บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1499 เจตนารมณ์ต่อสู้ที่พลุ่งพล่าน
บทที่ 1499 เจตนารมณ์ต่อสู้ที่พลุ่งพล่าน
……………………………………………………………………..
บทที่ 1499 เจตนารมณ์ต่อสู้ที่พลุ่งพล่าน
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเร็วเกินไป ภายในเสี้ยวลมหายใจนับตั้งแต่การต่อสู้เริ่มต้นขึ้น เฉินซีได้ดักจับเจี้ยงไท่จงด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ทำให้ฝ่ายตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตราย นี่เป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายของทุกคนมาก
มู่หรงเทียนและคนอื่น ๆ รู้สึกตกใจและไม่อยากจะเชื่อสายตาของตน
ในทางกลับกัน กองกำลังที่ติดตามเจี้ยงไท่จงเหล่านั้นไปนั้นตกตะลึงยิ่งกว่า พวกเขาก็ไม่อยากจะเชื่อสายตาเช่นกัน เฉินซีจะน่ากลัวขนาดนี้ได้อย่างไรกัน
เฉินซีเพิ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตราชันเซียน และยังไม่สามารถพึ่งพาพลังชะตากรรมภายในตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋าได้ ดังนั้นเขาจะจัดการเจี้ยงไท่จงอย่างง่ายดายในคราวเดียวได้อย่างไร?
ท้ายที่สุดแล้ว ในฐานะผู้เฒ่าแห่งตระกูลเจี้ยง เจี้ยงไท่จงก็อยู่ขอบเขตราชันเซียนมาหลายปีแล้ว และเขายังเป็นราชันเซียนระดับสูงที่หลอมรวมกฎปราชญ์เต๋าของตัวเองเข้ากับกฎสูงสุดทั้งสาม ทั้งยังเริ่มศึกษามหาเต๋าแห่งราชันเซียนที่สมบูรณ์ และควบแน่นแก่นเต๋าบรรพกาลขึ้นแล้ว
ตัวตนดังกล่าวเพียงพอที่จะบดขยี้ผู้เยี่ยมยุทธ์อย่าง ราชันเซียนดาราวีรบุรุษ ราชันเซียนรัตติกาล ราชันเซียนวิถีลึกล้ำ และราชันเซียนนภาเหมันต์ที่มีชื่อเสียงอย่างมากในภพเซียน!
แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้…
ใครจะกล้าเชื่อในสายตาตัวเองบ้าง?
แกรก!
ในช่วงเวลาวิกฤตนี้ ทันใดนั้นกระดองเต่าสีดำชิ้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของเจี้ยงไท่จง มันเปล่งแสงสีดำเจิดจ้าอย่างยิ่ง ห่อหุ้มร่างกายและช่วยสกัดกั้นฝนปราณกระบี่ที่ปกคลุมท้องฟ้าไว้
อย่างไรก็ตาม พร้อมกับเสียงแตกที่ดังก้อง รอยร้าวก็ปรากฏขึ้นบนกระดองเต่าสีดำทันที และจากนั้นมันก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ก่อนที่จะระเบิดออกเป็นชิ้น ๆ
“เกราะทมิฬผลัดใบของข้า!” เมื่อเจี้ยงไท่จงที่รอดพ้นจากความตาย เห็นสมบัติของตนถูกทำลายอีกครั้ง ใบหน้าทั้งเศร้าหมองและโกรธเคือง ก่อนจะคำรามขึ้นฟ้าด้วยความโกรธ
ควับ!
เฉินซีจับจ้องอีกฝ่าย ในขณะที่เหวี่ยงกระบี่และโจมตีอีกครั้ง แสงดาบกะพริบปรากฏอักขระยันต์กวาดไปทุกทิศทาง
คราวนี้ ราชันเซียนคนอื่น ๆ หยุดเฝ้าดู และลงมือโจมตีไปพร้อมกับเจี้ยงไท่จง พวกเขาใช้สมบัติอมตะต่าง ๆ ใช้ทักษะลับและทักษะระดับสูงโจมตีเฉินซีจากทุกทิศทุกทาง
จู่ ๆ สายลมก็เริ่มพัดโหมกระหน่ำอย่างรุนแรง พายุคะนองพร้อมเสียงฟ้าร้อง ฟ้าผ่าดังก้อง ห้วงเวลาและมิติพังทลายลง ปรากฏการณ์แปลกประหลาดทุกรูปแบบเกิดขึ้นทั่วบริเวณ ราชันเซียนทั้งหมดได้ลงมือโจมตี และทำให้เกิดเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวจนโลกตกตะลึง
เมื่อเห็นเช่นนั้น ดวงตาของมู่หรงเทียน เสิ่นฮ่าวเทียน เซวียนหยวนพัวจวิน และคนอื่น ๆ ก็หรี่ลง พวกเขารู้สึกกังวลใจอย่างมาก และต้องการที่จะเข้าไปช่วยเหลือเฉินซี
ท้ายที่สุดแล้ว เฉินซีก็ต้องเผชิญกับสิบสองราชันเซียน ส่วนเขานั้นเพิ่งจะได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตราชันเซียน ยิ่งไปกว่านั้น หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากพลังชะตากรรมภายในตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋า แล้วชายหนุ่มจะต่อต้านคนเหล่านี้ได้อย่างไร?
“ทุกคนใจเย็นก่อน แล้วคอยดูข้าสังหารสุนัขเฒ่าเหล่านี้เถอะ!” อย่างไรก็ตาม ก่อนที่คนอื่น ๆ จะทันได้เคลื่อนไหว เสียงที่เย็นชาและแฝงจิตสังหารของเฉินซี ก็ดังก้องในหู ทำให้พวกเขาชะงักไปเล็กน้อย
ไม่ใช่แค่พวกเขาที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ แต่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็ได้ยินเช่นกัน บางคนไม่เชื่อ บางคนกังวลและสงสัย บางคนดูถูก บางคนหัวเราะเยาะเย้ย และอีกหลากหลายการตอบสนอง
แต่ในไม่ช้า ทุกคนก็ไม่สนใจที่จะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก ความสนใจทั้งหมดถูกดึงไปอยู่ที่การต่อสู้ตรงหน้าแทน
บนท้องฟ้า เฉินซีถือยันต์ศัสตราไว้ในมือ ก่อนจะหายตัวไปกลางอากาศแล้วเข้าปะทะกับราชันเซียนทั้งสิบสอง ร่างสูงใหญ่กะพริบวูบวาบอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน ไม่เพียงไม่ถูกปราบปรามเท่านั้น เฉินซียังแสดงให้เห็นถึงสถานการณ์ที่เหนือกว่าอยู่ราง ๆ อีกด้วย!
สิ่งนี้ทำให้ผู้คนรอบข้างตกตะลึงและตื่นตระหนก ราชันเซียนทั้งสิบสองผนึกกำลังโจมตีร่วมกัน แต่กลับไม่สามารถทำอะไรกับคนผู้นี้ได้เลย?
นี่เป็นเรื่องน่าประหลาดใจมาก เพราะเฉินซีเองก็เพิ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตราชันเซียน ทั้งที่ยังอายุไม่เท่าไหร่ ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะสามารถทำสิ่งนี้ให้สำเร็จได้จริง โดยไม่ได้พึ่งพลังชะตากรรมของตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋าเลย
ตัวตนท้าทายสวรรค์ของภพเซียน อัจฉริยะผู้ไม่มีใครเทียบได้ สัตว์ประหลาดที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัวจนตายได้ ทั้งที่เพิ่งจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตราชันเซียน แต่กลับกำลังต่อสู้กับกลุ่มราชันเซียนอาวุโสได้อย่างทัดเทียม จนทำให้ทุกคนต้องตกตะลึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองกำลังที่มาที่นี่พร้อมกับเจี้ยงไท่จง พวกเขาต่างหวาดกลัวและประหลาดใจในเวลาเดียวกัน
พรึ่บ!
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ปราณกระบี่เส้นหนึ่งก็พุ่งผ่านไป ตัดเฉือนผมสีดำของเจี้ยงไท่จง และเฉียดห่างจากลำคอไปเพียงเล็กน้อย เจี้ยงไท่จงหน้าซีดด้วยความตกใจและรีบถอยหลบเลี่ยงอย่างลนลาน
ผู้ชมต้องตกใจกันอีกครั้งเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้
“เกิดอะไรขึ้น? ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของเฉินซี ไม่ท้าทายสวรรค์เกินไปหรือ? เขาเพิ่งจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตราชันเซียนมิใช่หรือ?”
“อย่าลืมว่า เมื่อยามเขาเป็นเพียงราชันเซียนครึ่งขั้น เขาก็สามารถใช้พลังชะตากรรมในตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋า สังหารราชันเซียนไปได้แล้ว เด็กคนนี้รับมือได้ยาก จนไม่สามารถเทียบได้กับราชันเซียนทั่วไปเลย”
กองกำลังทั้งหมดที่ร่วมมือกับนิกายอำนาจเทวะ พากันวิตกกังวลและสับสนจนมีสีหน้าที่ดูน่าเกลียด
“เจ้าสารเลว! ตายซะ!” ชายชราคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว ราวกับเทพแห่งวารีที่ควบคุมขวดหยกสีน้ำเงินเข้ม เทน้ำสีดำลึกลับจำนวนมากมาย ไหลกวาดไปทั่วราวกับทางช้างเผือกด้วยความตั้งใจที่จะบดขยี้เฉินซี
“สุนัขเฒ่า เจ้าคู่ควรที่จะพูดจาโอ้อวดใหญ่โตเช่นนั้นแล้วหรือ?” เฉินซีใช้กระบี่ปัดป้องการโจมตีอื่น ๆ ออกไป จากนั้นก็จับจ้องไปที่ชายชราด้วยจิตสังหารทันที ในเวลาเดียวกัน โลกก็เกิดความโกลาหลขึ้น ยันต์ศัสตราเปล่งประกาย ปลดปล่อยอักขระยันต์จำนวนนับไม่ถ้วนออกมา ก่อนจะฟาดฟันออกไปอย่างดุร้าย
ทันทีที่ปราณกระบี่กวาดออกไป สีของจักรวาลก็แปรเปลี่ยน กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวกดข่มสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในเมืองเซียนสัประยุทธ์ จนตัวสั่นและแทบจะคุกเข่าลงบนพื้น
โครม!
ปราณกระบี่ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า บดขยี้ข้อจำกัดของเวลาและมิติ ในขณะที่ส่งเสียงคำรามและพุ่งออกไป
ฟุ่บ!
และสะบั้นแขนขวาของชายชราทิ้ง!
เลือดสีทองพร่างพราวพุ่งกระจายไปทั่วท้องฟ้า ชายชราส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ไม่คาดคิดเลยว่าตนจะได้รับบาดเจ็บด้วยฝีมือของคนหนุ่ม แม้ว่าพวกเขาจะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ก็ตาม
ราชันเซียนคนอื่น ๆ ที่กำลังปิดล้อมเฉินซีก็ตกตะลึงเช่นกัน สีหน้าของพวกเขามืดมนและเคร่งเครียด จากการต่อสู้กับเฉินซีมาจนถึงตอนนี้ พวกเขาตระหนักแล้วว่า ถึงตัวบัดซบที่อยู่ตรงหน้าจะเพิ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตราชันเซียน และไม่ได้พึ่งพาพลังชะตากรรมภายในตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋า ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ก็ยังสูงพอที่จะถูกจัดอันดับให้อยู่ในตำแหน่งสูงสุดของขอบเขตราชันเซียน!
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ความแข็งแกร่งปัจจุบันของเฉินซีได้ถึงจุดสูงสุดที่ขอบเขตราชันเซียนสามารถบรรลุได้แล้ว เช่นนี้พวกเขาจะกล้าประมาทเมื่อเผชิญหน้ากับชายหนุ่มได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้น นี่คือคนที่เพิ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตราชันเซียน แต่กลับมีความแข็งแกร่งระดับสูงเช่นนี้แล้ว นี่แสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่า หากเขาได้รับเวลาในการฝึกฝนไปอีกสักระยะหนึ่ง ในสามภพนี้คงไม่มีใครสามารถปราบเขาลงได้!
“ฆ่า! ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม วันนี้เราก็ต้องฆ่าสัตว์ร้ายตนนี้ให้ได้ ไม่เช่นนั้นในอนาคตข้างหน้า มันจะกลายเป็นหายนะสำหรับเราอย่างแน่นอน!” เจี้ยงไท่จงคำรามอย่างเกรี้ยวกราด ใช้พละกำลังทั้งหมด ดึงสมบัติวิญญาณประดิษฐ์ที่อบอวลไปด้วยรัศมีศักดิ์สิทธิ์ออกมา มันเป็นดาบสีขาวซีดที่บางราวกับปีกของจักจั่น นามว่า ประกายสีเงิน ออกมาและฟันไปที่หัวของเฉินซี
โอม!
เกือบจะในเวลาเดียวกัน บนร่างของเฉินซี ชามใบน้อยลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า แสงสีขาวศักดิ์สิทธิ์เปล่งประกายราวกับความฝัน ปะทะกับประกายสีเงิน
“ชามคลื่นน้ำแข็ง!” เจี้ยงไท่จงโกรธมาก เขาจำชามนี้ได้ดี มันมาจากศิษย์น้องในตระกูลเจี้ยง เห็นได้ชัดว่าเฉินซีได้รับสมบัติชิ้นนี้หลังจากสังหารเจี้ยงทิงฟาง
ชายหนุ่มยังคงเมินเฉยและไม่สนใจเจี้ยงไท่จง มุ่งเป้าไปที่ชายชราที่แขนขาด และไล่ตามไปอย่างไม่ลดละ
แม้จะถูกล้อม แต่อีกฝ่ายก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้ ยิ่งไปกว่านั้น ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ที่เขาเปิดเผยออกไป ทำให้ราชันเซียนเหล่านั้นรู้สึกหวาดกลัวและโกรธเคือง ยิ่งต่อสู้มากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งหวาดกลัวมากขึ้นเท่านั้น
เด็กคนนี้ช่างท้าทายสวรรค์จริง ๆ! หากไม่ถูกกำจัดในวันนี้ ก็จะไม่มีใครในสามภพสามารถปราบเขาได้!
ในยามนี้ พวกเขาไม่กล้าที่จะลังเลอีกต่อไป และหันไปใช้ทุกวิถีทางที่เป็นไปได้เพื่อล้อมจับและสังหารเฉินซีด้วยกำลังทั้งหมด การโจมตีทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้ทั้งโลกตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายราวกับล่มสลาย
ชั่วขณะหนึ่ง สมบัติอมตะคำรามดังกึกก้อง สว่างจ้าราวกับดวงอาทิตย์ที่แผดเผา ความผันผวนที่น่าสะพรึงกลัวของการต่อสู้นั้นเหมือนกับพายุที่ทรงพลังจากสวรรค์ มันส่งเสียงหวีดหวิวและโหมกระหน่ำไปทุกทิศทาง ฉีกเวลาและมิติออกจากกันในขณะที่พัดผ่านไป เมืองเซียนสัประยุทธ์ถูกทำลายล้างไปมากกว่าครึ่งหนึ่งโดยไม่มีใครคาดคิด!
ท้ายที่สุดแล้ว เมืองเซียนสัประยุทธ์ก็ครอบคลุมพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาล เหมือนกับโลกใบใหญ่ และตอนนี้มากกว่าครึ่งหนึ่งนั้นได้ถูกทำลายไปแล้ว นี่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสถานการณ์ปัจจุบันน่ากลัวเพียงใด
โชคดีที่ชาวเมืองสังเกตเห็นบางอย่างผิดปกติและหลบหนีไปกันแล้ว ทำให้พวกเขาหลีกเลี่ยงโอกาสที่จะถูกปล้นและฆ่าไปได้
“เราควรลงมือช่วยเหลือเขาหรือไม่?” ภายในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า เสิ่นฮ่าวเทียนดูเป็นกังวล เนื่องจากสถานการณ์การต่อสู้มาถึงจุดสูงสุดแล้ว มันน่ากลัวอย่างยิ่ง จนอดไม่ได้ที่จะกังวลเกี่ยวกับเฉินซี
“ไม่จำเป็น แค่ทำตามคำแนะนำของเจ้าสำนักก็พอ” มู่หรงเทียนส่ายหัวด้วยท่าทีสงบ แต่ในไม่ช้า เขาก็สัมผัสได้ถึงแววตาไม่พอใจหลายคู่ ทำให้ตระหนักได้ทันทีว่าคนอื่นกำลังเข้าใจผิด จึงรีบเอ่ย
“ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากลงมือ แต่ความจริงก็คือ สถานการณ์ตอนนี้ยังไม่มีอันตรายถึงชีวิต นอกจากนี้ ตามความเห็นของข้า เจ้าสำนักได้เตรียมการเช่นนี้ไว้ ก็เพื่อให้เราใส่ใจกับสถานการณ์โดยรวม เพื่อป้องกันไม่ให้นิกายอำนาจเทวะคว้าโอกาสนี้ลงมือได้”
นิกายอำนาจเทวะ!
หัวใจของทุกคนสั่นไหวและสงบลงอย่างรวดเร็ว ใช่แล้ว ผู้คนที่ต่อสู้ต่อหน้าพวกเขาเป็นเพียงกลุ่มกองกำลังที่ร่วมมือกับนิกายอำนาจเทวะเท่านั้น ส่วนผู้เยี่ยมยุทธ์ที่แท้จริงของนิกายอำนาจเทวะนั้นยังไม่ได้แสดงตัวออกมาแม้แต่คนเดียว!
เมื่อพวกเขาตระหนักถึงสิ่งนี้ ก็ตื่นตัวและเริ่มระมัดระวังอย่างจริงจัง ไม่เพียงเพื่อปกป้องเฉินซี แต่ยังเพื่อป้องกันไม่ให้นิกายอำนาจเทวะฉวยโอกาสด้วย
…
ในระหว่างการต่อสู้ ความกดดันของเฉินซีนั้นเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่เขาก็ไม่ได้หวาดกลัว กลับกัน ยิ่งต่อสู้มากเท่าไร ก็ยิ่งกล้าหาญมากขึ้น แก่นเต๋าบรรพกาลในร่างกายพุ่งสูงขึ้น และเพิ่มพลังอันยิ่งใหญ่ให้กับเขา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ยันต์ศัสตราได้รับการขัดเกลาอีกครั้ง พลังของมันก็เทียบเท่าได้กับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ และช่วยให้เฉินซีสามารถปลดปล่อยความแข็งแกร่งของตัวเองออกมาได้อย่างสมบูรณ์ ยิ่งต่อสู้มากเท่าไร เปลวไฟแห่งการต่อสู้ที่พลุ่งพล่านในหัวใจก็ยิ่งลุกโชน การโจมตีเองก็รุนแรงและดุร้ายมากขึ้นเรื่อย ๆ
“สุนัขเฒ่า ทิ้งชีวิตของเจ้าไว้ซะ!” ทันใดนั้น เฉินซีก็ส่งเสียงคำรามยาวราวกับมังกร ผมยาวพลิ้วไสว ยันต์ศัสตราในมือส่งเสียงคำรามก้อง มันทำลายการโจมตีทั้งหมดก่อนที่ปราณกระบี่อันยอดเยี่ยมจะฟันออกไปทางชายชราแขนเดียว
ควับ!
ปราณกระบี่นั้นมีอักขระยันต์อยู่นับล้าน มันทั้งคมและพร่างพราว เมื่อมันฉีกไปทั่วทั้งท้องฟ้า มันดูราวกับสายฟ้าเส้นหนาทึบที่ตัดผ่านผืนนภา เปล่งประกายเจิดจ้า
อย่างไรก็ตาม ในสายตาของชายชราแขนเดียว มันเป็นดั่งคมกระบี่แห่งความตายที่จะเก็บเกี่ยวชีวิตของตน ทันใดนั้นเขาก็พ่นแก่นโลหิตออกมาหนึ่งคำ และเผาผลาญพลังแก่นแท้สสารของตัวเองด้วยความตั้งใจที่จะต่อต้านการโจมตีนี้
นับตั้งแต่มาถึง เขาก็ทำตัวหยิ่งยโสและเรียกเฉินซีว่าไอ้สารเลวซ้ำแล้วซ้ำอีก วางท่าใหญ่โต แต่ตอนนี้ กลับตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน เมื่อเปรียบเทียบทั้งสองสถานการณ์แล้ว มันก็นับเป็นตัวอย่างที่ดีของคำว่า ชีวิตไม่เที่ยง
เปรี้ยง!
เวลาและมิติพังทลายลง ปราณกระบี่นี้ดุร้ายและทรงพลังเกินไป ทำให้คนอื่น ๆ ไม่สามารถยื่นมือเข้ามาช่วยได้ทันเวลา ชายชราถูกบังคับให้เคลื่อนย้ายผ่านมิติซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีนี้ด้วยความยากลำบากอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้เฉินซีไม่ได้ตั้งใจที่จะปล่อยชายชราไป ปราณกระบี่หลายสิบเส้นกวาดออกไปทุกที่ พวกมันกลายเป็นปราณกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนส่องสว่างไปทั่วโลก
ปราณกระบี่ทั้งหมดนั้นทั้งรุนแรงและรวดเร็ว และไม่ว่าชายชราจะพยายามหลบมากเพียงใดก็ยังคงถูกปราณกระบี่โจมตีอยู่ดี!
พรวด!
ปราณกระบี่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขตและเต็มไปด้วยพลังที่น่าสะพรึงกลัว ในชั่วพริบตา มันกวาดต้อนทำลายสมบัติอมตะที่อยู่ตรงหน้าชายชราออกเป็นชิ้น ๆ ทว่ามันก็ไม่ได้สูญเสียพลังไปแต่อย่างใด และผ่าชายชราออกเป็นสองท่อน!
ฝนโลหิตหลั่งโปรยปรายลงมา เสียงร้องโหยหวนอันน่าสมเพชก้องไปทั่วบริเวณ ทำให้ทุกคนที่อยู่รอบ ๆ ตกตะลึง