บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1493 ความแตกต่างภายในขอบเขต
บทที่ 1493 ความแตกต่างภายในขอบเขต
……………………………………………………………………..
บทที่ 1493 ความแตกต่างภายในขอบเขต
เพียงการตวัดกระบี่คราเดียว โซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาก็ขาดผึ่งและค่อย ๆ พังทลายลงทีละข้อปล้อง!
เมื่อภัยพิบัตินี้ขยายตัวไปทั่วทั้งสามภพ ไม่ว่าใครก็ต้องได้ยลกับเหตุการณ์อันน่าสะเทือนขวัญของเทวาที่กำลังถูกกวาดล้างครั้งใหญ่
ภายในหัวใจของผู้คน โซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาเป็นเสมือนการดำรงอยู่ที่ไม่มีวันแตกดับ ไหนเลยจะคิดว่าทันทีที่เฉินซีบรรลุสู่ขอบเขตราชันเซียน เขาจะสามารถทำลายมันได้ผ่านการโจมตีเพียงครั้งเดียวเช่นนี้
ทุกคนตะลึงลาน ร่างกายแข็งค้างไม่ต่างรูปปั้น
พลังโจมตีจากกระบี่เล่มนี้เกินขอบเขตของสามภพไปแล้ว และยังเกินจินตนาการไปมากโข มันเหมือนกับการโจมตีจากทวยเทพก็มิปาน ไม่อาจจะบรรยายเป็นคำพูดใดได้!
ขวับ!
เหนือท้องฟ้าขึ้นไป หลังจากที่เฉินซีฟันโซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาให้ขาดจากกันในคราเดียวแล้ว เขาก็สะบัดมือและกางตาข่ายครอบคลุมสวรรค์ ตาข่ายขนาดมหึมา ซึ่งมีลักษณะลวงตาและเยือกเย็นราวแสงดาวพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า และดักจับเศษซากของโซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาทั้งหมดในทันที
เมื่อบรรดาศิษย์และอาจารย์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเห็นเหตุการณ์นี้ พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงอีกครั้ง ให้ตายเถิด ใครจะคาดคิดว่าโซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาจะสามารถถูกดักจับไว้ได้เช่นนี้
ความสามารถนี้ลบล้างความรู้ความเข้าใจแต่ก่อนที่เคยมีมาอย่างสิ้นเชิง
“ท่านหวังต้าวหลู โจวจื่อหลี เซวียนหยวนพั่วจวิน เสิ่นฮ่าวเทียน… พวกท่านทุกคนจงเตรียมตัวขัดเกลาชะตากรรมแห่งสวรรค์นี้!” เฉินซีออกคำสั่งถึงชื่อต่าง ๆ ด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะมอบชิ้นส่วนของโซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาที่ดักไว้ได้ให้แก่คนเหล่านี้
พวกเขาทั้งหมดล้วนแต่เป็นอาจารย์อาวุโสของสำนักศึกษาที่มีระดับการบ่มเพาะในขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้น รากฐานพลังต่างลึกล้ำเกิดหยั่ง ขาดแต่เพียงมหาชะตากรรมที่จะนำไปสู่ขอบเขตราชันเซียนเท่านั้น
ตามที่เคยกล่าวไว้ หากขาดซึ่งโชคชะตาแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะบรรลุขอบเขตราชันเซียน
ถึงอย่างนั้น มหาชะตากรรมก็เป็นสิ่งที่ยากจะนำมาครอบครอง มันหายากยิ่งกว่าสิ่งใดบนโลกใบนี้ ไม่อย่างนั้นแล้ว คนแข็งแกร่งอย่างพวกเขาก็คงไม่ได้หยุดอยู่ที่ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นอย่างเช่นตอนนี้
ที่เฉินซีทำเช่นนี้ก็เพราะต้องการที่จะพัฒนาระดับความแข็งแกร่งของสำนักศึกษาโดยเร็วที่สุด อย่างน้อยก็ควรที่จะมีราชันเซียนเพิ่มขึ้นมาสักสองสามคน
หวังต้าวหลู โจวจื่อหลี และคนอื่น ๆ ตกใจมากเมื่อได้ยินเช่นนั้น ชั่วขณะหนึ่งหัวใจพลันไหวระริกด้วยความตื่นเต้น พวกเขาไม่คิดเลยว่าเฉินซีจะมอบมหาชะตากรรมแสนพิเศษให้ในตอนนี้!
“ขอบคุณท่านเจ้าสำนัก!” หวังต้าวหลูและคนอื่น ๆ สูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะแสดงความขอบคุณด้วยความเคารพต่อเฉินซีอย่างจริงใจ
เฉินซียิ้มและบอกให้พวกเขาเข้าฌานบ่มเพาะ ชายหนุ่มแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง ประตูยังคงตั้งตระหง่านอยู่เช่นนั้น โซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาหนาหนักที่พันอยู่รอบ ๆ ทำให้มันดูลึกลับและน่าสะพรึงกลัว
เดิมทีเฉินซีตั้งใจจะใช้โอกาสนี้ในการครอบครองโซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชา ทว่าหลังจากการโจมตีครั้งก่อน ประตูบานนั้นก็ตกอยู่ภายใต้ความเงียบงัน ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นหลังจากนั้น ช่างเป็นสถานการณ์ที่ชวนให้ประหลาดใจไม่น้อย
“โธ่! นี่สินะพวกที่ชอบรังแกคนอ่อนแอแต่เกรงกลัวคนที่แข็งแกร่งกว่า เจ้าคงจะรู้ตัวแล้วสินะว่าเจ้าไม่สามารถทำอะไรข้าได้ จึงได้ล่าถอยและหลบซ่อนเช่นนี้?” มุมปากเย้ยหยันประทับลงบนใบหน้าของเฉินซี
แต่ถึงอย่างนั้น ภายในใจกลับมีเพียงเสียงทอดถอนใจ เขาตระหนักดีว่าประตูบานนั้นอาจจะกำลังสั่งสมความแข็งแกร่งจากผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ถูกดูดกลืนเข้าไปสู่แดนโลกาวินาศอยู่ และด้วยเหตุนี้ ก็ทำให้มันยุ่งเกินกว่าจะสนใจผู้ใด
ไม่อย่างนั้นแล้ว มันคงไม่มีทางปล่อยเขาไปง่าย ๆ แน่นอน
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ปรากฏการณ์ที่สั่นสะเทือนไปทั้งฟ้าดินก็พลันหายไป ประตูที่ตั้งตระหง่านบนท้องฟ้านั่นยังคงไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ คล้ายทุกอย่างได้กลับคืนสู่สภาวะปกติ
“ยินดีกับท่านเจ้าสำนักที่บรรลุขอบเขตราชันเซียน!” ทันใดนั้น เสียงแซ่ซ้องก็ดังก้องจากทุกแห่งหนในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า นอกจากความเคารพและชื่นชมแล้ว ใบหน้าของเหล่าอาจารย์และศิษย์ทั้งหลายยังเอ่อล้นไปด้วยความภาคภูมิและมั่นใจ
ใช่ มันคือความมั่นใจ!
หลังจากที่พวกเขาได้เห็นการกระทำของเฉินซีในการทำลายโซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวหลังจากบรรลุขอบเขตราชันเซียน ความมั่นใจก็พลันก่อตัวขึ้นในทันที มันลบล้างความกังวลที่เกิดขึ้นในใจไปหมดสิ้น
คล้ายว่าตราบใดที่เฉินซียังยืนหยัดอยู่ตรงนี้ ต่อให้ท้องฟ้าต้องพังทลาย ก็ไม่มีสิ่งใดให้กลัวเกรง
บนท้องฟ้า เฉินซีกวาดสายทอดมองออกไปโดยรอบสำนักศึกษา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เขารู้สึกถึงบางสิ่งที่ยากจะอธิบาย มันพลุ่งพล่านเข้าไปสู่ใจราวกระแสแห่งผืนสมุทร รอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ก่อนที่ชายหนุ่มจะหันหลังกลับและลงไปยังเบื้องล่าง
…
ความก้าวหน้าของเฉินซีในการก้าวสู่ขอบเขตราชันเซียนเป็นไปอย่างราบรื่นมาก เขาใช้เวลาเพียงสามเดือนเท่านั้นในการปิดด่านบ่มเพาะ แน่นอน การที่ไม่พบอุปสรรคใด ๆ ตลอดเส้นทางนั่นก็เพราะการเตรียมตัวที่เพียงพอ
หลังจากบรรลุขอบเขตราชันเซียน การเปลี่ยนแปลงที่เด่นชัดที่สุดเห็นทีจะเป็นจักรวาลภายในร่างกาย!
ขณะที่เฉินซีดำรงอยู่ในขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้น จักรวาลในร่างกายเพิ่งจะก่อตัวเป็นรูปร่างที่ไร้ความเสถียร ทว่าตอนนี้มันแตกต่างออกไป จักรวาลในร่างกายบัดนี้สามารถทำงานด้วยตัวเองและหมุนวนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด มันเต็มไปด้วยดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนที่โคจรอยู่ด้านในและปราณเซียนสีทองอันพิสุทธิ์ แม้แต่นิมิตแห่งมหาเต๋าและพลังชีวิตก็กระจายอยู่ในนั้นทั่วบริเวณ
ไม่เพียงเท่านี้ กฎแห่งกาลเวลา กฎแห่งปริภูมิ และกฎแห่งชีวิตและความตายก็กลายสภาพเป็นบัญชาแห่งจักรวาล ซึ่งครอบคลุมไปทั่วทุกพื้นที่และรักษาการไหลเวียนรวมไปถึงการทำงานทั้งหลายของจักรวาลภายในร่างกายอย่างต่อเนื่อง
ณ ใจกลางของจักรวาล หลุมดำที่วิสุทธิ์ สลัวรางและเก่าแก่หมุนวนอย่างเดือดพล่าน สายใยแห่งพลังลึกลับถูกปลดปล่อยออกมาจากภายในโดยไม่มีท่าทีจะสิ้นสุด มันกระจายตัวไปรอบและค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงทั้งจักรวาลอย่างช้า ๆ
พลังลึกลับนี้แน่นอนว่าเป็นแก่นเต๋าบรรพกาล!
ในบรรดาราชันเซียนนับร้อยพัน การจะเข้าใจและหลอมรวมแก่นเต๋าบรรพกาลซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสมบูรณ์ภายในมหาเต๋าแห่งราชันเซียนนั้น เป็นเรื่องยากเกินกว่าจะใช้เวลาทั้งชีวิตทำให้สำเร็จ
ตั้งแต่โบราณกาลมาจนถึงปัจจุบัน มีเพียงทวยเทพซึ่งเกิดจากความโกลาหลเท่านั้นที่จะสามารถครอบครองพลังดังกล่าวได้ เมื่อมันหลอมรวมเข้ากับร่างกาย มันก็กลายเป็นเหมือนพลังแก่นแท้สสารที่เกิดขึ้นจากบัญชาแห่งจักรวาลอันน่าเกรงขาม
เนื่องจากสิ่งมีชีวิตในขอบเขตราชันเซียนครอบครองมหาเต๋าที่แตกต่างกัน พวกเขาจึงสามารถแบ่งมันออกเป็นระดับต่าง ๆ ได้
อันดับแรกคือ ราชันเซียน ‘ระดับทั่วไป’ พวกเขาเพียงเข้าใจในกฎแห่งกาลเวลา กฎแห่งปริภูมิ กฎแห่งชีวิตและความตายเท่านั้น ทว่าไม่ได้หลอมรวมมันเข้ากับกฎแห่งปราชญ์เต๋าที่พวกเขาสร้างขึ้น
อันดับที่สองคือ ราชันเซียน ‘ระดับสูง’ ผู้เยี่ยมยุทธ์เหล่านี้ไม่เพียงเข้าใจในกฎขั้นสูงทั้งสามประการเท่านั้น หากยังสามารถหลอมรวมมันเข้ากับกฎแห่งปราชญ์เต๋าที่พวกเขาสร้างขึ้นได้อย่างสมบูรณ์ พลังที่ครอบครองนั้นสูงกว่าราชันเซียนระดับทั่วไปมาก
อันดับที่สามคือ ราชันเซียน ‘ระดับชั้นยอด’ พวกเขาคือราชันเซียนที่มีรากฐานมาจากราชันเซียนระดับสูงซึ่งมีพลังเกินขีดจำกัด และเริ่มแสวงหาความสมบูรณ์ในมหาเต๋าแห่งราชันเซียนโดยการหลอมรวมเข้ากับแก่นเต๋าบรรพกาล
อันดับสุดท้ายคือ ราชันเซียน ‘ระดับเลิศล้ำ’ ราชันเซียนที่ดำรงอยู่ในระดับนี้มีเพียงหนึ่งในล้านเท่านั้น ความเข้าใจที่มีต่อ ‘เต๋า’ ได้มาถึงขีดจำกัดของขอบเขตราชันเซียนแล้ว และพวกเขาก็ได้ครอบครองพลังของแก่นเต๋าบรรพกาลในที่สุด สิ่งที่เหลือมีเพียงแต่ต้องเสาะแสวงหนทางสู่การเป็นเทพหรือเข้าใจในพลังของทวยเทพเท่านั้น!
หากเป็นไปตามการจำแนกเช่นนี้ เฉินซีผู้ที่สามารถครอบครองพลังของแก่นเต๋าบรรพกาลได้ก็ย่อมต้องถูกจัดว่าเป็นราชันเซียนระดับเลิศล้ำ
ถึงกระนั้น สภาวการณ์ของเฉินซีก็แตกต่างไปจากราชันเซียนคนอื่น ๆ โดยสิ้นเชิง เขาเพิ่งจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตราชันเซียนไม่นาน อีกทั้งระดับความเข้าใจต่อมหาเต๋าที่เขาครอบครองนั้นก็เพิ่งมาถึงระดับสูงสุดของขอบเขตราชันเซียนเท่านั้น
สิ่งที่ยังขาดไปก็คือการเข้าใจมหาเต๋าที่ตนครอบครองในระดับสมบูรณ์
เมื่อพิจารณาอย่างเคร่งขัด หากมองจากภาพรวมของการบ่มเพาะทั้งหมด เฉินซีก็เป็นเพียงราชันเซียนระดับทั่วไปเท่านั้น
แต่หากพิจารณาจากความเข้าใจที่เขามีต่อมหาเต๋า ซึ่งอยู่ในขั้นสูงสุดของขอบเขตราชันเซียนและความแข็งแกร่งของมันแล้ว จะกล่าวว่าเขาเป็นราชันเซียนระดับเลิศล้ำก็คงไม่ผิดนัก
ในท้ายที่สุด หากรวมทุกอย่างเข้าด้วยกันและตัดสินจากความแข็งแกร่งในการต่อสู้ เกรงว่าเฉินซีคงจะยืนอยู่ในจุดสูงสุดอย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน ถึงจะบอกไม่ได้ว่าเขาสามารถจัดการกับสหายเต๋าทั้งหลายที่อยู่ในระดับการบ่มเพาะเดียวกันได้หมดทุกคน แต่ก็เชื่อได้ว่ามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่พอจะเทียบเคียงเขาได้
กล่าวโดยสรุป พลังที่เฉินซีครอบครองนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะจำแนกตามเกณฑ์ต่าง ๆ ได้ ไม่อย่างนั้นแล้ว มันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำลายขีดของจำกัดขอบเขตและรับมือกับราชันเซียนทั้งที่ยังอยู่ในขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้น
ในตอนนี้ เมื่อเขาบรรลุขอบเขตราชันเซียน ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ย่อมทิ้งห่างจากแต่ก่อนอย่างไม่เห็นฝุ่น
“ต่อไป ข้าจะเริ่มขัดเกลายันต์ศัสตรา…” ขณะที่เฉินซีสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของพลังภายในร่างกาย เขาก็พลันจมลงสู่ภวังค์ความคิดอันลึกซึ้ง
เมื่อความแข็งแกร่งได้รับการพัฒนาไปไกลจากเดิมมาก สมบัติธรรมดาก็ไม่อาจตอบสนองต่อพลังของเฉินซีได้อย่างเพียงพออีกต่อไป แม้ว่าน้ำเต้าฟ้าดิน ผนึกเทวศสวรรค์ ตะเกียงวังไหมเขียว และสมบัติอมตะโบราณอื่น ๆ จะน่าเกรงขามเพียงใด ทว่าในตอนนี้พวกมันก็ไม่เหมาะจะนำมาใช้ในการบ่มเพาะเต๋าแห่งกระบี่ในระหว่างการต่อสู้ได้อีก
กล่าวอีกนัยหนึ่ง สมบัติอมตะโบราณเหล่านี้สามารถใช้ไปกับการต่อสู้ในวาระพิเศษได้บางครั้งบางคราว แต่มันไม่อาจเป็นอาวุธที่เฉินซีพึ่งพาได้แทบจะตลอดทุกการต่อสู้อีกแล้ว
ก่อนหน้านี้ เฉินซีได้รวบรวมวัตถุดิบเซียนจำนวนมากด้วยตั้งใจที่จะขัดเกลาพัดเทพอัคคี แต่ที่เขายังไม่ขัดเกลามันเสียทีก็เพราะรู้สึกว่าสมบัติเหล่านี้เป็นเพียง ‘สมบัติหายาก’ พวกมันสามารถสำแดงพลังที่เหลือเชื่อออกมาได้เฉพาะในสถานการณ์การต่อสู้ที่พิเศษเท่านั้น
กล่าวก็คือ เฉินซีได้จำแนกสมบัติทั้งหลายที่ตนมีอยู่ออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกคือสมบัติที่เป็น ‘สมบัติสำหรับการต่อสู้หลัก’ เช่น ยันต์ศัสตรา ในขณะที่อีกประเภทหนึ่งเป็น ‘สมบัติสำหรับการต่อสู้พิเศษ’ เช่น ตาข่ายครอบคลุมสวรรค์ น้ำเต้าฟ้าดิน ผนึกเทวศสวรรค์ เป็นต้น
ท้ายที่สุดแล้ว หากเขาต้องการดึงความแข็งแกร่งทั้งหมดออกมา สิ่งที่ต้องทำเป็นอย่างแรกก็คือการขัดเกลายันต์ศัสตรา อย่างน้อยที่สุด มันก็ควรจะบรรลุถึงขั้นสูงสุดของระดับว่างเปล่า
ด้วยเหตุนี้ ทันทีที่บรรลุขอบเขตราชันเซียน ชายหนุ่มก็มุ่งความสนใจไปที่การขัดเกลายันต์ศัสตราในทันที
ยันต์ศัสตราเป็นสมบัติลับของเขาเทพพยากรณ์ที่ไม่ได้ส่งต่อไปยังบุคคลภายนอก นอกจากมันจะมีคุณสมบัติพิเศษแล้ว ภายในของมันยังอัดแน่นไปด้วยยันต์เทวะจำนวนมาก
กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากเฉินซีต้องการขัดเกลายันต์ศัสตรา เขาจำเป็นต้องใช้วัตถุดิบเซียนหายากจำนวนมหาศาล อีกทั้งยังต้องจารยันต์เทวะลงไปในนั้นเพิ่มอีกด้วย
สำหรับวัตถุดิบเซียนนั้น เฉินซีได้ตระเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว
ทว่าสำหรับยันต์เทวะนั้น ชายหนุ่มมีความคิดคร่าว ๆ ว่าจะสร้างยันต์เทวะที่เหมาะกับตัวเอง ซึ่งมีที่มาจากยันต์เทวะอนันต์ในโลกแห่งดวงดาว และจารมันลงในยันต์ศัสตราของตน
ทว่าเมื่อเฉินซีตั้งใจจะปิดด่านบ่มเพาะอีกครั้งเพื่อขัดเกลายันต์ศัสตรา อาซิ่วก็มาถึงที่นี่อย่างรวดเร็ว ใบหน้ารูปไข่ซึ่งกระจ่างด้วยร่องรอยแห่งชีวิตชีวาแต่งแต้มไปด้วยความกังวลจาง ๆ
“มีอันใดหรืออาซิ่ว?” เฉินซีพับแผนการของตนลงในทันทีเมื่อเห็นสีหน้าของหญิงสาว “หรือมีใครรังแกเจ้า?”
อาซิ่วส่ายหน้าน้อย ๆ นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดเสียงตะกุกตะกัก “ฉะ… เฉินซี ตอนนี้ตระกูลเซวียนหยวนของข้ากำลังมีปัญหา ข้าก็เลย… ก็เลย…”
เฉินซีรับรู้ถึงสิ่งที่นางต้องการจะพูดในทันที ชายหนุ่มตบไหล่นางเบา ๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ข้าเข้าใจ”
อาซิ่วเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ ดวงตาใสกระจ่างจับจ้องใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่าย “เจ้าเข้าใจอะไร?”
เฉินซียิ้ม “มันคงเป็นเรื่องที่ร้ายแรงไม่น้อยเลยใช่หรือไม่? ไม่อย่างนั้นเจ้าคงไม่ทำตัวผิดแผลกไปจากปกติเช่นนี้ เห็นที ตระกูลเซวียนหยวนคงจะกำลังเผชิญกับความยากลำบากครั้งใหญ่ ให้ข้าเดา มันน่าจะเกี่ยวข้องกับนิกายอำนาจเทวะ”
เฉินซีเว้นจังหวะไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงหนักแน่น “อาซิ่วเจ้าอย่ากังวลไป ข้าจะไม่ยอมให้ใครมารังแกตระกูลเซวียนหยวนเป็นอันขาด”
อันที่จริงแล้ว ชายหนุ่มก็พอจะเดาได้ราง ๆ ว่าน่าจะเป็นเพราะภายใต้ภัยพิบัติครานี้ ทั้งเซวียนหยวนเฟิงเฉิน เซวียนหยวนท่าเป่ย และผู้นำตระกูลคนปัจจุบัน เซวียนหยวนเส้าได้มุ่งหน้าไปยังแดนโลกาวินาศกับศิษย์พี่สามเที่ยอวิ๋นไห่แล้ว
หลังจากที่ตระกูลเซวียนหยวนสูญเสียการดำรงอยู่ของราชันเซียนทั้งสาม ก็เห็นได้ชัดว่าพวกกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เข้าขั้นวิกฤต
อาซิ่วคิดไม่ถึงเลยว่าเฉินซีจะคาดเดาทุกอย่างออกก่อนที่นางจะพูดเสียอีก ความรู้สึกของการได้รับการใส่ใจทำให้ดวงตาของนางแดงก่ำ น้ำตาใส ๆ ค่อย ๆ รื้นออกมาจากหัวใจ