บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1478 หม้อมรดกเต๋าโบราณ
บทที่ 1478 หม้อมรดกเต๋าโบราณ
……………………………………………………………………..
บทที่ 1478 หม้อมรดกเต๋าโบราณ
ภายในทางเดินหลากสีสันในมิติอันกว้างใหญ่ที่ทับซ้อนกัน
อาซิ่วพาเฉินซีเคลื่อนกายอย่างรวดเร็ว และในเวลาไม่นาน พวกเขาก็มาถึงดินแดนเร้นลับที่เหมือนกับโลกใบเล็ก
“เฉินซี!”
“เจ้าหนู ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว”
ทันทีที่เฉินซีมาถึง เขาสังเกตเห็นคนจำนวนมากยืนอยู่บนแท่นบวงสรวงเต๋า ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังคุยอะไรบางอย่าง และทันทีที่สังเกตเห็นผู้มาใหม่ ทั้งหมดต่างก็อุทานด้วยความยินดี
แต่ที่น่าประหลาดใจ เพราะคนเหล่านี้คือ หัวหน้าอาจารย์ฝ่ายในหวังต้าวหลู เซวียนหยวนพัวจวิน อาจารย์ใหญ่ฝ่ายนอกโจวจื่อหลี อาจารย์ใหญ่ฝ่ายสงวนโอสถเสิ่นฮ่าวเทียน และคนอื่น ๆ ต่างก็อยู่ที่นี่ทั้งหมด
มีคนประมาณยี่สิบกว่าคนอยู่ที่นี่ และทุกคนล้วนเป็นอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในสำนัก
นอกจากพวกเขาแล้ว เยี่ยถัง เจิ่นลู่ จ้าวเมิ่งหลี จี้เซวียนปิง และศิษย์สายในคนอื่น ๆ ก็อยู่ที่นี่เช่นกัน
ทว่า… เขาก็รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย เมื่อคิดว่าหวังต้าวหลูและคนอื่น ๆ ยังคงไม่แยแสต่อเหตุการณ์ที่ปะทุขึ้นภายในสำนัก ทั้งยังซ่อนตัวอยู่ภายในดินแดนเร้นลับแห่งนี้
แต่เฉินซีก็ตระหนักดีว่าขณะนี้เขาไม่ทราบถึงสถานการณ์ที่แน่ชัดภายในสำนัก ดังนั้นจึงไม่เหมาะที่จะระเบิดความโกรธจนลุกเป็นไฟ และทำได้เพียงระงับความไม่พอใจที่อยู่ในอกเอาไว้
“คนอื่น ๆ ไปไหนกันหมด?” ชายหนุ่มกวาดสายตาไปรอบ ๆ และสังเกตเห็นว่ามีศิษย์อยู่ไม่มากนัก
“ไม่ต้องเป็นกังวล ปัจจุบันทางสำนักได้ประสบกับเหตุไม่คาดคิดครั้งใหญ่ เหล่าศิษย์ของพันธมิตรดาราและศิษย์สายในบางส่วนจึงได้รับการปกป้องอยู่ที่อื่น” อาซิ่วอธิบายจากด้านข้าง
“เกิดอะไรขึ้นในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้?” เฉินซีอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วพลางซักถาม เขาเพิ่งเห็นสภาพที่น่าสะพรึงกลัวของสำนัก ทั้งยังถูกขัดขวางและถูกปิดล้อมซ้ำ ๆ ตลอดทาง ทำให้ยังคงมีจิตสังหารคุกรุ่นติดค้างอยู่ในใจ และยังหาที่ระบายไม่ได้
“เฮ้อ เรื่องมันยาว แต่สรุปสั้น ๆ ว่ามันเป็นเพราะภัยพิบัติ!” หวังต้าวหลูกล่าวขณะที่คิ้วขมวดเข้าหากัน ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความกังวล ในขณะที่อธิบายทุกอย่างให้เฉินซีฟัง
ปรากฏว่าหลังจากภัยพิบัตินี้พัดผ่านทั้งสามภพ และพร้อมกับการจากไปของเหมิงซิงเหอ หัวเจี้ยนคง จ้าวไท่ฉือ ฉือฉางเซิง อ๋าวจิ่วหุย และคนอื่น ๆ สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าก็ตกอยู่ในความยุ่งเหยิง
เหมือนกับฝูงมังกรที่ไร้ผู้นำ ทุกคนต่างหวาดกลัวและไม่สบายใจ ประกอบกับบางคนที่ต้องการครอบครองตำแหน่งเจ้าสำนักและก่อให้เกิดปัญหาภายในขึ้น แม้แต่หวังต้าวหลูและอาจารย์คนอื่น ๆ ก็ไม่มีอำนาจที่จะควบคุมสถานการณ์ ทำให้สำนักตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อสามวันก่อน อาจารย์จากตระกูลจงหลี ตระกูลว่านฉี และตระกูลเจี้ยงได้ร่วมมือกัน โดยมีจุดประสงค์ที่จะครอบครองตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋า เพื่อที่จะเลือกเจ้าสำนักคนใหม่
มันเสมือนหินเพียงก้อนเดียวที่ทำให้เกิดคลื่นนับพัน ทันทีที่มันเกิดขึ้น ก็เกิดการต่อต้านอย่างรุนแรงจากอาจารย์และศิษย์จำนวนมากทันที ทว่ามหาอำนาจทั้งสามยังคงยืนกราน อีกทั้งยังบดขยี้การต่อต้านทั้งหมดด้วยวิธีการอันนองเลือด เหล่าอาจารย์และศิษย์หลายคนล้มตายจากเหตุการณ์นี้ และทำให้สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าตกอยู่ในความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ไม่ใช่แค่นั้น ในช่วงสถานการณ์ที่วุ่นวายนี้ ตระกูลจี้ ตระกูลมู่ ภพมังกร เผ่าวิหคอมตะ และมหาอำนาจอื่น ๆ ภายในสำนักก็เริ่มสนับสนุนผู้สมัครที่พวกเขาเลือกไว้ให้เข้าชิงตำแหน่งเจ้าสำนัก
สรุปแล้ว เนื่องจากมีมหาอำนาจมากมายเข้าร่วม การเปลี่ยนแปลงในสำนักจึงตกอยู่ในความวุ่นวายโกลาหล ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หวังต้าวหลูและคนอื่น ๆ ทำได้เพียงหลีกเลี่ยงความรุนแรงของการเปลี่ยนแปลง และหลบซ่อนตัวชั่วคราว
ยุ่งเหยิง!
มันยุ่งเหยิงจนยากที่จะจัดการ!
นี่คือสิ่งที่เฉินซีรู้สึกหลังจากที่ฟังเรื่องทั้งหมดนี้จบ และนี่แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ของสำนักได้มาถึงสภาวะที่รุนแรงและอันตรายอย่างยิ่งแล้ว
โดยเฉพาะเมื่อเขาได้ยินว่าแม้แต่กองกำลังเก่าแก่เช่นตระกูลจี้ ตระกูลมู่ เผ่าวิหคอมตะ ภพพุทธองค์ และภพมังกร ล้วนแล้วแต่ตั้งใจที่จะชิงตำแหน่งเจ้าสำนัก ใบหน้าของเฉินซีก็มืดลงทันที
“ทั้งหมดนี่หมายความว่าอะไร?” เฉินซีมีสีหน้าไร้อารมณ์ขณะเหลือบมองที่จี้เซวียนปิง จ้าวเหมิงลี่ และเจิ่นลู่ ทำให้หัวใจของพวกเขาสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
ในปัจจุบัน ทุกคนล้วนตระหนักดีว่า เฉินซีได้รับมรดกของจักรพรรดิเต๋าและเป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียวที่มีคุณสมบัติที่จะสืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนัก หากกล่าวตามหลักเหตุผลแล้ว จี้เซวียนปิงและคนอื่น ๆ ควรเข้าใจสิ่งนี้
“เฉินซี เจ้าเข้าใจผิดแล้ว นั่นคือเจตจำนงของตระกูล และไม่ใช่สิ่งที่เราจะต้านทานได้ ทว่าสำนักกำลังตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย และท่านเจ้าสำนักก็ไม่ได้ประกาศผู้สืบทอดก่อนออกเดินทาง ด้วยเหตุนี้ ตระกูลจงหลี ตระกูลว่านฉี และตระกูลเจี้ยงจึงสามารถต่อสู้เพื่อชิงตำแหน่งเจ้าสำนัก ดังนั้นกองกำลังอื่น ๆ จึงไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้เช่นนั้น” จี้เซวียนปิงกล่าวด้วยน้ำเสียงขมขื่นและอธิบายสั้น ๆ
“พวกมันสร้างความวุ่นวายที่เป็นอันตรายต่อเหล่าอาจารย์และศิษย์ของสำนัก เพียงเพื่อตำแหน่งเจ้าสำนักเท่านั้นเหรอ? นั่นเป็นตรรกะความคิดแบบใดกัน?” คิ้วของเฉินซีขมวดเข้าหากัน คำพูดที่กล่าวเผยให้เห็นน้ำเสียงที่เข้มงวดซึ่งหาได้ยาก และทุกการเคลื่อนไหวก็เผยกลิ่นอายยับยั้งอันสง่างาม
“ไม่ต้องกล่าวถึงว่าภัยพิบัติได้พัดผ่านทั้งสามภพไปแล้ว นิกายอำนาจเทวะได้คว้าโอกาสนี้ในการกวาดล้าง ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พวกมันไม่คิดที่จะร่วมกันต่อต้านศัตรูที่น่าเกรงขาม แต่กลับก่อให้เกิดความขัดแย้งภายใน พวกมันสมควรตาย!”
ทุกคนเงียบเหมือนจักจั่นในฤดูหนาว
แม้แต่หวังต้าวหลูและอาจารย์คนอื่น ๆ ก็ประหลาดใจอย่างมาก พวกเขาสังเกตเห็นอย่างชัดเจนว่าปัจจุบันเฉินซีไม่เหมือนกับเมื่อก่อน คล้ายกลายเป็นคนละคน ทั้งยังมีพลังวิญญาณที่น่าประทับใจ
“เฉินซีมีบางอย่างที่เจ้าไม่รู้ อันที่จริงสถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายนัก เนื่องจากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าของเรามีเทพสิบคนคอยประจำการอยู่ในสำนัก ดังนั้นแม้ว่าเจ็ดตระกูลโบราณที่ยิ่งใหญ่จะร่วมกันก็ยังไม่น่าหวั่นเกรง แต่พร้อมกับการมาถึงของภัยพิบัตินี้ ทำให้ไม่หลงเหลือเทพสักคนในสำนัก”
หวังต้าวหลูถอนหายใจ “สิ่งสำคัญที่สุด แม้แต่หัวเจี้ยนคง ฉือฉางเซิง จ้าวไท่ฉือ และผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ในขอบเขตราชันเซียนก็หายไปทีละคน และมันทำให้กองกำลังเหล่านี้ฉวยโอกาส เนื่องจากสำนักไร้ซึ่งการป้องกัน”
ทันทีที่สิ้นคำ เฉินซีก็เข้าใจปัญหาได้ชัดเจนมากขึ้น เพราะพวกหวังต้าวหลูไม่รู้ว่าฉือฉางเซิงและคนอื่น ๆ ได้บรรลุขอบเขตเทวาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่หัวเจี้ยนคงก็ยังติดตามพวกเขาไปยัง เขตแดนโลกาวินาศ
นี่หมายความว่าอย่างไร?
มันหมายความว่าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าไม่เพียงแค่ไม่มีเทพที่คอยดูแลสถานการณ์โดยรวมในสำนักเท่านั้น อีกทั้งยังไม่มีแม้แต่ราชันเซียนแม้แต่คนเดียวในสำนัก แล้วจะสยบมหาอำนาจเหล่านั้นไม่ให้เกิดความโลภในตำแหน่งเจ้าสำนักได้อย่างไร?
ท้ายที่สุดแล้ว แม้แต่ตระกูลที่ยิ่งใหญ่อย่างตระกูลจั่วชิว ในอดีตก็มีเพียงราชันเซียนอยู่สองสามคน หากอาจารย์ของกองกำลังอื่น ๆ นำราชันเซียนของตระกูลบุกเข้าโจมตีสำนักและต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนัก ก็คงยากที่จะจัดการ
ตัวอย่างเช่นว่านฉีชิงที่เฉินซีพบก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นราชันเซียนจากตระกูลว่านฉี!
ในทางกลับกัน หากตระกูลว่านฉี ตระกูลจงหลี ตระกูลเจี้ยง และมหาอำนาจอื่น ๆ ต่างส่งราชันเซียน ออกไปเพื่อต่อสู้ชิงตำแหน่งเจ้าสำนัก สถานการณ์เช่นนี้เป็นสิ่งที่หวังต้าวหลูและคนอื่น ๆ ไม่สามารถต้านทานได้อย่างแน่นอน
ในที่สุดเฉินซีก็เข้าใจทุกอย่างทะลุปรุโปร่ง ประกายเย็นสองสายวูบวาบอยู่ในดวงตา แล้วจึงกล่าวอย่างไม่แยแส “ดูเหมือนพวกมันจะคิดว่าไม่มีผู้มีความสามารถหลงเหลืออยู่ในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าของเราแล้ว!”
ทุกคำที่กล่าวนั้นเด็ดเดี่ยว มีพลัง และพลุ่งพล่านด้วยจิตสังหารที่ไร้ขอบเขต!
ทันทีที่กล่าวจบ ชายหนุ่มก็หันหลังตั้งใจจะออกไป
“เฉินซี เจ้าคิดจะทำอะไร?!” หัวใจของหวังต้าวหลูตึงเครียด และกล่าวอย่างเร่งรีบ
“ไปฆ่าศัตรูของเรา” เฉินซีกล่าวเบา ๆ สถานการณ์ตอนนี้ปั่นป่วนวุ่นวายอย่างสุดขั้ว ทว่าเขาไม่สนใจที่จะใส่ใจเกี่ยวกับสาเหตุของมัน เพราะทุกคนที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ล้วนสมควรตาย!
“เจ้า…” หวังต้าวหลูกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “นี่มันต่างอะไรกับการเอาชีวิตของเจ้าไปทิ้ง? ปัจจุบัน เจ้าได้รับมรดกของจักรพรรดิเต๋าแล้ว ตราบใดที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ ก็ย่อมมีวันที่เจ้าจะสามารถกอบกู้ทุกสิ่งกลับคืนมาได้ แล้วเจ้าจะเอาชีวิตไปเสี่ยงทำไม!?”
“แล้วเจ้าจะตอบแทนความไว้วางใจของเจ้าสำนักด้วยการกระทำเช่นนี้หรือ? เฉินซี การฝืนอดกลั้นไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป!”
“เฉินซี ไม่ใช่ว่าเราไม่เต็มใจที่จะต่อสู้เพื่อสำนัก ทั้งยังไม่เต็มใจที่จะต้องทนต่อความอัปยศอดสูและซ่อนตัวอยู่ที่นี่ ถ้าไม่ใช่เพื่อประโยชน์ในการรักษามรดกของสำนัก เราคงเสี่ยงชีวิตต่อสู้ไปนานแล้ว!”
อาจารย์คนอื่น ๆ พยายามห้ามปรามเฉินซี พวกเขาต้องการให้เฉินซีอดทนไว้ก่อน และไม่ทำอะไรที่หุนหันพลันแล่นเกินไป
จู่ ๆ เฉินซีก็หยุดเคลื่อนไหว จากนั้นก็กวาดสายตาผ่านทุกคน พลางจ้องมองความกังวลและความคับข้องใจที่ปรากฏบนใบหน้าของอีกฝ่าย แล้วอดไม่ได้ที่จะหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่จะควักสมบัติอมตะสองชิ้นออกมา
อันหนึ่งคือหอกทลายวิญญาณเขียว และอีกอันคือปิ่นทองคำวิญญาณอัสนี ซึ่งพวกมันลอยอยู่กลางอากาศพร้อมกับปล่อยพลังอันไร้ขอบเขตออกมา
“สมบัติชิ้นนี้เป็นของศิษย์ชั้นสูงของนิกายอำนาจเทวะอูถิง!”
“ส่วนนี่คือปิ่นทองคำวิญญาณอัสนีที่เป็นของผู้อาวุโสขอบเขตราชันเซียนของตระกูลว่านฉี ว่านฉีชิง!”
สมบัติอมตะทั้งสองนี้ถูกจดจำได้ในทันที ทุกคนรู้สึกประหลาดใจและสับสนอย่างยิ่ง
อย่าบอกนะว่า…
“ใช่แล้ว พวกเขาทั้งคู่ถูกข้าสังหารแล้ว” ทันทีที่กล่าวจบ เฉินซีก็หันหลังกลับและจากไป
ทุกคนสั่นสะท้านราวกับถูกฟ้าผ่า และม่านตาก็ขยายออก ในขณะที่คลื่นพายุโหมกระหน่ำในใจ เฉินซีสังหารราชันเซียนสองคนด้วยตัวเขาเองจริง ๆ หรือ? แต่เขา… เห็นได้ชัดว่าอยู่ที่ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นเท่านั้น!
“ไม่ว่ามันจะเป็นจริงหรือไม่ก็ตาม เนื่องจากเฉินซีได้ตัดสินใจแล้ว เราก็ไม่ลังเลเช่นกัน!” โจวจื่อหลี อาจารย์ใหญ่ฝ่ายนอกสูดลมหายใจลึก ๆ ดวงตาพลันทอประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นจึงกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “อาจารย์ที่มีการบ่มเพาะขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้น โปรดมากับข้าเพื่อสนับสนุนเฉินซีด้วย ส่วนคนอื่น ๆ รออยู่ที่นี่!”
หลังจากที่ออกจากดินแดนเร้นลับ และเดินผ่านทางเดินที่เต็มไปด้วยสีสัน เฉินซีก็กลับมาที่สำนักอีกครั้ง
เขตฝ่ายในตั้งอยู่ตรงหน้า มันเงียบกริบ เสียงการต่อสู้ที่ได้ยินก่อนหน้านี้หายไป คล้ายม่านของทุกสิ่งจะถูกรูดปิดลง
“ขณะนี้ พวกมันกำลังต่อสู้เพื่อควบคุมตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋า ซึ่งเป็นศูนย์กลางของทั้งสำนัก ตราบใดที่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกมัน ก็เทียบได้กับควบคุมทั้งสำนัก” หวังต้าวหลู โจวจื่อหลี และคนอื่น ๆ ที่ได้รับคำสั่งรีบวิ่งไปรวมตัวกันด้านหลังเฉินซี
เฉินซีเคยได้ยินเกี่ยวกับตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋าเช่นกัน และมันตั้งอยู่ที่ส่วนลึกของเขตฝ่ายใน ตามตำนานกล่าวขาน จักรพรรดิเต๋าเป็นผู้สร้างมันด้วยตัวเอง และเป็นสถานที่บ่มเพาะของเจ้าสำนักมาโดยตลอด ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีหม้อเก่าแก่โบราณอยู่ข้างใน ซึ่งคอยควบคุมข้อจำกัดทั้งหมดในสำนัก และมันถูกเรียกว่าหม้อมรดกเต๋าโบราณ
หม้อนี้ไม่เพียงแต่ควบคุมข้อจำกัดมากมายภายในสำนัก แม้แต่ระฆังเต๋าแห่งการประชันในลานด้านนอก กระจกศักดิ์สิทธิ์กระแสสวรรค์ในฝ่ายบำเพ็ญเต๋า คัมภีร์หยกเต๋าเรืองรองในฝ่ายสงวนคัมภีร์ หรือหม้อศักดิ์สิทธิ์เก้าลึกล้ำในฝ่ายสงวนโอสถและสมบัติอื่น ๆ อีกมากมาย ล้วนเชื่อมต่อหากันจากระยะไกล
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ตราบใดที่ใครคนหนึ่งเข้าควบคุมหม้อมรดกเต๋าโบราณ คนผู้นั้นก็จะสามารถควบคุมทั้งสำนักได้ไม่มากก็น้อย เห็นได้ชัดว่าเหล่ามหาอำนาจที่สร้างปัญหาในสำนัก กำลังมุ่งเป้าไปที่หม้อมรดกเต๋าโบราณ
เมื่อทราบเรื่องทั้งหมดนี้ ร่างสูงใหญ่จึงมุ่งหน้าไปยังลานชั้นในอย่างไม่ลังเล
ตลอดทาง บริเวณโดยรอบยังคงปกคลุมไปด้วยซากปรักหักพังราวกับถูกปล้นสะดม ลานชั้นในทั้งหมดอยู่ในความยุ่งเหยิง และเหตุการณ์นั้นก็น่าพรั่นพรึง พลังที่มีอยู่ในอดีตก็หายไปหมดสิ้น
สิ่งนี้ทำให้เจิตสังหารในหัวใจของเฉินซีเดือดดาลมากขึ้น และเกือบจะไม่สามารถยับยั้งมันได้
สำนักที่เป็นเหมือนสรวงสวรรค์ที่งดงามของเหล่าเซียน ถูกปกคลุมไปด้วยภาพแห่งความรกร้างและการทำลายล้าง แล้วเฉินซีจะทนมันได้อย่างไร?
“หยุด! สถานที่แห่งนี้ถูกปิดผนึกแล้ว! รีบออกไปจากที่นี่ซะ!” ทันใดนั้น อาคารขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นในระยะไกล ราวกับกำแพงเมืองที่ทอดยาวผ่านท้องฟ้าและตั้งตระหง่านอยู่ในเมฆ พร้อมกับชายวัยกลางคนสวมชุดดำยืนอยู่บนเมฆ ซึ่งตวาดด้วยเสียงทุ้มลึกราวกับฟ้าคำราม