บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1492 สวมมงกุฎขึ้นเป็นราชา
บทที่ 1492 สวมมงกุฎขึ้นเป็นราชา
……………………………………………………………………..
บทที่ 1492 สวมมงกุฎขึ้นเป็นราชา
ช่วงนี้เรื่องที่เฉินซีกำจัดหกราชันเซียนด้วยตัวคนเดียวกลายเป็นเรื่องที่ถูกถกกันในภพเซียน กลายเป็นหัวข้อที่ร้อนแรงที่สุดท่ามกลางสถานการณ์โกลาหล
ทว่าในระหว่างนั้น เฉินซีกลับปิดด่านบ่มเพาะ ส่วนสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าก็ปิดประตูสำนัก เริ่มจัดระเบียบภายในขึ้นใหม่
ไม่นานเวลาสามเดือนก็ผ่านไป
ระหว่างนั้นประตูบนฟ้าเหนือจักรวาลก็ยังคงอยู่ แม้ว่ามันจะอยู่ในสภาวะสงบ แต่ก็เหมือนเป็นกระบี่ที่ลอยอยู่เหนือศีรษะทุกสิ่งมีชีวิตในสามภพ ทำให้ทุกคนย่อมรู้สึกขวัญผวาและไม่อาจนิ่งนอนใจได้ว่าเมื่อไหร่มันจะซัดลงมา
นิกายอำนาจเทวะเองก็ทำให้เกิดการนองเลือดในภพเซียนขึ้นนับคลังไม่ถ้วน ในสี่พันเก้าร้อยทวีปของภพเซียน กองกำลังกว่าครึ่งของทวีปเหล่านั้นตกอยู่ในอำนาจควบคุมของนิกายอำนาจเทวะไปแล้ว
หรือก็คือ หลังจากความวิบัติเข้าสู่สามภพ ภพเซียนก็ไร้ความสงบสุขอีกต่อไป เต็มไปด้วยภาพสงครามและความวุ่นวายไม่หยุดหย่อน
นอกจากไม่กี่ที่ในภพเซียน ก็ไม่หลงเหลือสถานที่สงบสุขอยู่อีก
…
วันนี้เป็นวันที่ฟ้าสว่างใสวันหนึ่ง
อาจารย์ทั้งหลายในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋ากำลังสอนลูกศิษย์อย่างเข้มงวดและพิถีพิถันด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
หลังเฉินซีปิดฉากความขัดแย้งภายในลงได้ สำนักก็ลบล้างกฎเกณฑ์ในอดีตและเลิกวางการจำกัดในสถานที่อย่างฝ่ายสงวนคัมภีร์ โถงแต้มดารา ฝ่ายบำเพ็ญเต๋า และที่อื่น ๆ ทำให้ศิษย์ทั้งหลายสามารถเข้าไปศึกษาและบ่มเพาะในสถานที่เหล่านั้นได้
ส่วนผู้เป็นอาจารย์ก็ทำหน้าที่สอนศิษย์อย่างไม่คิดปิดบัง อีกทั้งยังช่วยสนับสนุนทรัพยากรในการบ่มเพาะพลัง เพื่อคอยสนับสนุนและเป็นรางวัลให้กับศิษย์ที่ทำหน้าที่ได้ดีอีกด้วย
ทั้งหมดที่ทำไปนี้ก็เพื่อทำให้ศิษย์ในสำนักได้พัฒนาไปให้มากที่สุดในช่วงแห่งความวิบัตินี้ และนั่นก็เป็นการเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาที่จะมาในอนาคตนั่นเอง
ถึงขั้นที่เยี่ยถัง หลิงชิงอู๋ เนี่ยซิงเจิน กู่เยวหรู และศิษย์คนอื่น ๆ ที่เพิ่งขึ้นขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นต้องมาเป็นอาจารย์สอน พวกเขาเองก็พยายามช่วยเหลือสำนักให้ได้มากที่สุดเช่นกัน
อย่างเช่นตอนนี้ เยี่ยถังเองก็กำลังเล่าประสบการณ์การบ่มเพาะพลังของตนอยู่ ศิษย์ที่ฟังตอนนี้ก็คือสมาชิกพันธมิตรดารา
นับตั้งแต่ที่เฉินซีขึ้นรับตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ ด้วยความที่มีสถานะไม่ธรรมดา เขาจึงไม่ได้รั้งตำแหน่งหัวหน้าพันธมิตรดาราอีก และมอบตำแหน่งให้อาซิ่วแทน ส่วนเยี่ยถังกับหลิงชิงอู๋ก็คอยช่วยเหลืออาซิ่วดูแลเรื่องภายในของพันธมิตรดาราอีกแรง
“ข้าบ่มเพาะพลังในเส้นทางที่เลือกอย่างกล้าหาญ สังหารอย่างไม่ลังเล ที่ข้ามาถึงจุดนี้ได้ก็เพราะอย่างหนึ่ง ทำลายกรงดวงจิตแห่งเต๋าลง ทำลายความสับสนจากความคิดไม่เหมาะสม เมื่อทั้งร่างกายและจิตใจไร้สองสิ่งนี้ ข้าจึงสามารถก้าวไปข้างหน้าได้” เยี่ยถังเอ่ยอย่างเรียบง่าย ก่อนมองศิษย์สมาชิกพันธมิตรดารา “พูดง่าย ๆ คือจิตใจไปตามเจตจำนง เจตจำนงไม่ถูกสิ่งเร้าภายนอกสั่นคลอน ดังนั้นข้าจึงเป็นอิสระจากทุกสิ่ง”
“อาจารย์เยี่ยถัง เราจะทิ้งความคิดที่ไม่เหมาะสมไปได้อย่างไร?” ศิษย์สาวคนหนึ่งถามด้วยความประหลาดใจ
“เข้าใจเต๋าแห่งสวรรค์และจริงใจต่อหัวใจตนเอง” เยี่ยถังเงียบไปครู่หนึ่งก่อนถอนหายใจ “นี่เป็นสิ่งที่เจ้าสำนักเคยบอกข้าไว้ มานั่งคิดดูแล้ว แค่ประโยคสั้น ๆ แต่กลับกระจ่างแจ้ง เข้าใจง่าย ธรรมดาอย่างถึงที่สุด แต่ทำให้สำเร็จได้ไม่ง่ายเลย”
คำของเจ้าสำนัก!
สายตาสมาชิกพันธมิตรดาราทั้งหลายเป็นประกาย เห็นถึงความชื่นชมเคารพบูชาอย่างชัดเจน
ในใจพวกเขา เฉินซีเป็นเจ้าสำนักของพวกเขา ทั้งยังเป็นผู้นำพันธมิตรดาราอีกด้วย!
“แต่เต๋าแห่งสวรรค์ในตอนนี้สร้างความวิบัติลงมายังสามภพ ยับยั้งเทพและนำความโกลาหลลงมาสู่โลกทั้งหลาย แล้วจะเข้าใจเต๋าแห่งสวรรค์ได้อย่างไรกัน?” ศิษย์คนหนึ่งเอ่ยขึ้นเสียงเบาด้วยความสงสัย ทำให้คนอื่น ๆ รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา
เยี่ยถังได้ยินก็หัวเราะ “เต๋าแห่งสวรรค์เข้าใจยากมาโดยตลอดนั่นล่ะ ในความเข้าใจก็มีดีมีร้ายเช่นกัน เมื่อรู้เช่นนี้แล้วเราถึงจะซื่อตรงต่อใจตนเองได้ รักษาดวงจิตแห่งเต๋าไม่ให้หลงทาง ไม่สูญเสียตัวตนไปในความวิบัติครั้งนี้”
ทุกคนได้ยินจึงเข้าใจ
ตู้ม!
ตอนนั้นเองที่ได้ยินเสียงดังลั่นคำรามมาจากที่ไกล เหมือนเสียงทวยเทพจุติลงจากสวรรค์ สั่นสะท้านไปทั่วทั้งท้องนภาและผืนปฐพี ทำเอาทุกคนในที่นี้ตกใจ
“เกิดอะไรขึ้น?”
“เอ๊ะ มาจากตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋านี่!”
ใจเยี่ยถังและคนจากพันธมิตรดาราสะท้าน สายตามองไปยังตำแหน่งที่ตั้งของตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋าโดยพร้อมเพรียงกัน จากนั้นใบหน้าก็ปรากฏความตกใจ
ณ ท้องฟ้าเหนือตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋า กระแสศักดิ์สิทธิ์สีทองเข้มลอยขึ้นเหนืออากาศ ย้อมท้องฟ้าให้กลายเป็นสีทองเข้ม อีกทั้งยังได้ยินท่วงทำนองแห่งเต๋ามาจากภายใน ก่อนมันจะเปลี่ยนเป็นยันต์ลึกลับ ลอยละล่อง พุ่งไปมา โอบท้องฟ้า สร้างปรากฏการณ์ที่เห็นได้ไม่บ่อยนักขึ้น
ได้ยินเสียงทวยเทพร้องประสาน เห็นภาพพุทธองค์และปีศาจร่ายรำอยู่ด้วยกัน เห็นปราชญ์อ่านคัมภีร์ เห็นสิ่งมีชีวิตทั้งหลายก้มกราบ ทั้งยังมีกระแสปราณมงคลและแสงศักดิ์สิทธิ์มากมาย แสงแห่งเซียนส่องลงจากฟากฟ้า โปรยลงมาเป็นฝนแสงเติมเต็มโลกาเบื้องล่าง
เหตุการณ์เช่นนี้นับได้ว่าเกินความคาดหมายของใครหลายคน!
“หรือว่า… เจ้าสำนักจะขึ้นขอบเขตราชันเซียนแล้ว?” มีคนหนึ่งพูดเสียงสั่นขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น
คนส่วนมากก็เห็นด้วยกับความคิดนี้ เพราะเมื่อขึ้นสู่ขอบเขตราชันเซียนเมื่อไหร่ ก็จะได้เห็นปรากฏการณ์ฟ้าดินที่ไม่ค่อยได้เห็นมาก่อน
ทว่าในใจพวกเขา ปรากฏการณ์เช่นนี้อาจเกิดขึ้นได้เฉพาะยามที่เฉินซีขึ้นสู่ขอบเขตและสวมมงกุฎขึ้นเป็นราชา!
หรือก็คือ ปรากฏการณ์น่าตื่นตาตื่นใจครั้งนี้เป็นเหมือนมงกุฎ ถูกเตรียมไว้ให้เฉินซียามก้าวขึ้นสู่ขอบเขตราชันเซียนนั่นเอง!
มันช่างเป็นเกียรติเพียงใดกัน?
ฟ้าดินยินดี!
ฟ้าดินอวยพร!
ปรากฏการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นก็เพื่อมอบมงกุฎขึ้นสู่ราชัน!
ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดไปนัก ในจังหวะนั้นเอง ร่างสูงของเฉินซีก็ปรากฏขึ้นเหนือตำหนัก ทั่วร่างอาบย้อมไปด้วยพลังราชันเซียนสีทองเข้ม จังหวะขยับเคลื่อนสอดคล้องกับฟ้าดินและจักรวาลแสนไกล ปลดปล่อยกลิ่นอายดั่งราชันเหนือใครผู้ครอบครองใต้หล้า!
พอเฉินซีปรากฏตัวขึ้นมา ทุกคนก็สังเกตเห็นได้ชัด ปรากฏการณ์ฟ้าดินเริ่มพวยพุ่งเข้าสู่ร่าง ทำให้กลิ่นอายยิ่งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ
หากมองจากไกล ๆ ตะวันจันทราดูหมดแสงลงเมื่อเทียบกัน ทุกอย่างรอบข้างต้องยอมสยบ ทำให้เขากลายเป็นแสงหนึ่งเดียวที่ส่องสว่างไปไกลทั่วฟ้าดิน
ขอบเขตราชันเซียน!
ต้องเป็นขอบเขตราชันเซียนแน่!
ท่าทีองอาจอยู่เหนือใต้หล้าเช่นนี้ต้องเป็นของผู้อยู่ขอบเขตราชันเซียนไม่ผิดแน่ ถึงขั้นที่แกร่งกว่าด้วยซ้ำ
ตอนนี้ศิษย์และอาจารย์ในสำนักตกตะลึงยิ่ง จนไม่อาจยั้งไม่ให้ตนเองคุกเข่าลงเพื่อบูชาภาพตรงหน้าได้
แต่ก็แน่นอนว่าการกระทำนี้เกิดขึ้นจากความตกใจเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าช่วงเวลาที่เฉินซีขึ้นสู่ขอบเขตราชันเซียนนั้นไม่ธรรมดาเพียงใด ถึงกับส่งผลกระทบกับความรู้สึกของทุกคนได้เช่นนี้
ฟึบ!
แต่เป็นจังหวะนี้เองที่ประตูบนท้องฟ้าคล้ายว่าสังเกตเห็นบางอย่าง มันพลันตื่นจากการหลับใหล ก่อนที่โซ่ศักดิ์สิทธิ์เส้นหนาที่เต็มไปด้วยพลังทำลายล้างจะพุ่งออกมา!
มันคือโซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาที่ลงมาจากฟ้า ผ่านห้วงกาลเวลาและมิติเข้าโจมตีเฉินซี!
มันเกิดขึ้นเร็วมาก เหนือความคาดหมายของใครหลายคน ทำให้ม่านตาเบิกกว้าง ใจที่เดิมทีตื่นเต้นอยู่แล้วขึ้นมาจุกอยู่ที่คอ ให้ความรู้สึกกระวนกระวายใจอย่างถึงที่สุด
เกิดอะไรขึ้น?
เจ้าสำนักเฉินซีอยู่แค่ขอบเขตราชันเซียนนี่ ทำไมถึงสามารถเรียกโซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาลงมาได้?
หรือว่า… จะเป็นเพราะอำนาจของเจ้าสำนักมีล้นฟ้า ทำให้ประตูด้านบนเกิดหวาดกลัวขึ้นมา? มันเลยส่งโซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาคิดจะยับยั้งจับตัวเขาไว้?
“หึ!” จังหวะที่ทุกคนกำลังรู้สึกกังวลอยู่ในใจ เฉินซีที่ยืนอยู่กลางอากาศก็เงยหน้าขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาดูเงียบขรึมแผ่รังสีเยือกเย็นเสียดแทง ชายหนุ่มพลันเอื้อมมือออกไปคว้ามันไว้
ตู้ม!
มือขนาดใหญ่บดบังฟ้าพุ่งขึ้นมา มันเต็มไปด้วยพลังราชันเซียนสีทองเข้ม ทุกนิ้วเต็มไปด้วยยันต์อันลึกลับ ปลดปล่อยกลิ่นอายน่าเกรงขามออกมา ก่อนมันจะเข้าปะทะกับโซ่ศักดิ์สิทธิ์สีดำ
เสียงครืนลั่นฟ้าดังคำราม โซ่ศักดิ์สิทธิ์แกว่งไสวไปมาเหมือนงูคลั่ง หมายจะทะลวงผ่านมือยักษ์นั่นมาให้ได้
“ความวิบัติบ้านเจ้าสิ! เจ้าไม่คิดทำอะไรราชันเซียนคนอื่น แต่พอข้าขึ้นขอบเขตราชันเซียนกลับลงมือทันที คิดว่าข้าเป็นลูกพลับนิ่มหรืออย่างไร?” ในน้ำเสียงเงียบขรึมไร้อารมณ์นั้น เฉินซีหยิบกระบี่เต๋าวิบัติออกมา ก่อนจะซัดมันออกไป
ฟึบ!
ปราณกระบี่พวยพุ่ง มันเป็นท่ากระบี่ที่เรียบง่าย แต่เมื่อปราณกระบี่ปรากฏออกมา ทั่วฟ้าดินก็ตกอยู่ในความขวัญผวา คล้ายกำลังส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน
จังหวะนั้นเอง ท้องฟ้าที่เคยกระจ่างใสก็ตกลงสู่ความมืด คล้ายกับราตรีนิรันดร์โรยตัว ปราณกระบี่เส้นนั้นกลายเป็นแสงสว่างเดียวภายใต้ฟ้ามืด
ไม่ว่าจะเป็นศิษย์หรืออาจารย์ล้วนรู้สึกอกสั่นขวัญผวาเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ รู้สึกเหมือนตนเป็นมดตัวหนึ่ง พลังบ่มเพาะที่ภูมิใจหนักหนาดูไร้ค่าเมื่อเทียบกับอำนาจของปราณกระบี่นี้
เหมือนว่า… หากมันยังส่งเสียงหวีดร้องต่อไป ปราณกระบี่นี้ก็จะสามารถทำให้ดวงดาราตกอยู่ในความโกลาหล และทำลายเต๋าในจักรวาลได้!
พลังเต๋ากระบี่เช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนในสามภพจะมีได้
ท่ากระบี่นี้ถูกซัดออกมาจากกระบี่เหล็กที่เสียหาย ซึ่งฝังอยู่บนแผนภาพลึกลับที่ยังไม่สมบูรณ์บนชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก มันเป็นกระบี่เหล็กที่ครึ่งนึงเป็นสีดำถ่าน อีกครึ่งเป็นสีแดงโลหิต
เฉินซีไม่มั่นใจว่ามันคืออะไรกันแน่ แต่ตอนที่เห็นแผนภาพที่ยังไม่สมบูรณ์นั่นครั้งแรก เขาก็รู้ดีว่าด้วยพลังบ่มเพาะเต๋ากระบี่ของตนที่อยู่ในขอบเขตเซียนกระบี่ขั้นสมบูรณ์ พลังบ่มเพาะนี้ดูเล็กกระจ้อยร่อยไปเลยเมื่อเทียบกับมัน
หลังจากขึ้นขอบเขตราชันเซียน เขาก็เข้าใจหัวใจตนเองขึ้นมา เข้าใจความลึกล้ำของมันส่วนหนึ่ง ทำให้เขาผสานมันเข้ากับเต๋ากระบี่ และซัดปราณกระบี่นี่ออกไป!
ตู้ม!
พริบตานั้น โซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาเส้นหนาก็ถูกสะบั้นขาดโดยง่ายเหมือนตัดผ่านกระดาษ และสลายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ดูเหมือนว่าง่ายดายนัก แต่กลับเป็นภาพที่น่าเกรงขามยิ่ง!
เพราะอย่างไรขนาดทวยเทพยังไม่สามารถหลบหนีจากโซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาได้ สุดท้ายก็ต้องถูกมันกักไว้แล้วดึงตัวไป มีเพียงศิษย์พี่สามเที่ยอวิ๋นไห่ของเฉินซีเท่านั้นที่สามารถเหวี่ยงอาวุธขึ้นฟ้า ทำลายโซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาลงมาได้
แต่ตอนนี้เฉินซีที่เพิ่งขึ้นสู่ขอบเขตราชันเซียนกลับสามารถสะบั้นโซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาได้ในท่ากระบี่เดียว สามารถทำในสิ่งที่ทวยเทพส่วนมากยังไม่อาจทำได้ เห็นได้ชัดว่าปราณกระบี่เมื่อครู่น่ากลัวเพียงใด
เรียกได้ว่าเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อและประหลาดใจมากทีเดียว!