บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1311 แสงสวรรค์แห่งการกำราบต้นกำเนิด
บทที่ 1311 แสงสวรรค์แห่งการกำราบต้นกำเนิด
บทที่ 1311 แสงสวรรค์แห่งการกำราบต้นกำเนิด
ผู้ที่จับสลากได้หมายเลขสาม คืออู่ฟางจวินจากสำนักศึกษามหาเดียวดาย
อู่ฟางจวินมีรูปร่างจ้ำม่ำ ใบหน้าสะอาดอ้วนท้วน และมีดวงตาเล็กเหมือนถั่ว รูปร่างหน้าตาดูธรรมดามาก แต่ในระหว่างการถกวิถีเต๋าในรอบที่สอง เขาได้เอาชนะเจิ่นลู่ และสำแดงพลังฝีมือไม่ธรรมดา ซึ่งทำให้คนอื่นไม่กล้าดูแคลนอีกต่อไป
แต่ในขณะนี้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการจ้องมองของเฉินซี ใบหน้าที่อ้วนท้วนของอู่ฟางจวินก็กระตุกยิก ดูทั้งหวาดกลัวและลังเล
ทว่าในท้ายที่สุด เขาก็ฝืนกัดฟันแน่น พาร่างอ้วนเหมือนลูกชิ้นยักษ์จนดึงส่วนโค้งอันสง่างามออกมา พุ่งผ่านอากาศไปยังสนามประลอง
“ข้าจะถกวิถีเต๋ากับเจ้าเอง!” เมื่ออู่ฟางจวินกล่าว เขาก็ควักสมบัติอมตะสีเงินสดใสออกมา มันห่อหุ้มร่างอวบอ้วนไว้อย่างแน่นหนา
สมบัติอมตะนี้ดูเหมือนชาม กลมและโปร่งใส ทั้งยังพรั่งพรูด้วยแสงสีเงินที่เย็นเสียดแทง ขณะเดียวกันก็เปล่งแสงแวววาวราวกับภาพฝัน และมันสวยงามอย่างยิ่ง
“ม่านพลังแสงศักดิ์สิทธิ์แห่งการกำราบต้นกำเนิด!” เมื่อเห็นสมบัตินี้ นัยน์ตาของทุกคนก็หรี่ลงอย่างอดไม่ได้ เพราะในแง่ของการโจมตี มันไม่ถือว่าน่าเกรงขาม แต่มันเป็นสมบัติที่มีการป้องกันอันยอดเยี่ยม ซึ่งล่ำลือกันว่า หากผู้ใดใช้มัน ก็จะไม่มีวันสัมผัสแม้แต่ชายเสื้อของผู้ใช้
เหตุผลก็คือ เพราะแสงศักดิ์สิทธิ์แห่งการกำราบต้นกำเนิด เป็นแสงศักดิ์สิทธิ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในทั้งสามภพ มันสามารถปัดเป่าการโจมตีของพลังงานทุกประเภท!
หลายหมื่นปีก่อน มีเซียนปราชญ์กำราบต้นกำเนิดผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในภพเซียน เขาได้บ่มเพาะแสงศักดิ์สิทธิ์แห่งการกำราบต้นกำเนิดจนบรรลุถึงระดับที่ไม่ธรรมดา ในระหว่างการต่อสู้ในสมรภูมินอกพิภพ เซียนปราชญ์ผู้นั้นติดอยู่ในวงล้อมท่ามกลางกองทัพต่างพิภพเพียงลำพัง แต่แท้จริงแล้ว ไม่มีการโจมตีใดที่เข้าถึงตัว ทำให้เขาสามารถหลบหนีโดยที่ไม่ได้รับอันตรายใด ๆ!
นี่คือจุดแข็งของแสงศักดิ์สิทธิ์แห่งการกำราบต้นกำเนิด ซึ่งปัดเป่าการโจมตีทุกประเภทไปสู่ความว่างเปล่า!
ในขณะนี้ เมื่อพวกเขาเห็นอู่ฟางจวินสำแดงพลังของสมบัตินี้หลังจากเข้าสู่สนามประลอง นอกจากจะรู้สึกตกตะลึง ทุกคนก็พร้อมใจกันสาปแช่ง “คนผู้นี้ช่างไร้ยางอายและขี้ขลาดอย่างยิ่ง”
แต่ท่าทางของอู่ฟางจวินยังคงสงบไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเผชิญกับสิ่งนี้ หลังจากได้เห็นพลังฝีมือที่น่าเกรงขามของเฉินซี และวิธีการที่โหดไร้ปรานี ใครจะกล้าเอาชีวิตไปเสี่ยง? เขากลัวว่าตนจะเดินตามรอยเท้าของเหยียนอวิ๋น อวี่ซิวสุ่ยและหวังเซวี่ยชง ซึ่งถูกเฉินซีทุบตีจนกระทั่งมารดายังจำหน้าไม่ได้
“แสงสวรรค์แห่งการกำราบต้นกำเนิด…” เฉินซีตกตะลึง จากนั้นก็คลี่ยิ้มอย่างอดไม่ได้
“คนผู้นี้ฉลาดจริง ๆ”
หลังจากนั้น เขาก็พลิกฝ่ามือขึ้นอย่างสบาย ๆ และควักสมบัติออกมาเช่นกัน
สมบัติชิ้นนี้คือ ระฆังทองสัมฤทธิ์ที่สูงสิบสองชุ่น ในขณะที่พื้นผิวของมันถูกปกคลุมอย่างหนาแน่นด้วยอักขระเต๋าที่ลึกซึ้ง ซึ่งเปล่งรัศมีที่คลุมเครือและลึกลับ มันเป็นสมบัติอมตะระดับวีรบุรุษอย่างแน่นอน และเฉินซีได้รับมาจากตงจวินโหวแห่งสภาเซียนกลาง หลังจากการสอบในสมรภูมินอกพิภพสิ้นสุดลงด้วยการแสดงฝีมือที่โดดเด่น ระฆังสายเลือดวิญญาณ!
“สมบัติอมตะระฆังทองสัมฤทธิ์?” อู่ฟางจวินตกตะลึง และเขาก็งุนงงเล็กน้อย ความระมัดระวังเพิ่มขึ้นและไม่กล้าประมาท “เจ้าเด็กคนนี้มีสมบัติอมตะมากมาย ทั้งสารพัดวิธีการก็ช่างแปลกประหลาดนัก ข้าจะประมาทไม่ได้”
ไม่ช้า การต่อสู้ก็เริ่มขึ้น
ทันใดนั้น อู่ฟางจวินก็ทะยานออกไปทันที และร่างอ้วนท้วนหมุนเหมือนลูกข่าง สะบัดไปทั่วทั้งสนามประลอง
แสงศักดิ์สิทธิ์แห่งการกำราบต้นกำเนิดที่มีสีเงินสดใสโบยบินไปทั่วร่างกาย มันเปล่งประกาย จนทำให้คนอื่นไม่สามารถจับเส้นทางของเขาได้ และมองเห็นเพียงแสงศักดิ์สิทธิ์แห่งการกำราบต้นกำเนิด อันยอดเยี่ยมที่สาดส่องไปทั่ว
กลยุทธ์การต่อสู้เช่นนี้ เป็นแบบดั้งเดิมอย่างยิ่ง แม้จะไม่ได้พยายามเอาชนะอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ได้ประมาทแต่อย่างใด
เฉินซีก็ไม่คิดรั้งรอ ร่างสูงใหญ่แวบวับและกะพริบกลางอากาศ ปีกคู่หนึ่งเปล่งแสงสีดำเจิดจ้าก็ปรากฏอยู่ข้างหลัง และเริ่มไล่ตามอู่ฟางจวินไปติด ๆ
ปีกกำราบผกผัน!
สมบัติที่ได้รับการขัดเกลาจากแสงศักดิ์สิทธิ์แห่งการกำราบ ล่ำลือกันว่า มันสามารถทำลายธาตุทั้งห้าของฟ้าดินได้ แม้คุณภาพของมันจะต่ำ และไม่สามารถเปรียบเทียบกับสมบัติอมตะได้ แต่เมื่อมันถูกใช้ร่วมกับพลังมิติที่เฉินซีครอบครอง เขาก็เร็วกว่าอู่ฟางจวินเล็กน้อย
ฟึ่บ!
ด้วยการทะยานไม่กี่ครั้ง เฉินซีก็เข้าใกล้อู่ฟางจวินมากขึ้น จากนั้นแสงศักดิ์สิทธิ์แห่งการกำราบก็ปะทะเข้ากับแสงศักดิ์สิทธิ์แห่งการกำราบต้นกำเนิด ซึ่งอันที่จริงแล้ว มันได้สร้างพลังที่หยุดนิ่งอย่างแปลกประหลาด
มันเหมือนกับโคลนสองชิ้นที่เกาะติดกัน และไม่เพียงแต่ไม่มีการชนกันอย่างรุนแรงเท่านั้น แต่ยังสร้างพลังดึงดูดอย่างมากระหว่างพวกมัน!
ไม่ว่าจะเป็นแสงศักดิ์สิทธิ์แห่งการกำราบหรือแสงศักดิ์สิทธิ์แห่งการกำราบต้นกำเนิด ทั้งสองต่างเป็นแสงแห่งการกำราบของทั้งสามภพ พวกมันต่างมีอานุภาพอันลึกซึ้งเป็นของตนเอง แม้จะมาจากแหล่งเดียวกัน
เฉินซีแสยะยิ้มทันที เพราะการเดิมพันนี้ถูกต้องแล้ว เดิมที เขาไม่ได้ตั้งใจจะใช้ปีกกำราบผกผันเพื่อจัดการกับอู่ฟางจวิน แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายสำแดงพลังของม่านพลังแสงศักดิ์สิทธิ์แห่งการกำราบต้นกำเนิด จึงทำให้เกิดฉากดังกล่าวขึ้น
“นี่มันแสงศักดิ์สิทธิ์แห่งการกำราบ! ไม่ได้การแล้ว!” สีหน้าของอู่ฟางจวินซีดลงด้วยความกลัว เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะโต้ตอบ เมื่อรู้สึกถึงฉากตรงหน้า ก่อนที่ทัศนวิสัยจะมืดลง เพราะถูกระฆังทองสัมฤทธิ์อันใหญ่ทุบลงมา…
เหตการณ์เบื้องหน้าของทุกคนเป็นระยิบระยับ จากนั้นอู่ฟางจวินก็ถูกห่อหุ้มอยู่ใต้ระฆังทองสัมฤทธิ์
เร็วมาก!
ทันทีที่การต่อสู้ระหว่างพวกเขาเริ่มขึ้น ทั้งสองก็ไล่ล่ากันด้วยความเร็วดุจสายฟ้า ร่างสองร่างวูบวาบ และเคลื่อนที่ไปรอบ ๆ ทำให้สายตาของผู้ชมเห็นเพียงภาพติดตา
ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนที่ทั้งสองจะต่อสู้กันอย่างแท้จริง อู่ฟางจวินก็ถูกระฆังทองสัมฤทธิ์ของเฉินซีห่อหุ้มไว้ แม้แต่ม่านพลังแสงศักดิ์สิทธิ์แห่งการกำราบต้นกำเนิด ที่ล่ำลือกันว่า มีการป้องกันสูงสุด ก็ไร้ประโยชน์!
แก๊ง! แก๊ง! แก๊ง!
ระฆังสายเลือดวิญญาณนั่นสั่นครั้งแล้วครั้งเล่า ในขณะที่เสียงแปลกประหลาดก็ดังก้องและสั่นสะเทือนไปทั่วฟ้าดิน มันสามารถแย่งชิงดวงวิญญาณได้ อีกทั้งมันยังสามารถทำลายดวงวิญญาณให้แตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ
เห็นได้ชัดว่า อู่ฟางจวินกำลังดิ้นรนภายในระฆังสายเลือดวิญญาณ ด้วยความตั้งใจที่จะหลบหนีด้วยกำลังอันดุร้าย
แต่ไหนเลยเฉินซีจะปล่อยให้เขาทำสำเร็จ? เฉินซีใช้สะกิดปลายเท้า และปรากฏตัวบนระฆังวิญญาณ จากนั้นเขาก็กระทืบเท้าลงไป ทำให้ระฆังวิญญาณหยุดสั่นและระงับอย่างสมบูรณ์
มีเพียงเสียงระฆังแปลก ๆ ที่ดังก้องไม่รู้จบ
“อู่ฟางจวิน… จบสิ้นแล้ว!” สีหน้าของเหล่าอาจารย์และศิษย์ทุกคนจากสำนักศึกษามหาเดียวดาย กลายเป็นสยดสยอง หัวใจหนักอึ้ง เพราะแม้แต่ศิษย์ที่ระมัดระวังและตื่นตัวอย่างอู่ฟางจวิน ก็ยังถูกสยบอยู่ใต้ระฆัง สิ่งนี้จึงเกินความคาดหมายไปมาก และทำให้พวกเขาเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่า ความสามารถของเฉินซีนั่นมีมากมาย จนดูเหมือนสามารถทำได้ทุกอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นพลังฝีมือที่น่าเกรงขามของหวังเซวี่ยชง หรือม่านพลังแสงศักดิ์สิทธิ์แห่งการกำราบต้นกำเนิดก็ดูเหมือนจะไม่สามารถทำอะไรกับเฉินซีได้เลย และยังถูกเฉินซีสยบอย่างรวดเร็ว!
“ไอ้สารเลวน้อยนี้ไปได้ความสามารถแปลก ๆ มากมายมาจากไหน?”
พวกเขาไม่สามารถเข้าใจต่อเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเค้นสมองสักเพียงใดก็ตาม
ในทางกลับกัน เสียงโห่ร้องจากเหล่าศิษย์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง และส่งเสียงให้กำลังใจเฉินซีอย่างไม่รู้จบ ชายหนุ่มเป็นเหมือนทวยเทพที่สยบโลกด้วยระฆังเพียงใบเดียว แล้วพวกเขาจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร?
…
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ระฆังสายเลือดวิญญาณก็เงียบลง และไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาเลย
ร่างของเฉินซีวูบไหว ก่อนจะเก็บระฆังสายเลือดวิญญาณออกไป เผยให้เห็นร่างของอู่ฟางจวินที่อยู่ภายในนั้น
ในขณะนี้ ร่างอ้วนท้วนของอู่ฟางจวินนั่นนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ใบหน้าเสียโฉม น้ำลายฟูมปาก คล้ายคนที่มีความพิการทางจิต แต่จิตวิญญาณของเขายังคงสภาพสมบูรณ์ ซึ่งสำหรับเขาถือได้ว่าเป็นเรื่องที่โชคดีอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้คนได้เห็นเหตุการณ์นี้ มันทำให้พวกเขาประหลาดใจและตกใจอย่างมาก ดูเหมือนพวกเขาไม่เคยคิดมาก่อน ว่าวิธีที่เฉินซีใช้เพื่อให้ได้ชัยชนะในครั้งนี้ จะยังคงตรงไปตรงมาและครอบงำ เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ในคราวเดียว!
…
เมื่อหวนนึกถึงการต่อสู้ของเฉินซีที่ผ่านมา นับตั้งแต่เหยียนอวิ๋น มาจนถึงตอนนี้ ไม่มีใครสามารถสำแดงพลังที่ทัดเทียมกับคนผู้นี้ได้เลย
คู่ต่อสู้ทั้งหมดถูกทุบตี ถูกเผา ถูกตบจนคุกเข่า หรือล้มกองน้ำลายฟูมปาก ตั้งแต่ต้นจนจบ สิ่งที่เขาแสดงออกมานั้น สามารถอธิบายได้ในไม่กี่คำ
บดขยี้!
ทรงพลังราวกับไม่ต่างจากการกวาดใบไม้แห้ง!
นี่เป็นการพิสูจน์ทางอ้อมว่า เฉินซีแข็งแกร่งกว่าคู่ต่อสู้ทุกคนที่เขาเผชิญหน้า และไม่ได้แข็งแกร่งกว่าเพียงเล็กน้อย มิฉะนั้นคงไม่อาจกำราบคู่ต่อสู้ได้โดยอาศัยสมบัติเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น
หลังจากที่เหล่าอาจารย์และศิษย์จากสำนักศึกษาระทมสันต์ สำนึกศึกษามหาเดียวดาย และสำนักศึกษานภาไพศาลได้เห็นการต่อสู้ครั้งนี้ ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจทุกอย่าง
พวกเขาประเมินเฉินซีต่ำไป!
ในอดีต พวกเขารู้สึกว่าศิษย์คนเดียวที่คู่ควรแก่การให้ความสำคัญในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า คือเยี่ยถัง แต่ตอนนี้พวกเขาก็ตระหนักได้ว่า เฉินซีนั้นน่ากลัวกว่าเยี่ยถังมาก!
พลังฝีมือน่ากลัว วิธีการไร้ความปรานี และลงมือโดยไม่เกรงกลัวใด ๆ เขาเป็นดั่งปีศาจตัวน้อยที่โหดเหี้ยมและไร้ความปรานี ซึ่งศิษย์ทุกคนที่พ่ายแพ้ ล้วนแล้วแต่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเจียนตาย
ความเข้าใจดังกล่าว ทำให้ผู้คนไม่กล้าดูถูกเฉินซีอีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศิษย์ที่เข้าร่วมในการถกวิถีเต๋ารอบสุดท้าย ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังเผชิญกับศัตรูที่น่าเกรงขาม สีหน้าเต็มไปด้วยความหนักใจ
ในทางกลับกัน ตามความคิดเห็นของเหล่าอาจารย์และศิษย์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า เฉินซีแทบพรากลมหายใจของพวกเขาไป ช่างน่าทึ่งและโดดเด่นเป็นอย่างยิ่ง ราวกับดวงดาวแพรวพราวที่เปล่งประกายไปชั่วนิรันดร์!
…
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น การถกวิถีเต๋าก็ต้องดำเนินต่อไป
ไม่นานนัก ผู้ท้าชิงคนที่สี่ก็เข้าสู่สนามประลอง คือเหอเลี่ยนฉีจากสำนักศึกษามหาเดียวดาย ตามที่คาดไว้ เขาเลือกเฉินซีให้เป็นคู่ต่อสู้เช่นกัน
เหอเลี่ยนฉีเป็นชายหนุ่มที่มีรูปร่างผอมสูงและมีท่าทางเย็นชา ในระหว่างการถกวิถีเต๋ารอบที่สอง เขาได้เอาชนะจ้าวเมิ่งหลี และแสดงพลังฝีมือที่ไม่ธรรมดาออกมา
ทว่าทั้งหมดนี้ กลับไร้ค่าอย่างสิ้นเชิงเมื่ออยู่ต่อหน้าเฉินซี หลังจากผ่านไปราวหนึ่งเค่อ เหอเลี่ยนฉีก็ถูกฟาดจนล้มลงกับพื้น ใบหน้าปูดบวม และหมดสติไป ก่อนจะถูกเฉินซีเตะออกจากสนามประลอง
ทั้งหมดนี้ ทำให้ทุกคนตกตะลึงเช่นเดียวกัน สิ่งเดียวที่กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็น คือพลังฝีมือที่แท้จริงของเฉินซีนั้นเป็นอย่างไร และขีดจำกัดของคนผู้นี้อยู่ที่ไหน
แต่ไม่มีใครรู้คำตอบนี้
…
ผู้ท้าชิงคนที่ห้าคือ ไฉ่ทาจากสำนักศึกษานภาไพศาล
…
ผู้ท้าชิงคนที่หกซึ่งแต่เดิมคือเซียวเชียนซุ่ย แต่ด้วยเหตุผลบางประการ เขาจึงละทิ้งโอกาสนี้ และให้เยว่อวี่จากสำนักศึกษามหาเดียวดายท้าทายเฉินซีก่อน
ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามคาด ขาของไฉ่ทาถูกหัก เขาคุกเข่าลงบนพื้นพร้อมกับส่งเสียงร้องโหยหวนพลางยอมรับความพ่ายแพ้ เฉินซีแย่งชิงแส้ที่อยู่ในมืออีกฝ่าย ก่อนจะฟาดนางจนหน้าซีด เนื้อและผิวหนังปริแตก หญิงสาวร้องไห้คร่ำครวญ เมื่อเอ่ยยอมรับความพ่ายแพ้
เยว่อวี่เป็นศิษย์หญิงที่งดงามเป็นเอก แต่เฉินซีกลับบดขยี้บุปผาอย่างไร้ความเมตตาและไร้ความปรานีเหมือนเช่นเคย ทำให้ศิษย์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋ารู้สึกว่าเฉินซีไม่รู้จักรักหยกถนอมบุปปผาเอาเสียเลย เพราะเห็นได้ชัดว่าเขาได้เฆี่ยนตีหญิงงามอย่างโหดเหี้ยม
อย่างไรก็ตาม ทัศนคติของศิษย์หญิงต่อเรื่องนี้เป็นแบบเดียวกันโดยไม่คาดคิด ทุกคนล้วนสนับสนุนเฉินซี อีกทั้งพวกนางยังสาปแช่งศิษย์ชายที่เป็นคนหน้าซื่อใจคดและเจ้าชู้ พวกนางทั้งหมดต่างรู้สึกว่าเฉินซีเป็นลูกผู้ชายตัวจริง!