บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1485 จ้าวพุทธองค์ราตรีสงัด
บทที่ 1485 จ้าวพุทธองค์ราตรีสงัด
บทที่ 1,485 จ้าวพุทธองค์ราตรีสงัด
ท่าทางที่อหังการของเฉินซี ทำให้สีหน้าของเหล่าราชันเซียนที่อยู่ในบริเวณโดยรอบเปลี่ยนไปอีกครั้ง และพวกเขารู้สึกว่าศักดิ์ศรีของตนนั่นถูกหยามอย่างแรง!
ท้ายที่สุด ครั้นเฉินซีเพิ่งเข้าสู่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ผู้อาวุโสเหล่านี้ได้บรรลุขอบเขตราชันเซียนไปตั้งนานแสนนาน และพวกเขาเป็นตัวตนสูงสุดที่ยับยั้งโลกได้ ทั้งยังครอบครองพลังอำนาจอันน่าเกรงขาม ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในภพเซียนต้องตัวสั่นสะท้านเมื่อเผชิญหน้ากับพวกเขา
ในเวลานั้น เฉินซีอาจจะยังไม่เกิดด้วยซ้ำ!
บัดนี้ เด็กน้อยกลับกล้ากล่าววาจาเช่นนี้ ถือเป็นการดูหมิ่นอย่างยิ่ง!
ในความเป็นจริง ความอาวุโสบนเส้นทางแห่งการบ่มเพาะไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุ แต่ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของตนเอง แต่เท่าที่ราชันเซียนเหล่านี้ทราบ เฉินซีเพิ่งบรรลุขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นมาได้สองสามปีเท่านั้น!
แล้วเด็กน้อยเช่นนี้จะกล้าท้าทายพวกเขาได้อย่างไร?
ทว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ไม่เพียงแต่ทำให้ราชันเซียนเหล่านี้โกรธเกรี้ยวเท่านั้น พวกมันยังไม่กล้าเคลื่อนไหวอย่างหุนหันพลันแล่นอีกด้วย!
ย้อนไปก่อนหน้านี้ เมื่อเฉินซีมาถึงตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋า เพียงแค่กระบวนท่าเดียวก็ทำให้ทุกคนตกใจ และโจมตีพวกมันจนต้องถอยร่นกลับไป ยิ่งกว่านั้น ยังทำให้ชายชราผมขาวต้องถอยร่นกลับไปเช่นกัน
ชายชราคนนั้นเป็นตัวตนระดับสูงจากตระกูลเจี้ยง ซึ่งมีนามว่าเจี้ยงทิงฟาง และเขามีชีวิตอยู่มานานจนไม่อาจนับ ในขณะที่ความแข็งแกร่งก็มิอาจหยั่งถึง ทั้งยังเป็นคนรุ่นเดียวกับจ้าวไท่ฉือ ฉือฉางเซิง และอ๋าวจิ่วหุย
ทว่าบัดนี้ เขากลับถูกโจมตีด้วยกระบวนท่าจากราชันเซียนครึ่งขั้น และเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ทั้งหมดนี้ทำให้ราชันเซียนที่อยู่รอบ ๆ ตกตะลึง ทั้งยังรู้สึกแปลก ๆ อย่างบอกไม่ถูก
ท้ายที่สุดแล้ว ราชันเซียนครึ่งขั้นกลับสามารถต่อสู้ข้ามขอบเขตได้จริง ๆ และแม้กระทั่งปะทะกันซึ่งหน้ากับผู้เป็นราชันเซียน ดังนั้นมันจึงน่าเหลือเชื่ออย่างยิ่ง และถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน
“เมื่อมีกิเลสในใจ ก็เป็นเรื่องยากที่จะถอนตัว ดังนั้นช่วยโปรดชี้แนะ เพื่อที่ข้าจะได้ตัดกรรมและขจัดกิเลสในใจด้วย” ทันใดนั้น ราชันเซียนจากภพพุทธองค์ก็กล่าวขึ้น คนผู้นี้สวมชุดผ้าป่าน เท้าเปล่า มีสีหน้าแน่วแน่ นอกจากนี้ดวงตายังลึกราวกับมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ เผยให้เห็นถึงความรู้สึกนึกคิดอันมั่นคงและว่างเปล่า
ฉายาทางธรรมของคนผู้นี้คือ ราตรีสงัด เขาเป็นจ้าวพุทธองค์ในภพพุทธองค์ ประทับนั่งบนดอกบัวทองที่มีกลีบดอกสิบสองกลีบ และทรงแสดงธรรมเทศนาเรื่องอดีตและอนาคต ซึ่งภายในภพพุทธองค์ ก็ได้รับความเคารพว่าเป็นพระโพธิสัตว์ที่แท้จริง
“ถ้าพวกเจ้าต้องการจะต่อสู้ก็เชิญไป แต่ข้าขอถอนตัว” ต่างจากราตรีสงัด ไม่เพียงแต่ราชันเซียนจากเผ่าวิหคอมตะจะไม่โกรธเคืองเมื่อได้ยินคำกล่าวตรงไปตรงมาของเฉินซี นางกลับครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งแทน และตัดสินใจอย่างแน่วแน่
ทันทีที่กล่าวจบ นางก็หันหลังกลับและจากไปโดยไม่ลังเล
สิ่งนี้เกินความคาดหมายของทุกคน แต่ก็ไม่มีใครหยุดนางได้
เฉินซีประสานมือคารวะ แล้วเฝ้าดูหญิงสาวจากไป ในความเห็นของเขา ราชันเซียนจากเผ่าวิหคอมตะคนนี้น่าชื่นชมมากกว่าราตรีสงัดอย่างเห็นได้ชัด เพราะนางรู้จักถอยเมื่อมีโอกาส ดังที่กล่าวไว้ว่า การเต็มใจที่จะสละบางสิ่ง จึงจะสามารถได้รับบางอย่างกลับคืนแทน
“เจ้าแน่ใจหรือว่าต้องการเป็นศัตรูกับข้า?” ในชั่วพริบตาถัดมา เฉินซีก็ฟื้นความเย็นชาและความไม่แยแสอีกครั้ง พลางจ้องมองไปที่ราตรีสงัด
จู่ ๆ บรรยากาศก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายฆ่าฟัน เงียบกริบ
ราชันเซียนคนอื่น ๆ ยังคงนิ่งเงียบ พวกเขาตั้งใจที่จะดูอย่างเย็นชาจากข้างสนาม และพิจารณาความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเฉินซีให้ดี
“โปรดชี้แนะข้าด้วย” ราตรีสงัดประกาศนามของพระโพธิสัตว์ และทันใดนั้น ร่างกายก็เปล่งแสงสีทองอร่ามไปทั่ว แล้วดอกบัวทองสิบสองกลีบก็โผล่ขึ้นมาใต้เท้า มันลุกโชนด้วยเปลวเพลิงกรรมอันบริสุทธิ์ สง่างาม มีเกียรติ และมีกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัว
ยิ่งไปกว่านั้น เสียงสวดภาวนาก็ดังก้องอยู่ในอากาศเบา ๆ ก็เกิดปรากฏการณ์ของมังกรสวรรค์ทะยานฟ้า ดอกไม้สีทองร่วงหล่นลงมาจากนภา และอื่น ๆ อีกมากมายปรากฏขึ้น ซึ่งดูศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่
นี่คือพลังของผู้บ่มเพาะนิกายพุทธ ร่างกายอันทรงพลังซึ่งดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ด้วยเปลวเพลิงกรรม และถูกเรียกว่า กายาอรหันต์ทองคำ มันไร้ขอบเขตและไม่มีสิ่งเจือปนใด ๆ
ชิ้ง!
กระบี่เต๋าวิบัติในมือของเฉินซีกู่ร้องคำราม ทั้งยังเปึ่ยมด้วยรัศมีสีแดงเลือดที่อาฆาตและคลุมเครือ “ผู้เฒ่า ถ้าเป็นในเวลาอื่น ข้าคงจะเคารพเจ้า แต่ตอนนี้เจ้าทำให้ข้าผิดหวังยิ่งนัก”
เสียงของเฉินซีเต็มไปด้วยความดูถูกและน้ำเสียงที่อาฆาตพยาบาท
ในปัจจุบัน ราชันเซียนดาราวีรบุรุษได้รับบาดเจ็บสาหัสและใกล้จะตาย ดังนั้นมีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่ต้องเผชิญหน้ากับราชันเซียนเหล่านี้ทั้งหมด แต่ราตรีสงัดไม่อาจระงับกิเลสในใจได้ และตั้งใจที่จะต่อสู้กับเฉินซี แม้ว่าคนผู้นี้จะดูตรงไปตรงมา แต่ว่าแตกต่างจากคนอื่น ๆ อย่างไร?
ท้ายที่สุด เฉินซีได้กล่าวเอาไว้ว่าจะปล่อยให้ราตรีสงัดและราชันเซียนของเผ่าวิหคอมตะจากไป ทั้งยังไม่ถือสาต่อการบุกรุกสำนักหรือเรื่องที่กระทำตามอำเภอใจ ซึ่งเขาได้ใช้ความอดทนมามากพอแล้ว!
แต่ราตรีสงัดไม่เห็นคุณค่าของความเมตตานี้ และยังคงยืนหยัดที่จะครอบครองหม้อมรดกเต๋าโบราณ เห็นได้ชัดว่าการกระทำดังกล่าวได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของเฉินซีแล้ว!
“โปรดชี้แนะด้วย” ราตรีสงัดมีสีหน้าแน่วแน่ไร้ซึ่งอารมณ์แปรปรวนใด ๆ ร่างกายลุกโชนด้วยเพลิงชะตากรรม ในขณะที่ดอกบัวที่อยู่ใต้เท้าก็เปล่งประกายเจิดจ้า และรัศมีอันสง่างามก็ยิ่งใหญ่มากขึ้น
โครม!
เขาเป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตีก่อนจริง ๆ พลางประสานมือแล้วภาวนาว่า “อมิตาพุทธ!”
มันเป็นไม่กี่คำ แต่ดูเหมือนประกาศิตที่จุติลงมาจากสวรรค์ และมีพลังที่ส่งผลกระทบต่อหัวใจโดยตรง ทันใดนั้นเพลิงชะตากรรมในบริเวณรอบ ๆ ก็ลุกไหม้กลายเป็นเงาภาพของพระโพธิสัตว์จำนวนมาก
เงาภาพเหล่านี้ดูเป็นรูปธรรมและเปล่งรัศมีอันสง่างามสูงสุด มันมีสามเศียรหกกร จ้องมองอย่างเกรี้ยวกราด พลางยิ้มขณะเก็บบุปผา โปรดสัตว์ต่อชาวโลก หรือถือกระบองปราบปีศาจ แส้หางม้า มู่อวี๋ กระดิ่ง ขวดหยก กระบี่ ประคำ และศาสนสมบัตินิกายพุทธอื่น ๆ อีกมากมาย
“นรกจะไม่มีวันสงบจนกว่ามันจะว่างเปล่า โลกก็เปรียบเสมือนต้นโพที่มีชีวิตอยู่หลายชั่วอายุคน แต่ก็ไม่อาจหลีกหนีจากภัยพิบัติได้…”
“โลกไม่เที่ยง ใจไม่เที่ยง ธรรมไม่เที่ยง แม้แต่พระโพธิสัตว์ก็ไม่เที่ยง สรรพสิ่งล้วนว่างเปล่า”
“หากใจเต็มไปด้วยกิเลส ก็ควรตัดขาด ถ้าใจเต็มไปด้วยความกลัว ก็ควรจะแหลกสลาย หากโลกเต็มไปด้วยสิ่งสกปรก โลกก็ควรถูกทำลาย พระโพธิสัตว์นั่นปราศจากมลทิน ดังนั้นจึงไม่มีที่สิ้นสุด!”
เสียงสวดมนต์ภาวนาดังก้องกังวานไปทั้งตำหนัก แสงอันศักดิ์สิทธิ์ก็เปล่งประกายเรืองรอง เงาภาพติดตาของพระโพธิสัตว์มากมายประทับอยู่บนท้องฟ้า ทำให้เกิดปรากฏการณ์ต่าง ๆ ขึ้น!
ทันใดนั้น พื้นที่อันกว้างใหญ่นี้ดูเหมือนจะกลายเป็น ‘สรวงสวรรค์’ มันสว่างไสวไปด้วยประทีปเรืองรอง และพลังศักดิ์สิทธิ์อันไร้ขอบเขต
แต่ทั้งหมดนี้มาจากบทสวดที่ราตรีสงัดท่องเพียงบทเดียว!
ในขณะนี้ ราชันเซียนทั้งหมดที่อยู่รอบ ๆ ได้เคลื่อนตัวออกไปอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากไม่ต้องการที่จะได้รับผลกระทบจากการโจมตีครั้งนี้
ดวงตาของเฉินซีกลายเป็นเย็นชาโดยสิ้นเชิง เพราะอานุภาพของการโจมตีครั้งนี้น่าสะพรึงยิ่ง และมันทำให้เกิดความหวาดกลัวในใจเช่นกัน เพราะเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันตราย
เห็นได้ชัดว่าราตรีสงัดตั้งใจที่จะสังหารอีกฝ่ายในคราเดียว ดังนั้นจึงใช้กระบวนท่าที่ทรงพลังที่สุด เพื่อตัดสินผลแพ้ชนะ!
โครม!
เฉินซีหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นจักรวาลภายในร่างกายก็โคจรอย่างบ้าคลั่ง เจตจำนงกระบี่ระเบิดขึ้นรอบ ๆ ตัวอีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้น กระบี่เต๋าวิบัติในมือก็เปลี่ยนเป็นสีแดงสดจนดูเหมือนโลหิตพร้อมที่จะหลั่งออกจากกระบี่เมื่อใดก็ได้
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เฉินซีตั้งใจจะโจมตี…
ทันใดนั้น เงาภาพของพระโพธิสัตว์จำนวนมากมาย เสียงสวดมนต์อันยิ่งใหญ่ และพลังของเคล็ดวิชาทางนิกายพุทธที่ดูเหมือน ‘สรวงสวรรค์’ กลับถาโถมเข้าใส่ราชันเซียนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงทั้งหมด!
เฉินซีผงะด้วยความตกตะลึง นี่มันอะไรกัน?
ครืน!
ทันใดนั้น แสงสีทองที่ไร้ขอบเขตก็กลายเป็น ‘โลกแห่งเพลิงชะตากรรม’ และมันปกคลุมราชันเซียนทั้งหมดที่อยู่ภายในนั้น!
ในทางกลับกัน ราตรีสงัดนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างใน เขาดูสง่า น่าเกรงขาม และมีสีหน้าที่สงบนิ่ง เผยให้เห็นถึงความรู้สึกเปิดกว้างและว่างเปล่า ยิ่งไปกว่านั้น ร่างกายยังเปล่งปลั่งด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ ในขณะที่ประคอง ‘โลกแห่งเพลิงชะตากรรม’ ไว้
“บัดซบเอ๊ย!”
“ไอ้เฒ่าหัวล้านจอมเจ้าเล่ห์ !นี่มันหมายความว่าอะไร?!”
“เราถูกหลอก! ไอ้เฒ่านี้เป็นพวกเดียวกับไอ้สารเลวจ้อยร่อยนั่น
“มารดามัน! ฆ่าไอ้ลาหัวล้านนี้ซะ!”
เหล่าราชันเซียนต่างโกรธจัดและสีหน้าไม่น่าดูอย่างยิ่ง พวกมันทั้งตกใจและโมโห ซึ่งไม่ว่าจะเค้นสมองคิดสักเพียงใดก็ไม่อาจเข้าใจว่าทำไมเหตุการณ์ดังกล่าวถึงเกิดขึ้นได้
ไม่ใช่แค่พวกมัน แม้แต่เฉินซีก็ตกใจเช่นกัน และเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อ เหตุใดราตรีสงัดจึงทำเช่นนี้? หรือว่า…
“สรรพสัตว์ทั้งหลายจะต้องทนทุกข์ภายใต้ภัยพิบัติ เส้นทางแห่งการบ่มเพาะใกล้จะล่มสลาย และผู้บ่มเพาะมากมายในโลกก็จะค่อย ๆ เข้าใกล้ความตาย แม้แต่ภพพุทธองค์ของข้าก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงสิ่งนี้ได้ ในเวลาเช่นนี้ แม้แต่ข้าก็ยากที่จะมีชีวิตรอด และข้าทำได้เพียงทุ่มสุดตัวเพื่อถ่วงเวลาให้เจ้าได้เพียงหนึ่งก้านธูปเท่านั้น”
“ไปเถอะ จงควบคุมหม้อมรดกเต๋าโบราณให้ได้ แล้วเจ้าจะสามารถควบคุมพลังงานของชะตากรรมทั้งหมดที่มีอยู่ภายในตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋า ในเวลานั้น เจ้าสามารถใช้มันเพื่อสังหารราชัน ทำลายล้างผู้บุกรุก ฆ่าหัวขโมย และกวาดล้างโลก” เสียงของราตรีสงัดดังก้องกังวานภายในหูเฉินซี ทำให้เขาสั่นสะท้านไม่รู้จบ!
ในที่สุด เฉินซีก็เข้าใจแล้ว ราตรีสงัดไม่เคยมีความคิดที่จะเป็นศัตรูกับเขา ทั้งยังตั้งใจที่จะสละชีวิตเพื่อถ่วงเวลาให้ด้วยซ้ำ!
ครืน!
คลื่นเสียงดังก้องมาจาก ‘โลกแห่งเพลิงชะตากรรม’ ในระยะไกล ในขณะที่การต่อสู้อันดุเดือดกำลังดำเนินอยู่ในนั้น ซึ่งดูเหมือนจะน่าสะพรึงอย่างยิ่ง และมิอาจมองเห็นว่าภายในนั้นเกิดอะไรขึ้น
เฉินซีถือกระบี่สีแดงเลือดไว้ในมือพลางจดจ้องไปที่ทั้งหมดนี้
ชายหนุ่มเข้าใจว่าราตรีสงัดหมายถึงอะไร และทราบดีว่าราตรีสงัดรู้ว่าตนไม่อาจต่อกรกับราชันเซียนเหล่านั้น
ตัวเขาเองก็ตระหนักดีว่าตนมีความสามารถที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้และสามารถเผชิญหน้ากับราชันเซียนเหล่านั้นได้ ประกอบกับตราประทับหยกนพกระแสที่เขาครอบครอง ทำให้สามารถใช้พลังแห่งชะตากรรมส่วนหนึ่งที่อยู่ภายในตำหนักได้ ด้วยเหตุนี้ มันก็เพียงพอที่จะทำลายล้างราชันเซียนเหล่านั้น
อย่างไรก็ตาม แม้เขาจะสามารถทำลายล้างราชันเซียนเหล่านั้น แต่ก็มีราชันเซียนหกเจ็ดคนอยู่ที่นั่น และเมื่อพวกมันร่วมพลังกัน แม้แต่เฉินซีก็ไม่กล้ารับประกันว่าจะเป็นฝ่ายมีชัยในการต่อสู้
บางทีราตรีสงัดอาจมองทะลุปรุโปร่ง และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงดำเนินการเช่นนั้น
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีทั้งตกใจและคับข้องใจ ทำไม…เขาถึงทำเช่นนี้?
“เฉินซี มานี่เร็วเข้า!” ราชันเซียนดาราวีรบุรุษที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสพยายามดิ้นรนเพื่อลุกขึ้นยืน จากนั้นเขาก็กล่าวกับเฉินซี “จ้าวพุทธองค์ราตรีสงัดผู้นี้เป็นสหายของท่านเจ้าสำนัก ถ้าเขาไม่ช่วยข้าอย่างลับ ๆ ข้าคงไม่สามารถอยู่รอดได้จนถึงตอนนี้”
เขากล่าวความจริง เพราะก่อนที่เฉินซีจะมาถึง ราชันเซียนดาราวีรบุรุษได้ต่อสู้กับราชันเซียนเจ็ดแปดคนเพียงลำพัง เพื่อที่จะแย่งชิงหม้อมรดกเต๋าโบราณ และหากเป็นยามปกติ เขาคงถูกสังหารไปนานแล้ว
นอกจากความจริงที่ว่า ราชันเซียนเหล่านั้นไม่ได้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทำให้เขาสามารถยืนหยัดมาได้จนถึงตอนนี้ ก็เพราะจ้าวพุทธองค์ราตรีสงัดคอยช่วยเหลืออย่างลับ ๆ แม้จะดูเหมือนโจมตีราชันเซียนดาราวีรบุรุษซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่แท้จริงแล้ว เขาคอยช่วยราชันเซียนดาราวีรบุรุษต้านการโจมตีร้ายแรงหลายครั้ง!
ณ เวลานี้ เฉินซีก็เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด ดังนั้นจึงถอนหายใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพราะก่อนหน้านี้เขาก็เข้าใจผิดจริง ๆ แต่เป็นเพราะความเข้าใจผิดนี้ทำให้เขารู้สึกชื่นชมอีกฝ่ายมากขึ้น
“ข้าจะไปช่วยเขา!” จู่ ๆ เฉินซีก็ตัดสินใจ
“เฉินซี ถ้าเจ้าไม่อยากให้การเสียสละของราตรีสงัดต้องเสียเปล่า จงฉวยโอกาสนี้เพื่อขัดเกลาหม้อมรดกเต๋าโบราณซะ! ในเวลานั้น ข้อจำกัดในสำนักทั้งหมดจะอยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้า และการทำลายล้างราชันเซียนเหล่านั้นก็จะไม่ใช่เรื่องยากเลย!” ราชันเซียนดาราวีรบุรุษควักหม้อสัมฤทธิ์โบราณออกมาแล้วส่งให้เฉินซี
หม้อนี้กลมและหนักมาก มันมีสามขา และด้ามจับสองข้างและมีปากหม้อเพียงช่องเดียว อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ถูกนำออกมา มันก็แผ่กลิ่นอายที่สุดจะพรรณนาออกมา ทำให้รู้สึกเคารพในใจอย่างหักห้ามไม่ได้
ขาทั้งสามของหม้อเป็นตัวแทนของสวรรค์ ปฐพี และมนุษย์ ด้ามจับทั้งสองเป็นตัวแทนของหยินและหยาง และปากหม้อแสดงถึงความโกลาหลเมื่อครั้งโลกก่อตัวขึ้น
หม้อนี้กลมสนิท เพราะมันแสดงถึงความสมบูรณ์แบบในมหาเต๋า และวัฏจักรที่ไร้ขอบเขต
หม้อนี้เป็นตัวของมหาเต๋าที่เคลื่อนไปสู่ความเรียบง่าย จึงไม่มีการตกแต่งใด ๆ
มันเป็นเพียงหม้อใบเดียว แต่กลับทำให้ผู้อื่นรู้สึกราวกับว่าได้เห็นการกำเนิดของความโกลาหล การแบ่งแยกของฟ้าดิน แก่นแท้ของมหาเต๋า สถานการณ์ของทุกสรรพสิ่ง มันบังเอิญชี้ไปที่ความหมายที่แท้จริงของมหาเต๋า ซึ่งเต๋านั้นเป็นไปตามวิถีธรรมชาติ!
นี่คือหม้อมรดกเต๋าโบราณ
สมบัติโบราณหลักของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าที่สยบชะตากรรมมานับไม่ถ้วน!