอยู่ด้านข้างหลี่ฝูเหยา ทั้งนัยน์ตาเจี้ยงไท่จงยังปิดสนิท เฉินซีไม่รู้เลยว่าเขาตายหรือยัง
“ไม่ต้องมากพิธีหรอก ศิษย์น้องหญิงเล็กเล่าทุกอย่างให้ฟังก่อนนางไปแล้ว” หลี่ฝูเหยายิ้มอบอุ่นให้เหมือนลมอบอุ่นพัดผ่านร่าง ทำให้เฉินซีเกิดความรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมกับหลี่ฝูเหยาขึ้นมา หลี่ฝูเหยาให้ความรู้สึกสงบสุขแก่ผู้คนเช่นนี้
“หึ! เจ้าเองก็ไม่ต่างไม่ใช่หรือ หลี่ฝูเหยา? พอขึ้นขอบเขตเทวาก็ต้องกลับชาติมาเกิดแล้วบ่มเพาะพลังใหม่ โง่เง่าสิ้นดี! ตอนนี้เจ้าคงไร้โอกาสเข้าแดนเทพโบราณแล้ว!” อินไฮว่คงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่าคล้ายสตรี ทั่วร่างคือหมอกมืดลอยคว้าง เหมือนราชาแห่งความมืดก็มิปาน
“ข้าต่างจากเจ้า เต๋าสวรรค์แห่งสามภพมองข้าเป็นเหมือนกบฏไม่ยอมคน แต่เจ้า… เป็นแค่สุนัขที่ถูกเต๋าสวรรค์จูงไปมาเท่านั้น ตอนนี้กลับทำเป็นกดพลังบ่มเพาะ ไม่ยอมไปแดนโลกาวินาศ ก็ไม่ต่างจากการขัดเจตจำนงแห่งเต๋าสวรรค์หรอก ถือว่าไร้ความเคารพยิ่ง” หลี่ฝูเหยาเอ่ยขึ้นช้า ๆ ด้วยสองมือไพล่หลัง นัยน์ตามีประกายเจิดจ้ายามมองอินไฮว่คง อีกทั้งน้ำเสียงสงบกระจ่างใสและอบอุ่นนั้น ยามพูดยังเหมือนมีดที่แทงลงกลางใจ
“หึ! เจ้าจะตายอยู่แล้ว ข้าไม่คิดอะไรมากนักหรอก แดนวิบัติทมิฬแห่งนี้สร้างจากแก่นสสารแห่งโลหิตของสิบสองราชันเซียน เดิมทีข้าคิดใช้มันทำลายสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ตอนนี้ใช้มันเป็นหลุมฝังพวกเจ้าศิษย์พี่ศิษย์น้องเลยก็แล้วกัน ถือว่าให้พวกเจ้าได้ตายดีแล้ว” อินไฮว่คงเอ่ยเสียงเย็น แต่ไม่ได้ดูโกรธอะไร คล้ายว่ามีแผนการในใจแล้ว
สิ้นคำนั้น ใจเฉินซีพลันสั่นสะท้าน ในที่สุดก็เข้าใจว่าเหตุใดนิกายอำนาจเทวะไม่เคยเผยกายตอนกำจัดราชันเซียนพวกนั้นเลย ก็เพราะคิดใช้เขาเป็นหมาก สังหารราชันเซียนพวกนั้นเพื่อสร้างแดนวิบัติทมิฬโดยใช้แก่นสสารแห่งโลหิตของราชันเซียนนั่นเอง!
เฉินซีรู้แล้วก็สันหลังเย็นวาบ เขาคาดการณ์แผนนี้ไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะวางแผนเช่นนี้ไว้ แล้วมั่นใจได้อย่างไรว่าเขาจะกำจัดราชันเซียนพวกนั้นได้จริง ๆ!
“ศิษย์น้องเล็กไม่ต้องห่วง ไม่ว่าเจ้าจะสามารถกำจัดราชันเซียนพวกนั้นได้หรือไม่ อย่างไรชะตาพวกมันก็ต้องขาด นิกายอำนาจเทวะไม่เคยเห็นพวกมันเป็นพวกเดียวกันอยู่แล้ว” หลี่ฝูเหยาเอ่ยเสียงอบอุ่นข้างกายเฉินซี พลางอธิบายเรื่องราวให้
“ส่วนเรื่องแดนวิบัติทมิฬ จริง ๆ แล้วไม่ได้ยากเย็นอะไร ข้อจำกัดนั้นถูกใส่ไว้ในร่างสิบสองราชันเซียนที่ไปเข้าพวกนิกายอำนาจเทวะอยู่แล้ว พอตายไป แก่นสสารแห่งโลหิตในร่างก็จะเปิดใช้ข้อจำกัดและกลั่นขึ้นเป็นแดนวิบัติทมิฬนี้ เป็นเล่ห์ที่นิกายอำนาจเทวะมักใช้มาตลอด ไม่ใช่แผนลึกซึ้งอะไร”
เมื่อรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว เฉินซีจึงเข้าใจแจ่มแจ้ง อดรู้สึกสมเพชเจี้ยงไท่จงและเหล่าราชันเซียนไม่ได้ ตอนที่ไปเข้ากับพวกนิกายอำนาจเทวะ จะคิดบ้างหรือไม่ว่าวันนี้จะมาถึง?
ครืน!
ทันใดนั้น ลมและสายฟ้าก็เริ่มซัดอย่างคลั่งภายในความมืดสนิท ก่อนจะกลายเป็นวิญญาณเทพดุร้ายปรากฎตัวขึ้นรอบกายจำนวนนับไม่ถ้วน
“หลี่ฝูเหยา! เฉินซี! ลาขาดล่ะ!” อินไฮว่คงเอ่ยเสียงเย็น เขาสะบัดแขนเสื้อสีดำแล้ว ก็แปลงร่างเป็นเทพปีศาจที่คุมโลก และกุมชีวิตเป็นตายของผู้อื่นไว้ได้
เสียงนั้นยังไม่ทันสิ้นคำดี เทพดุร้ายที่อยู่กันเต็มฟ้าก็ซัดพลังแหวกฟ้าลงมา โจมตีใส่เฉินซีและหลี่ฝูเหยาด้วยพลังเคล้าความวิบัติ
“อินไฮว่คง ข้าลืมบอกไปว่าข้าเข้าใจหนทางการกลายเป็นเทพได้แล้วหลังออกจากสำนักไป หากเจ้าเต็มใจ ข้าก็พร้อมพาเจ้าไปแดนโลกาวินาศด้วยกัน!” หลี่ฝูเหยายิ้มไม่สนใจสิ่งรอบกาย เสื้อผ้าเขาพลิ้วไสว ทั่วร่างคือกลิ่นอายลึกลับน่าเกรงขามที่แผ่ออกทั่วทิศ
ซู่! ซู่!
ใบไม้ทั้งหลายมีผังอักขระยันต์ศักดิ์สิทธิ์อันลึกลับอยู่ มันซัดลงมาทุกทิศ ก่อนจะแตกสลายและทำลายเทพดุร้ายที่ปกคลุมกันทั่วฟ้าจนสิ้น
ถึงขั้นที่ท้องฟ้าสีดำมืดถูกกรีดแยก คล้ายว่าฟ้าใกล้จะถล่มเต็มทน!
เฉินซีร้องชื่นชมในใจไม่หยุด เดิมทีเขารู้สึกว่าตนขึ้นขอบเขตราชันเซียนก็เก่งแล้ว แต่ไม่ว่าจะนำไปเทียบกับอินไฮว่คงหรือหลี่ฝูเหยา ตัวเขากลับมีพลังน้อยกว่ามาก
ที่ยังต่างชั้นคือการควบคุมพลังและความเข้าใจในพลังทวยเทพ!
แม้ตัวเขาจะห่างจากขั้นนี้อีกไม่มาก แต่แค่ระยะเพียงเล็กน้อยกลับเป็นตัวตัดสินความต่างขั้นพลังได้แล้ว
จริง ๆ แล้วเขารู้ดีว่าอินไฮว่คงอยู่ขอบเขตเทวาส่วนศิษย์พี่ห้าของเขาก็กลับมาเกิดใหม่เพื่อบ่มเพาะพลังอีกครั้ง ทั้งสองจึงเหนือกว่าเขาในเรื่องความเข้าใจเต๋าศักดิ์สิทธิ์
พูดโดยง่ายก็คือ หลี่ฝูเหยาและอินไฮว่คงได้ก้าวขึ้นสู่เส้นทางแห่งเต๋าศักดิ์สิทธิ์แล้ว ส่วนเฉินซียังไม่ถึงขั้นนั้น
“พลังทวยเทพ! เป็นไปได้อย่างไร!? เจ้าเพิ่งกลับชาติมาเกิดใหม่ได้สามร้อยปี แล้วจะเข้าใจมหาเต๋าของเหล่าทวยเทพได้อีกครั้งทั้งที่ใช้เวลาเพียงเท่านี้!?” อินไฮว่คงอึ้งไปเล็กน้อย เปล่งเสียงโกรธผสมตกตะลึงที่หาได้ยากออกมา ทั้งยังเจือแววเหลือเชื่อเอาไว้ด้วย
“เจ้าทำไม่ได้ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นทำไม่ได้ อีกทั้งตัวเจ้า อินไฮว่คง ยังไม่มีความสามารถมาเทียบกับข้า หลี่ฝูเหยา ได้ด้วยซ้ำ เพราะยิ่งเอามาเทียบก็ยิ่งเทียบไม่ติดจนเจ้าได้แต่สิ้นหวัง” หลี่ฝูเหยาพูดไปยิ้มไป มันเป็นน้ำเสียงที่ใสกระจ่างและอบอุ่นดังเคย อีกทั้งยังไร้แววดุดันบีบคั้นใด ๆ เหมือนกำลังพูดความจริงข้อหนึ่งอยู่อย่างไรก็อย่างนั้น
แต่ก็เป็นเพราะเช่นนั้นจึงทำให้หมอกมืดรอบกายอินไฮว่คงยิ่งพลุ่งพล่าน เหมือนกำลังโกรธจัด