บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1490 เงาที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง
บทที่ 1490 เงาที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง
บทที่ 1,490 เงาที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง
การต่อสู้สิ้นสุดลงแล้ว
ราชันเซียนทั้งหกถูกสังหารสิ้น
ในขณะนี้ ประตูทางเข้าของตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋าได้เปิดกว้าง ฝุ่นผงและหมอกควันฟุ้งกระจายไปโดยรอบ ทั้งตำหนักก็สว่างไสวด้วยแสงอันเรืองรอง
จ้าวหลิงซีได้แปลงร่างเป็นวิหคอมตะที่แท้จริงซึ่งกระพือปีกอยู่บนท้องฟ้า ปีกอันงดงามปลดปล่อยเปลวเพลิงมากมาย และพลังศักดิ์สิทธิ์อันไร้ขอบเขตก็ส่องสว่างไปทั่วโลกหล้า
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าตื่นตาที่สุดคือร่างสูงใหญ่ที่ยืนอย่างภาคภูมิใจอยู่ที่หน้าประตูทางเข้า!
ผมยาวหนาทึบของร่างนี้ปลิวไสว ในขณะที่สายตาอันลุ่มลึกก็เหมือนสายฟ้าเยียบเย็น ยามที่กะพริบตาก็ดูเหมือนสามารถมองเห็นความลับของปฐพีได้ อีกทั้งกระบี่สีแดงเลือดก็ในมือก็ยังมีโลหิตสีทองของราชันเซียนหยดย้อย
โฮก! โฮก!
พลังงานแห่งชะตากรรมที่อยู่ภายในตำหนักทั้งหมดได้กลายเป็นเหล่ามังกรขนาดมหึมาซึ่งวนเวียนอยู่รอบกาย ก่อนที่พวกมันจะเงยหน้าขึ้นและคำรามขึ้นฟ้า
เสียงคำรามของพวกมันดังก้องไปทั่วสวรรค์ทั้งเก้า และทำให้เขาดูเหมือนเป็นจ้าวผู้ครองของฟ้าดินอันกว้างใหญ่นี้!
ที่เท้าของเขามีศพแหลกเละสองศพที่เป็นของราชันเซียน และมันทำให้เขามีกลิ่นอายที่กดขี่เป็นพิเศษ
“ก่อนหน้านี้ข้าเต็มไปด้วยความโลภ แต่ตอนนี้ข้าตระหนักถึงความผิดของตัวเองแล้ว โปรดอภัยให้ข้าด้วย” ทันใดนั้น จ้าวหลิงซีพลันกล่าวขึ้นพร้อมกับหุบปีกที่สยายออก และกลับคืนสู่ร่างอันผอมเพรียวที่มีดวงตาสุกใส ฟันขาวดุจหยก และผมสีดำสนิทที่ปล่อยสยายดุจน้ำตก ใบหน้างดงามเผยท่าทางสำนึกผิดจากก้นบึ้ง
เฉินซีโบกมือพลางกล่าว “ข้าเข้าใจแล้ว ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงเรื่องนี้อีก”
ในขณะที่กล่าว ก็เก็บกระบี่สีแดงเลือด จากนั้นจ้องมองไปที่จัตุรัสด้านนอกตำหนัก
“คารวะท่านเจ้าสำนัก!” ในขณะนี้ คลื่นของเสียงร้องไชโยที่ดูเหมือนคลื่นยักษ์พลันดังก้อง มันเป็นระเบียบอย่างสมบูรณ์ และมันสั่นสะเทือนท้องฟ้า ยิ่งกว่านั้น มันเป็นภาพที่ค่อนข้างงดงาม ซึ่งเผยให้เห็นถึงกลิ่นอายอันยิ่งใหญ่และเคร่งขรึม
ก่อนที่เฉินซีจะบดขยี้ราชันเซียนทั้งหก ผู้คนมากมายได้มารวมตัวกันที่จัตุรัสอันกว้างใหญ่ที่ตั้งอยู่หน้าตำหนัก ไม่ใช่แค่ศิษย์และอาจารย์ของสำนักที่นำโดยโจวจื่อหลี หวังต้าวหลู และอาจารย์คนอื่น ๆ แต่ยังมีคนนอกของตระกูลมู่ ภพมังกร เผ่าวิหคอมตะ ตระกูลจี้ และกองกำลังอื่น ๆ อีกด้วย
กล่าวอีกนัยหนึ่ง นับตั้งแต่พริบตาที่พวกเขาทราบว่าเฉินซีได้รับหม้อมรดกเต๋าโบราณ และสืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนัก เหล่าอาจารย์และศิษย์ทุกคนต่างก็ตื่นเต้นด้วยความยินดี ดังนั้นจึงมารวมตัวกันที่นี่อย่างพร้อมเพรียงกัน
เขตฝ่ายนอก เขตฝ่ายใน ฝ่ายสงวนคัมภีร์ ฝ่ายสงวนโอสถ ฝ่ายบำเพ็ญเต๋า… ตราบใดที่พวกเขาโชคดีจนสามารถรอดจากภัยพิบัติครั้งนี้ เหล่าอาจารย์และศิษย์ทุกคนจะมายังที่นี่
ในขณะนี้ ทุกคนล้วนเห็นเหตุการณ์ที่เฉินซีบดขยี้ราชันเซียนทั้งสองด้วยตาตนเอง ประกอบกับท่าทางที่สูงส่งเสมือนเป็นจักรพรรดิผู้ไร้เทียมทาน และมันสั่นคลอนหัวใจของทุกคนที่อยู่ในบริเวณโดยรอบ ดังนั้นพวกเขาจึงอดไม่ได้ที่จะตะโกนอยู่ในขณะนี้
นี่คือเจ้าสำนักคนใหม่ ผู้นำของทั้งสำนัก!
เมื่อได้เห็นเหตุการณ์นี้ ทุกคนต่างตระหนักดีว่าเฉินซีได้ทำลายราชันเซียนทั้งหมดที่นำภัยพิบัติมาสู่สำนักในครั้งนี้ และได้คลี่คลายภัยพิบัติทำให้มองเห็นแสงแห่งความหวังอีกครั้ง ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกตื่นเต้นและยินดีอย่างสุดซึ้งในใจ
เสียงร้องไชโยของพวกเขาเต็มไปด้วยความสุขอย่างแท้จริง และมันมาบรรจบกันเป็นมหาสมุทรที่ทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือน
สำหรับคนนอกจากตระกูลมู่ เผ่าวิหคอมตะ ภพมังกร ตระกูลจี้ และกองกำลังอื่น ๆ พวกเขาทั้งหมดต่างตกใจยิ่ง ทั้งยังถูกสยบด้วยกลิ่นอายอันน่าของเฉินซี และรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้พวกเขาล้วนมีเจตนาร้าย และได้ตระหนักถึงความผิดในภายหลัง ยามนี้เฉินซีได้ทำลายล้างราชันเซียนทั้งหมด และบดขยี้ความไม่สงบในสำนัก ก่อนที่จะปรากฏตัวอีกครั้งพร้อมกับกลิ่นอายที่น่าเกรงขาม ดังนั้นพวกเขาจึงกังวลอยู่ในใจอย่างอดไม่ได้
โดยสรุปแล้ว ขณะที่เฉินซียืนตัวตรงอยู่ต่อหน้าตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋า พลังงานของชะตากรรมก็ม้วนอยู่รอบ ๆ ตัว ทุกอิริยาบถเปี่ยมด้วยบารมีแห่งราชัน ทำให้กลายเป็นศูนย์กลางของความสนใจ
อย่างไรก็ตาม เฉินซีดูเหมือนสงบนิ่ง ชายหนุ่มกวาดสายตามองทุกคนที่อยู่รอบ ๆ เขาเห็นหวังต้าวหลู โจวจื่อหลี เซวียนหยวนพัวจวิน และอาจารย์คนอื่น ๆ ทั้งหมด ทั้งยังสังเกตเห็นอาซิ่ว จี้เซวียนปิง จ้าวเมิ่งหลี เยี่ยถัง หลิงชิงอู๋ เจิ่นลู่ และศิษย์คนอื่น ๆ
สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความสุข อีกทั้งสายตาที่จ้องมองมายังเต็มไปด้วยความเคารพและความสุขจากใจอีกด้วย
ในทำนองเดียวกัน เฉินซีสังเกตเห็นว่าเหล่าคนนอกจากภพมังกร ตระกูลจี้ ตระกูลมู่ และกองกำลังอื่น ๆ ล้วนเผยให้เห็นท่าทางที่ตกอกตกใจและแสดงความเคารพเมื่อมองดูตน
ในขณะนี้ ในที่สุดเฉินซีก็ตระหนักได้ว่าเขาได้กลายเป็นเจ้าสำนักอันดับหนึ่งในภพเซียนแล้ว!
“คารวะท่านเจ้าสำนัก!” เสียงตะโกนที่เป็นระเบียบและดังอีกระลอกหนึ่งดังก้องไปทั่วบริเวณโดยรอบ
จู่ ๆ ความรู้สึกหนักอึ้งของความรับผิดชอบก็พรั่งพรูอยู่ในหัวใจ ทั้งยังมีความรู้สึกที่ภาคภูมิอยู่เช่นกัน เฉินซีรู้ดีว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ชะตากรรมของเขาจะถูกผูกมัดกับทั้งสำนักแล้ว
…
“ฮ่า ฮ่า! ขอแสดงความยินดีต่อท่านเจ้าสำนักเฉินซีที่เข้าควบคุมสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าได้!” ทันใดนั้น เสียงดนตรีที่ไพเราะเสนาะหูก็ดังมาจากบนท้องฟ้า และก้องกังวานไปทั่วฟ้าดิน มันทำลายบรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์ในสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างสิ้นเชิง
พร้อมกับเสียงนี้ ร่างที่สง่างามก็ปรากฏเหนือท้องฟ้า นางมีท่าทางอ่อนโยนราวกับสายน้ำ และที่หน้าผากก็เปล่งประกายด้วยแสงแห่งปัญญา
หัวใจของทุกคนที่อยู่รอบข้างล้วนสั่นไหว สตรีผู้นี้เป็นใครกัน? ไยนางถึงสามารถปรากฏตัวโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น?
“เจี้ยงหลิงเซียว!” เมื่อเห็นร่างนี้เข้า ดวงตาของเฉินซีก็ผันเปลี่ยนเป็นเย็นชาและอาฆาต น่าตกใจที่นางคือหนึ่งในเจ็ดยอดศิษย์ชั้นสูงของนิกายอำนาจเทวะ เจี้ยงหลิงเซียว!
ทำไม… นางถึงมาปรากฏตัวที่นี่?
“ครานี้ ข้าต้องขอบคุณเจ้าสำนักเฉินซีที่ได้ช่วยเหลือนิกายอำนาจเทวะของข้ากำจัดราชันเซียนเหล่านั้น และข้าจะมารบกวนท่านในภายหลัง เมื่อนิกายอำนาจเทวะของข้าจัดการกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้ว ฉะนั้นขอตัวลา!”
ร่างกายของเจี้ยงหลิงเซียวหลั่งไหลด้วยประกายแสงสีฟ้าอ่อน พลางยิ้มอย่างอ่อนหวานและกล่าวด้วยน้ำเสียงรื่นหู ท่าทางคล้ายหนึ่งในสหายของเฉินซี
ทันทีที่กล่าวจบ ร่างระหงก็วูบไหวและตั้งใจจะจากไป
โครม!
ในขณะนี้ มือมหึมาที่บดบังท้องฟ้าก็ปรากฏขึ้นจากอากาศ และไขว่คว้านางอย่างดุเดือด
“ในเมื่อเจ้ามาแล้ว ไยไม่อยู่ต่อสักพักเล่า!” เสียงอาฆาตและกดขี่ของเฉินซีดังก้องพร้อมกับการโจมตีครั้งนี้
“มิได้ แต่อีกไม่นานเราจะได้พบกันอีก” เจี้ยงหลิงเซียวใช้เคล็ดวิชาลับบางอย่าง ทำให้ร่างกายค่อย ๆ กลายเป็นโปร่งแสงท่ามกลางเสียงหัวเราะอันอ่อนโยน นางหลีกเลี่ยงการโจมตีของเฉินซีและหายตัวไป
ชายหนุ่มทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ก่อนที่จะใช้ญาณมหาเทวะอมตะกวาดออกไปยังบริเวณโดยรอบ ในท้ายที่สุด เขายืนยันว่านางได้หนีออกจากสำนักไปแล้ว และไม่อาจจับตัวนางอีกต่อไป สิ่งนี้ทำให้สีหน้าของเฉินซีมืดมนทันที
นางหลบหนีภายใต้จมูกข้าไปได้จริง ๆ! นิกายอำนาจเทวะช่างมีความสามารถนัก!
ดวงตาของเฉินซีวูบวาบด้วยประกายเยือกเย็น อารมณ์ที่ผ่อนคลายแต่เดิมเริ่มกลายเป็นหนักใจเนื่องจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดนี้ เขาคาดเดาได้อย่างราง ๆ ว่าภัยพิบัติที่เกิดขึ้นกับสำนักในครั้งนี้ อาจเป็นฝีมือของนิกายอำนาจเทวะที่ชักใยราชันเซียนเหล่านี้อยู่เบื้องหลัง!
มิฉะนั้น ราชันเซียนของตระกูลเจี้ยง ตระกูลจงหลี ตระกูลว่านฉี ตระกูลจี้ ภพพุทธองค์ ภพมังกร และกองกำลังอื่น ๆ จะมารวมตัวกันที่สำนักได้อย่างไร?
ถึงขนาดที่เฉินซีสามารถเดาได้ว่า ไม่ว่าราชันเซียนเหล่านี้จะสามารถยึดตำแหน่งเจ้าสำนักได้หรือไม่ก็ตาม แต่มันก็มีประโยชน์มากกว่าเป็นอันตรายต่อนิกายอำนาจเทวะ
หากพวกเขาประสบความสำเร็จ สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าก็จะกลายเป็นหมากในกำมือของกองกำลังอื่น ๆ และจะมีปัญหาแฝงอยู่ภายในสำนัก ซึ่งจะทำให้นิกายอำนาจเทวะมีโอกาสบุกโจมตีได้อย่างแน่นอน
หากพวกเขาล้มเหลว ราชันเซียนเหล่านี้ก็จะถูกสังหาร ด้วยวิธีนี้ มันอาจกลายเป็นเรื่องง่ายยิ่งขึ้นที่นิกายอำนาจเทวะจะจัดการกับกองกำลังที่อยู่เบื้องหลังราชันเซียนเหล่านั้น
เช่นเดียวกับตอนนี้ ราชันเซียนทั้งหมดจากตระกูลว่านฉี ตระกูลจงหลี และตระกูลเจี้ยงได้เสียชีวิตลงที่นี่ แล้วกองกำลังเหล่านั้นที่สูญเสียราชันเซียน จะต้านทานการรุกรานของนิกายอำนาจเทวะได้อย่างไร?
ในทางกลับกัน หากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าถูกควบคุมโดยกองกำลังเหล่านี้ เหล่าอาจารย์และศิษย์ทั้งหมดของสำนักอาจไม่เต็มใจที่จะยอมจำนน ในเวลานั้น ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงปัญหาภายในที่จะเกิดขึ้นได้ และนิกายอำนาจเทวะก็จะคว้าโอกาสนั้นเพื่อบุกโจมตีสำนัก!
ประเสริฐ เป็นแผนการที่ประเสริฐยิ่ง แต่ต่อให้พวกเจ้าบุกมา ข้าจะทำให้นิกายอำนาจเทวะของเจ้าต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่!
เฉินซีเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะความเกลียดชังและจิตสังหารที่ไม่อาจปกปิดจะฉายแววในดวงตา
เขาเกลียดชังนิกายอำนาจเทวะอย่างสุดขั้วหัวใจ
ในขณะนี้ ทุกคนที่อยู่บนจัตุรัสต่างก็หวาดกลัว และสีหน้าพลันเคร่งขรึม นิกายอำนาจเทวะ! นิกายอำนาจเทวะเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังความวุ่นวายทั้งหมดนี้!
โดยเฉพาะตระกูลมู่ ภพมังกร เผ่าวิหคอมตะ และกองกำลังอื่น ๆ จากนอกสำนัก เวลานี้หัวใจของพวกเขานั่นเต็มไปด้วยความตกใจและโกรธสุดขีด เพราะไม่เคยคิดเลยว่าจะตกเป็นเครื่องมือของนิกายอำนาจเทวะมาตั้งแต่แรกเริ่ม!
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อพวกเขาหวนคิดถึงราชันเซียนทั้งหกที่ถูกเฉินซีสังหารไปในตอนนี้ ความหนาวเย็นก็ผุดในใจของทุกคนอย่างอดไม่ได้ และเรื่องทั้งหมดนี้ถูกนิกายอำนาจเทวะชักใบอยู่เบื้องหลังจริง ๆ มันก็น่าพรั่นพรึงอย่างยิ่ง…
“ท่านเจ้าสำนัก เรื่องสำคัญที่ต้องจัดการเป็นด่วนนั่น…” หวังต้าวหลูและโจวจื่อหลีก้าวไปข้างหน้า ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความเคารพ และแม้แต่วิธีการกล่าวกับเฉินซีก็เปลี่ยนไป
เฉินซีเข้าใจความคิดของอีกฝ่าย เขาจึงเหลือบมองมู่หรงเทียน จ้าวหลิงซี และกองกำลังอื่น ๆ จากนอกสำนักทันที “ทุกท่าน สำนักของข้ากำลังอยู่ในภาวะไม่สงบ และเราไม่มีเวลามาต้อนรับแขก ดังนั้นโปรดออกไปด้วย”
แม้เสียงจะราบเรียบ แต่เปี่ยมด้วยกลิ่นอายที่น่าเกรงขามเป็นพิเศษ
มู่หรงเทียนและคนอื่น ๆ ไม่เพียงไม่รู้สึกว่าอีกฝ่ายอวดดีเกินไป แต่กลับถอนหายใจด้วยความโล่งอกแทน อย่างน้อยที่สุด มันได้พิสูจน์ว่าเฉินซีไม่มีความตั้งใจที่จะจัดการกับพวกเขาหลังจากการต่อสู้สิ้นสุดลง
“เช่นนั้นเราจะปฏิบัติตามความปรารถนาของท่านด้วยความเคารพ แล้วเราจะมารบกวนท่านเจ้าสำนักและสหายนักพรตเต๋าในวันอื่น” มู่หรงเทียนประสานมือคารวะ และทันทีที่กล่าวจบ เขาก็นำสมาชิกตระกูลมู่หันหลังกลับและจากไป
เมื่อเห็นการกระทำของมู่หรงเทียน กองกำลังอื่น ๆ กล่าวคำอำลาและจากไปเช่นกัน
ในปัจจุบัน พวกเขาทั้งหมดทราบดีว่า เฉินซีได้สังหารราชันเซียนทั้งหมดเพียงลำพัง และได้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนัก พลังอำนาจได้มาถึงจุดสูงสุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ดังนั้นแม้แต่ราชันเซียนก็ยังไม่กล้าขัดกับเจตจำนงของเฉินซีในขณะนี้
นี่คือพลังอำนาจและอิทธิพลของผู้แข็งแกร่ง!
ในสามภพทั้งหมด เหล่าทวยเทพได้หายไปหมดสิ้น แล้วจะมีราชันเซียนคนใดบ้างที่กล้าต่อกรกับเฉินซี?
มีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่รู้ชัดเจนว่า ถ้าเขาไม่ได้พึ่งพาพลังแห่งชะตากรรมภายในตำหนัก ราชันเซียนครึ่งขั้นเช่นเขาจะไม่สามารถบรรลุความสำเร็จในการต่อสู้อย่างที่ได้รับในตอนนี้อย่างแน่นอน
แน่นอนว่า หากเขาเผชิญหน้ากับราชันเซียนหนึ่งหรือสองคน แม้ว่าจะไม่ได้พึ่งพาพลังงานภายในตำหนัก เขาก็ไม่เกรงกลัวต่อพวกมันเลย
“พวกมันจงใจทำลายสำนักเรา ไยเจ้าถึงปล่อยพวกมันไป” อาซิ่วทะยานเข้ามา ทั้งยังดูไม่พอใจเล็กน้อย
“กองกำลังเหล่านี้ถูกคนอื่นหลอกใช้ อย่างไรศัตรูของเรายังคงเป็นนิกายอำนาจเทวะ” เฉินซีกล่าวด้วยสีหน้าสงบ
หวังต้าวหลูและอาจารย์คนอื่น ๆ รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เพราะเพียงประโยคเดียวทำให้พวกเขารับรู้ว่า สายตาของเฉินซีไม่ได้จำกัดอยู่เพียงความขัดแย้งระหว่างกองกำลัง ๆ ของภพเซียนเท่านั้น แต่มองถึงภาพรวมของทั้งสามภพ
ในฐานะเจ้าสำนักของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า เขาควรมีท่าทางและวิสัยทัศน์เช่นนี้
“หลังจากนี้ ข้าคงต้องฝากกิจการต่าง ๆ ภายในสำนักให้กับพวกท่านทุกคน ข้าต้องเข้าสู่การปิดด่านบ่มเพาะเป็นระยะเวลาหนึ่ง และมุ่งมั่นที่จะบรรลุสู่ขอบเขตราชันเซียน ก่อนที่นิกายอำนาจเทวะจะบุกโจมตีอีกครั้ง!” เฉินซีหายใจเข้าลึก ๆ ขณะที่มองไปที่หวังต้าวหลูและคนอื่น ๆ จากนั้นจึงกล่าวช้า ๆ
เขารู้ดีว่าศัตรูนั่นน่ากลัวเพียงใด และมีแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น จึงจะสามารถเอาชีวิตรอดในช่วงเวลาที่วุ่นวายเหล่านี้ได้