บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1398 พลังแห่งจุดจบ
บทที่ 1398 พลังแห่งจุดจบ
บทที่ 1398 พลังแห่งจุดจบ
ครืน!
ทันใดนั้น หลิงชิงอู๋และเยี่ยถังต่างตกตะลึง เพราะในระยะสายตา มีแสงของยามสนธยาที่พร่ามัวอย่างน่าประหลาดใจ ทั้งยังแยกม่านราตรีนิรันดร์ออกจากกัน…
สาเหตุที่ทำให้พวกเขาตกใจ คือแสงยามสนธยานี้ไม่ได้มาจากฟากฟ้า แต่มาจากเฉินซี!
ในเวลานี้ เฉินซีดูเหมือนจะกลายเป็นคนละคน แม้จะยังคงกระอักเลือด เสื้อผ้าขาดวิ่น ใบหน้าซีดเผือดจนแทบโปร่งแสงอย่างน่าสยดสยอง ทว่าร่างกายกลับท่วมท้นด้วยรัศมีแห่งความมืด ประหนึ่งทวยเทพที่ยืนตระหง่านกลางแสงของยามสนธยา เผยถึงกลิ่นอายที่โดดเดี่ยว ทรงพลัง และงดงาม
ในสระโลหิตที่ลอยอยู่ใต้ท้องฟ้า แสงสีเลือดพลุ่งพล่านอย่างไม่รู้จบคล้ายถูกกระตุ้น มันแผ่กลิ่นอายที่น่าหวาดกลัวและน่าสยดสยองยิ่ง ทั้งยังมองเห็นร่างของหุ่นเชิดศึกภพอดีตได้เพียงเลือนราง
โอม!
อย่างไรก็ดี เฉินซีที่ยืนอยู่กลางอากาศก็เงยหน้าขึ้นมอง พลันเหยียดฝ่ามือทั้งคู่ออกไป ก่อนที่จะกดลงไปในตรงหน้าอย่างรุนแรง การเคลื่อนไหวของเขานั้นราบรื่นประหนึ่งราวกับคนละโลก
หลังจากการเคลื่อนไหวที่ไร้กังวล พลังงานอันน่าสะพรึงกลัวที่แฝงอยู่ภายในแสงของยามสนธยา พลันพุ่งปกคลุมสระโลหิตทันที
พลังงานนั้นคลุมเครือ เย็นยะเยือก ราวกับเป็นจุดสิ้นสุดของกาลเวลาและจักรวาล มันมีกลิ่นอายเศร้าโศก ทั้งยังทรงพลัง ซึ่งให้ความรู้สึกว่าไม่มีผู้ใดต้านทานได้
ทันทีที่ปรากฏขึ้น ฟ้าดินก็ตกอยู่ในความเงียบงัน หากผืนฟ้า แผ่นดิน กาลเวลา และอวกาศยังมีชีวิต พร้อมกับการปรากฏของพลังงานนี้ ทุกชีวิตดูเหมือนจะถูกพิพากษา และกำลังจะดับสูญ…
เต๋ารู้แจ้งแห่งจุดจบ สนธยายามของเหล่าทวยเทพ!
หลังจากสนธยา ก็กลายเป็นความเงียบชั่วนิรันดร์และความมืดมิดตลอดกาล ซึ่งเตรียมพร้อมที่จะเปิดศักราชแห่งรุ่งอรุณที่กำลังจะมาถึง!
“นี่มัน…” หลิงชิงอู๋และเยี่ยถังตกตะลึงพึงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พวกเขาอ้าปากค้าง สบตากัน และตะโกนพร้อมกันโดยไม่ได้ตั้งใจ “มหาเต๋าแห่งจุดจบ!”
พวกเขาจะไม่รู้จักพลังงานซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามในสามภพได้อย่างไร?
เพราะมันคือจุดจบ! และเป็นแก่นแท้ของวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่
ในช่วงต้นของยุคบรรพกาล สิ่งต้องห้ามนี้ได้ทำให้เกิดฝนโลหิตนับไม่ถ้วน มันทำให้เหล่าทวยเทพในโลกขุ่นเคือง และท้ายที่สุด ก็จบลงด้วยการความตายของจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สาม
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สิ่งต้องห้ามนี้ได้เลือนหายไปตามกาลเวลา และไม่เคยปรากฏในโลกอีกเลย ทว่าพวกเขากลับไม่เคยคาดคิดมาก่อน ว่าจะเห็นสิ่งนี้จากเฉินซีที่เป็นเพียงเซียนปราชญ์ ทั้งยังได้สัมผัสถึงพลังงานของสิ่งต้องห้ามอันน่าสะพรึงกลัวในตอนนี้!
แสดงให้เห็นว่าพวกเขารู้สึกตกตะลึงมากเพียงใด
ขณะเดียวกัน ในพื้นที่อันเป็นอิสระและลึกลับภายในส่วนลึกของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า จู่ ๆ ก็มีเสียงถอนหายใจดังขึ้น “หลังจากผ่านไปหลายปี มันก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง… ในเวลานี้ที่กลียุคของทั้งสามภพใกล้มาถึง มันจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายกันแน่?”
ยมโลก ณ ภูมิภาคน้ำพุยมโลก
ที่ด้านข้างของห้องโถงใหญ่ มีแท่นสูงที่ตั้งตระหง่านขึ้นไปบนท้องฟ้า มหาจักรพรรดิน้ำพุยมโลกที่มีร่างผอมบาง ยืนอยู่ที่ขอบของแท่นสูงโดยเอามือไพล่หลังไว้ และจ้องมองไปที่โลกที่ไร้ขอบเขตในระยะไกล
“ดาบแห่งการพิพากษา จักรพรรดินีโลหิต? ฮ่า ๆ! เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ จากตระกูลชุยนั้นไม่ธรรมดาจริง ๆ นางเข้าควบคุมโถงยายเฒ่าเมิ่งและประตูนรกไว้ในมือ… น่าเสียดายที่นางยังขาดความสำเร็จบางอย่าง หากนางต้องการควบคุมหกวิถีสังสารวัฏ และสยบโถงราชันนรกทั้งสิบ… ” มหาจักรพรรดิน้ำพุยมโลกถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ เมื่อหวนนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในยมโลกในช่วงเวลานี้
ตั้งแต่ราชาฉู่เจียง ราชาฉินก่วง และราชาซ่งตี้ถูกสังหาร ยมโลกก็ตกอยู่ในกลียุคครั้งใหญ่
ไม่ว่าจะเป็นโถงน้ำพุยมโลก โถงยายเฒ่าเมิ่ง ประตูนรก หกวิถีสังสารวัฏ หรือโถงราชันนรกทั้งสิบ… มหาอำนาจต่าง ๆ ในยมโลกทั้งหมด ต้องเผชิญกับความขัดแย้งภายในและเข้าสู่สงครามที่โกลาหลวุ่นวาย ทำให้ไฟสงครามโหมกระหน่ำไปทั่ว ในขณะที่ความสับสนวุ่นวายแพร่กระจายไปทั่วแผ่นดิน
ไม่มีใครสามารถหยุดเรื่องนี้ได้ เว้นแต่จักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง แต่นั่นเป็นไปไม่ได้
“หากเฉินซียังอยู่ที่นี่ ชื่อเสียงของสาวน้อยจากตระกูลชุยก็คงจะด้อยกว่าเขากระมัง?” มหาจักรพรรดิน้ำพุยมโลกนึกถึงชายหนุ่มรูปงามคนนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ และชั่วขณะหนึ่ง หัวใจกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง เพราะชายหนุ่มคนนั้นเป็นผู้สืบทอดของจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สาม ทว่าเขาได้หนีไปยังภพเซียนแล้ว…
โอม~
ทันใดนั้น คลื่นผันผวนแปลกประหลาดแผ่ออกมาจากร่างกายของเขา จากนั้นใบหน้าของมหาจักรพรรดิน้ำพุยมโลกก็แข็งทื่อ เขาจึงตรวจสอบอย่างระมัดระวังและค้นพบ ว่ามันเกิดจากระเบียนแดนมรณะและพู่กันพิพากษามารที่ซ่อนไว้ในสมบัติลับ หลังจากที่เงียบงันมาหลายปี พวกมันก็เปล่งแสงแห่งสนธยายามออกมา…
หลังจากนั้น มันก็หายไปในพริบตา และพวกมันก็กลับคืนสู่ความเงียบงันอีกครั้ง
ทว่ามหาจักรพรรดิน้ำพุยมโลกกลับดูตื่นเต้นอย่างยิ่ง เขาฟาดฝ่ามือลงกับรั้วของแท่นสูงขณะที่หัวเราะดังสนั่น “มันปรากฏขึ้นแล้วจริง ๆ ท่านจักรพรรดิ… มีผู้สืบทอดแล้ว!”
…
ณ สระโลหิตอดีตชาติ
สนธยายาม!
จุดจบ!
หลังจากผ่านไปหลายปีจนไม่อาจนับ มันก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งในโลก และเฉินซีก็ใช้ออกไปในรวดเดียว เพื่อปกคลุมสระโลหิตไว้
ทันใดนั้น สระเลือดที่พลุ่งพล่านและเดือดดาลแต่เดิม ก็ถูกย้อมด้วยแสงของสนธยายาม และค่อย ๆ กลับไปสู่ความเงียบงัน
ในทางกลับกัน แสงสีเลือดที่เปล่งประกายบนร่างของหุ่นเชิดศึกภพอดีต ซึ่งแต่เดิมกำลังจะฟื้นคืนชีพอีกครั้ง ได้ถูกทำลายเป็นชิ้น ๆ มันถูกกระชากออกจากกัน ทันใดนั้น มันก็กลายเป็นมวลเลือดที่หายไปในสระโลหิต
แสงของสนธยายามค่อย ๆ หายไป ฟ้าดินก็กลับมาถูกม่านราตรีนิรันดร์ปกคลุมอีกครั้ง สระโลหิตอดีตชาติก็กลับคืนสู่ความเงียบงัน เมื่อเรื่องทั้งหมดนี้จบลง หลิงชิงอู๋และเยี่ยถังก็หายจากอาการตกใจได้ในที่สุด ทว่าทั้งสองยังคงมึนงงอย่างมาก
มันถูกทำลายแล้วหรือ?
ใช่แล้ว มันถูกทำลายไปแล้ว
หุ่นเชิดศึกภพอดีตที่ครอบครองพลังของราชันเซียนครึ่งขั้น ถูกทำลายล้างโดยเต๋ารู้แจ้งแห่งจุดจบก่อนที่มันจะปรากฏสู่โลก!
ถึงอย่างนั้น หลิงชิงอู๋และเยี่ยถังก็ยังคงมึนงง เต๋ารู้แจ้งแห่งจุดจบ! หรือว่าเฉินซี… คือผู้สืบทอดของจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สาม? หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ผลที่ตามมาก็คงยากจะจินตนาการได้!
ตุบ!
ร่างของเฉินซีสั่นกลางอากาศ ก่อนที่จะล้มลงทันที เขาหอบหายใจหนัก ใบหน้าซีดเผือดอย่างน่าสยดสยอง ทว่าดวงตากลับสลัว ที่หน้าผากเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าอย่างหนัก และเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อเยียบเย็น
เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้เข้า หลิงชิงอู๋และเยี่ยถังก็ได้สติอย่างสมบูรณ์ พวกเขาสบตากัน จากนั้นก็หลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องนี้โดยปริยาย
“เฉินซี เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?”
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ไหวหรือไม่?”
ทั้งสองมาถึงที่ด้านข้างของเฉินซี ท่าทางเต็มไปด้วยความกังวล เมื่อเห็นร่างที่บาดเจ็บสาหัสของเขา
“ไม่เป็นไร ข้ายังไหว” เฉินซีฝืนยิ้มออกมา ชายหนุ่มยังคงประคองสติอยู่ได้ แต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะต่อสู้อีกต่อไป เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะมันไม่เหลือร่องรอยของพลังในร่างกายแม้แต่น้อย
แต่ที่สำคัญที่สุด เขาใช้เต๋ารู้แจ้งแห่งจุดจบไปอย่างเต็มที่ก่อนหน้านี้ ทำให้เกิดความเหนื่อยล้าอย่างรุนแรง พลังในร่างกายก็แทบจะแห้งเหือดสิ้น ดังนั้นจึงเป็นเรื่องโชคดีที่สามารถเอาชีวิตรอดโดยไม่ต้องทำร้ายตัวเองนานนัก
เมื่อคิดถึงเต๋ารู้แจ้งแห่งจุดจบ ความรู้สึกซับซ้อนก็ผุดในใจของเฉินซีอย่างห้ามไม่ได้
เมื่อหลายปีก่อนตอนที่อยู่ในยมโลก เขาเดินทางผ่านทะเลทุกข์เพียงลำพังเพื่อช่วยเหลือชิงซิ่วอี้ และได้ต่อสู้กับราชาฉู่เจียงที่ภูเขาหมื่นกระแส ทว่ากลับถูกการโจมตีประสานจากราชาฉู่เจียง ราชาฉินก่วง และราชาซ่งตี้
ในเวลานั้น แม้จะได้รับความช่วยเหลือจากมหาจักรพรรดิน้ำพุยมโลก เฉินซีก็ไม่อาจต่อกรพวกเขาได้เลย
แต่ท้ายที่สุด เฉินซีกลับได้รับชัยชนะ ราชาฉู่เจียง ราชาฉินก่วง และราชาซ่งตี้ถูกสังหารอย่างไร้ปรานี
เหตุผลก็คือ ในช่วงเวลาวิกฤต จิตสำนึกของจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามได้ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน จากนั้นอาศัยระเบียนแดนมรณะและพู่กันพิพากษามารเพื่อกำจัดศัตรูของเฉินซีในรวดเดียว!
แต่นั่นไม่สำคัญ ประเด็นหลักก็คือ จิตสำนึกของจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามได้ทิ้งตราประทับไว้ในตัวเฉินซี ก่อนที่มันจะหายไปอย่างสมบูรณ์
ตราประทับนั้นถูกซ่อนอยู่ในจิตสำนึก และมันก็เหมือนกับเปลวไฟที่ริบหรี่ด้วยสีของสนธยายาม
มันคือเต๋ารู้แจ้งแห่งจุดจบ!
การจะทำความเข้าใจมันหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความคิดของเฉินซีเพียงผู้เดียว
ในเวลานั้น เฉินซีย่อมปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าจะเข้าสู่ภพเซียน เขาก็ไม่เคยคิดที่จะฝึกฝนมันเลย เพราะมันเป็นสิ่งต้องห้ามที่ก่อให้เกิดแก่นแท้ของกฎแห่งสังสารวัฏ แต่ที่สำคัญที่สุด คือเต๋ารู้แจ้งแห่งจุดจบจะกระตุ้นจิตสังหารของเหล่าทวยเทพในโลก และทำลายล้างจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามในท้ายที่สุด
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ย่อมไม่มีทางที่เฉินซีจะทำความเข้าใจกับสิ่งต้องห้ามดังกล่าว
ทว่าตอนนี้… เพื่อเอาชนะหุ่นเชิดศึกภพอดีต เพื่อรับมรดกของจักรพรรดิเต๋า และเพื่อให้ได้รับชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้เต๋ารู้แจ้งแห่งจุดจบ
แน่นอนว่าอย่างน้อยเขาก็ทำสำเร็จ แต่ก็กังวลอย่างอดไม่ได้ ข้าควรทำอย่างไรดี หากผู้เยี่ยมยุทธ์จากโลกภายนอกสังเกตเห็น?
โชคดีที่โลงศพเซียนยมโลกได้ยับยั้งพลังงานของเต๋าสวรรค์ ดังนั้นไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถรับรู้ต่อสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ได้ มิฉะนั้น ผลที่ตามมาก็คงยากจะจินตนาการ…
เฉินซีหายใจเข้าลึก ๆ และสลัดความคิดฟุ้งซ่านไปจากใจ เพราะถึงอย่างไร มันก็เกิดขึ้นแล้ว ดังนั้นการคิดถึงเรื่องนี้ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์
“ช้าก่อน! ในเมื่อหุ่นเชิดศึกภพอดีตพ่ายแพ้แล้ว นั่นหมายความว่าการทดสอบสิ้นสุดลง แล้วเหตุใดจึงไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย”
เยี่ยถังรู้สึกสับสน จากนั้นขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “สระโลหิตอดีตชาติคือการทดสอบครั้งสุดท้าย และสามารถได้รับมรดกของจักรพรรดิเต๋าหลังจากผ่านการทดสอบนี้ ทว่าท้องฟ้าและแผ่นดินอันกว้างใหญ่นี้กลับเงียบกริบ และไม่มีร่องรอยของมรดกเลย มันน่าสงสัยจริง ๆ”
“เหลือเวลาอีกไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา ก่อนที่แดนโบราณจักรพรรดิเต๋าจะปิดตัวลง หากเรายังไม่ได้รับมรดกของจักรพรรดิเต๋า ครั้งนี้เราคงไม่ประสบความสำเร็จใด ๆ เลย…” หลิงชิงอู๋ขมวดคิ้วขณะที่กล่าวเช่นกัน
เฉินซีก็ตกตะลึงไม่ต่างกัน และสับสนอย่างมาก
โอม~
ทันใดนั้น กลิ่นอายแห่งความศักดิ์สิทธิ์ก็แผ่กระจายออกมาจากเหนือท้องฟ้า และจากนั้นก็มีร่างที่ทรงพลังปรากฏขึ้น ร่างนั้นเอามือไพล่หลัง ในขณะที่ยืนอย่างภาคภูมิเหนือท้องฟ้า ประหนึ่งเทพที่อยู่ภายใต้ม่านแห่งราตรีนิรันดร์
ร่างนี้พร่ามัว และไม่สามารถมองเห็นรูปลักษณ์ได้ชัดเจน ทว่าแรงกดดันที่แผ่ซ่านออกมา ทำให้เฉินซีและคนอื่น ๆ รู้สึกตกใจอย่างยิ่ง
บางทีอาจมีเพียงเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริงเท่านั้น ที่ครอบครองกลิ่นอายแห่งความศักดิ์สิทธิ์ที่น่าเกรงขามเช่นนี้?
หรือเขาจะเป็นหนึ่งในห้าจักรพรรดิบรรพกาล จักรพรรดิเต๋า?
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเฉินซีจ้องมองไปยังร่างที่อยู่เหนือท้องฟ้า ความรู้สึกคุ้นเคยราง ๆ ก็เกิดขึ้น ประหนึ่งเคยพบกับร่างนี้มาก่อน แต่เมื่อมองดูอีกครั้ง มันก็พร่ามัวและไม่คุ้นเคยโดยสิ้นเชิง ทำให้ไม่สามารถระบุได้อย่างเต็มที่ว่าเขาเคยพบกับร่างนี้ในอดีตหรือไม่
สำหรับหลิงชิงอู๋และเยี่ยถัง พวกเขาตกตะลึงจนพูดไม่ออก สายตาเต็มไปด้วยความเคารพและความชื่นชมอย่างไม่สามารถควบคุมได้
พวกเขามั่นใจว่าร่างนี้คือจักรพรรดิเต๋า!