บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 122 การยืนกรานของเฉินซี
บทที่ 122 การยืนกรานของเฉินซี
บทที่ 122 การยืนกรานของเฉินซี
ฟิ้ว!
เนื่องจากการปกป้องของม่านแสงที่ปกคลุมอยู่ในสนามประลอง มันจึงเหมือนสระน้ำที่ถูกปิดสนิทกำลังพวยพุ่งอย่างไม่รู้จบ และในไม่ช้าก็จะเต็มด้วยวารีทิพย์เก้าอนธการที่หนาวเหน็บถึงกระดูก
ขาของถังสวี่ถูกมวลน้ำท่วมมิด แต่ยังคงยืนหยัดอย่างมั่นคง กระบี่เทพเก้าหยินในมือของเขาเคลื่อนตามคลื่นที่ซัดสาดไปโดยรอบ ทำให้ม่านแสงรอบ ๆ สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงและส่งเสียงครั่นคร้าม
คลื่นที่น่าตกตะลึงได้โหมกระหน่ำและพวยพุ่งขึ้นไปยังท้องฟ้า
ในขณะนี้ ถังสวี่เป็นเหมือนเทพแห่งวารีที่ปลดปล่อยพลังทำลายล้างอันไร้ขอบเขต ทำให้ผู้ชมทั้งหมดบนที่นั่งต่างก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออก
“จงเลิกต่อต้านซะ อย่างที่ข้าเคยบอก เจ้ามันไม่คณามือข้า!!” ในขณะที่มองไปยังเฉินซีที่กำลังถูกธารน้ำถาโถมและกำลังจะจมในไม่ช้า ใบหน้าอันแสนธรรมดาของถังสวี่เผยความพึงพอใจออกมา ความขมขื่นที่เฝ้าบ่มเพาะมากว่าสิบปีในดินแดนมืดมิดและหนาวเย็น ซ้ำยังต้องทนต่อความเจ็บปวดอันแสนสาหัสถึงเก้าปี ก็เพื่อต้องการแสดงความสามารถท่ามกลางความสนใจของผู้คนไม่ใช่หรือ?
กึก!
ในขณะนี้เองที่ร่างของเฉินซีหยุดนิ่งกะทันหัน จากนั้นเขาก็ก้มศีรษะลงไปในมวลน้ำ สายตาที่จับจ้องอยู่ของถังสวี่ฉายแววประหลาดใจ
“คนผู้นี้คิดฆ่าตัวตายหรือ? วารีทิพย์เก้าอนธการเป็นถึงแก่นแท้ของวารีที่อยู่ลึกลงไปถึงสองพันจั้ง ภายใต้ดินแดนที่เยือกเย็นและมืดมิดจนเสียดกระดูก ตราบใดที่ผู้บ่มเพาะปราณภายในสัมผัสมันเพียงเล็กน้อย พวกเขาจะถูกแช่เป็นน้ำแข็งและสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ทั้งหมด คนผู้นี้กำลังรนหาที่ตายหรือ”
ถังสวี่รู้สึกตกตะลึงจนพูดไม่ออก จากนั้นเขาก็ยิ้มอย่างเย็นชาขณะก้าวไปข้างหน้า และกระบี่เทพเก้าหยินที่ดุร้ายก็พุ่งเข้าหามวลน้ำ
ตู้ม!
ธารน้ำที่ไหลเชี่ยวพุ่งออกมาจากก้นสระ ขณะที่วังน้ำวนขนาดมหึมาทั้งแปดสายซัดสาดเข้าหากัน จนเกิดเสียงคำรามของมังกรร้ายทะยานออกมาจากภายใน แรงดูดและแรงหมุนของวังน้ำวนทั้งแปดสายได้ประสานเข้าด้วยกัน จนก่อตัวเป็นพลังทะลุทะลวงอันแหลมคมที่ทำให้ใจสั่นไหวและรู้สึกหวาดกลัว
ภายในใจกลางของวังน้ำวนมีกระบี่ท่องปรภพทั้งแปดเล่มอยู่ทุกหนทุกแห่ง พวกมันเป็นเหมือนทวยเทพที่ควบคุมวังน้ำวน และปราณกระบี่อันแหลมคมที่พวยพุ่งออกมาจากมันก็อยู่ในระดับที่น่าตกตะลึง
แรงดูด!
แรงหมุน!
ปราณกระบี่อันแหลมคม!
เมื่อหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว พวกมันก็กลายเป็นพลังทำลายล้างที่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งสามารถบดขยี้ทุกสรรพสิ่งให้กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และโจมตีถังสวี่จากทุกทิศทุกทาง
ถังสวี่ตกตะลึงในทันใด เมื่อพบว่าตนเองสูญเสียการควบคุมวารีทิพย์เก้าอนธการ ขณะที่พวกมันกลับถูกควบแน่นเป็นวังวนโดยกระแสปราณที่น่าสะพรึงกลัวทั้งแปดสายเพื่อโจมตีเขา!
ปัง! ปัง! ปัง!
เมื่อวังน้ำวนแรกโจมตีเขา กระบี่เทพเก้าหยินขนาดมหึมาราวกับตกอยู่ในมือของอสูร มันแตกออกทีละนิดก่อนที่จะกลายเป็นวารีทิพย์เก้าอนธการที่ถูกกลืนหายไปทั้งหมด ทำให้พลังของวังน้ำวนเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งส่วน
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้” ถังสวี่คำรามด้วยความโกรธ เขารีบหมุนเวียนปราณจ้าววิญญาณไปทั่วร่างกาย ทำให้ร่างกายที่สูงสิบจั้งของเขาโปร่งแสง และปลดปล่อยพลังอันน่าเกรงขามออกมา ด้วยการถูฝ่ามือของเขา ทำให้กระบี่เทพเก้าหยินก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นชายหนุ่มก็ฟันไปยังวังวนที่กำลังโจมตีเขา
ปัง!
กระบี่เทพเก้าหยินแตกเป็นเสี่ยง ๆ และถูกกำจัดออกไป ก่อนที่ถังสวี่จะต้านทานได้อีกครั้ง วังวนทั้งแปดก็ถาโถมลงมาราวกับสัตว์ร้ายที่กระหายเลือดจนกลืนกินร่างของถังสวี่จากศีรษะไปถึงเท้า
ฟ่อ! ฟ่อ! ฟ่อ!
กระแสปราณทั้งแปดหมุนวนในทิศทางตรงกันข้ามขณะที่บดเข้าหากัน และแรงกดดันที่เกิดจากพวกมันได้บดขยี้ร่างของถังสวี่ ให้กลายเป็นผุยผงจนสลายไปอย่างสมบูรณ์
ตราบใดที่ศีรษะและหัวใจของผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลที่ฝึกฝนทักษะขัดเกลากายาเทพอสูรไม่ได้ถูกแทงทะลุ ผู้บ่มเพาะก็สามารถงอกแขนขาได้ใหม่และฟื้นตัวได้
ในระหว่างการต่อสู้ก่อนหน้านี้ เฉินซีได้สังเกตเห็นบางอย่าง …หลังจากที่กระบี่ท่องปรภพทั้งแปดเล่มสับศีรษะของถังสวี่เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่คนผู้นี้กลับฟื้นฟูร่างกายของตนเองได้อย่างรวดเร็ว ถึงแม้เฉินซีจะไม่เข้าใจถึงความลับที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังสิ่งนี้ แต่เฉินซีก็ยังคอยเฝ้าหาจุดอ่อนของมันอยู่ตลอดเวลา
วิธีการใช้วังวนเพื่อทำลายถังสวี่ในตอนนี้ คือวิธีการกำจัดศัตรูที่เฉินซีคิดออกเป็นอย่างแรก กระบี่ท่องปรภพทั้งแปดเล่มถูกใช้ออกด้วยกระบวนท่าวายุทลายสุญญะ ซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนท่าอันทรงพลังที่สุดของเคล็ดวิชากระบี่หยั่งรู้วาตะลอยละล่อง และมันได้ตัดการเชื่อมต่อระหว่างถังสวี่กับวังวนวารี จากนั้นเขาก็รวบรวมวังวนทั้งแปดที่มีเต๋าแห่งสายลม ให้พวกมันบดขยี้ร่างกายของถังสวี่เป็นผุยผง!
ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ หากถังสวี่ยังรอดไปได้ เฉินซีคงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเปิดเผยตัวตนในฐานะผู้ขัดเกลากายาและใช้กระบวนท่าฝ่ามือมหาดาราออกไป
โชคดีที่ทุกอย่างที่เฉินซีกังวลไม่ได้เกิดขึ้น
บนสนามประลอง วังวนและธารน้ำสลายไปแล้ว กระบี่ท่องปรภพทั้งแปดเล่มต่างลอยคว้างอยู่ข้างชายหนุ่ม ห่างออกไปไม่ไกลนัก มีย่ามใบหนึ่งหล่นลงมาที่พื้นและร่างของถังสวี่ที่ถูกบดขยี้เป็นผุยผงได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ชนะสองในสามยก ตอนนี้ข้าชนะไปแล้วสองยก เซี่ยจ้าน เจ้าไม่คิดจะคุกเข่าขอโทษหรือ?” เฉินซีเก็บย่ามที่อยู่บนพื้นขึ้นมา จากนั้นหันกลับมาเผชิญหน้ากับเซี่ยจ้านที่อยู่ด้านล่างสนามประลอง
เนื่องจากการตายของถังสวี่ ทั่วสนามประลองจึงตกอยู่ในความเงียบงัน ในขณะนี้แม้ว่าเสียงของเฉินซีจะแผ่วเบา แต่ยังคงดังก้องอยู่ในหูผู้ชม
“ผู้บ่มเพาะทักษะขัดเกลากายาเทพอสูรตายแล้วจริง ๆ หรือ?”
“วิชากระบี่ของเด็กคนนี้ทรงพลังยิ่งนัก! พลังของวังวนทั้งแปดสายในตอนท้ายน่าสะพรึงกลัวเหลือเกิน…”
“วิเศษ! วิเศษมาก! ผู้บ่มเพาะปราณภายในสามารถฆ่าผู้บ่มเพาะกายาได้! การต่อสู้เช่นนี้หาได้ยากในรอบร้อยปี!”
…
“เยี่ยมมาก!” ต้วนมู่เจ๋อตบมืออย่างดุเดือด เขารู้สึกตื่นเต้นจนใบหน้แดงก่ำและคำรามออกมาเสียงดัง จนผู้บ่มเพาะที่อยู่รอบข้างต่างหันมามอง
“ข้าคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าเฉินซีจะกลายเป็นคนที่ทรงพลังได้ขนาดนี้ ทันทีที่ออกเคลื่อนไหว มันก็กลายเป็นกระบวนท่าสังหาร” แววตามุ่งมั่นของตู้ชิงซีส่องประกายผิดปกติ และมุมปากที่เย็นชาของนางก็ยกยิ้มด้วยความยินดี
“เจ้าคงไม่ตกหลุมรักเขาใช่ไหม” ซ่งหลินหยอกล้อด้วยรอยยิ้ม
“ไสหัวไปซะ!” ต้วนมู่เจ๋อกับตู้ชิงซีกล่าวออกมาพร้อมกัน เพียงแต่คนหนึ่งมีความขมขื่นซ่อนอยู่และไม่เต็มใจ ส่วนอีกคนเขินอายและไม่สบายใจ เพียงเท่านั้น ซ่งหลิงก็เข้าใจและไม่ได้กล่าวอะไรอีก
…
“ท่านพี่ พี่ใหญ่เฉินซีชนะแล้ว!” ใบหน้าเล็ก ๆ ของมู่เหวินเฟยกลายเป็นสีแดง และเขากระโดดโลดเต้นด้วยความตื่นเต้น
“อืม ข้าก็เห็นเช่นกัน” กำปั้นของมู่เหยาที่แต่เดิมกำแน่นก็ค่อย ๆ คลายออกอย่างผ่อนคลาย และใบหน้ารูปไข่ที่บริสุทธิ์และงดงามก็ยากจะปกปิดความสุข
ความสุขบนดวงหน้าสวยงามของนางก็ยากที่จะปกปิด
…
ขอบเขตเต๋าแห่งการรู้แจ้ง กระบี่ท่องปรภพระดับมนุษย์ขั้นสุดยอด วิชากระบี่และวิชาตัวเบาอันลึกซึ้ง ในบรรดาคนรุ่นเยาว์ของกองกำลังมหาอำนาจต่าง ๆ ในเมืองทะเลสาบมังกร มีเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้นที่เทียบกับเขาได้ ช่างน่าเกรงขาม!
‘ข้าไม่เคยนึกเลยว่าข้าหลี่คุนจะตัดสินผิดเช่นกัน…’ บนที่นั่งด้านบน ชายชราที่มีเงาปกคลุมทั้งร่างทอดถอนใจอย่างแผ่วเบา ถ้าหากเฉินซีเห็นเขาในตอนนี้ เฉินซีจะรับรู้ได้ถึงความประหลาดใจของเขาได้อย่างแน่นอน ว่าชายชราคนนี้ก็คือชายชราลึกลับที่นั่งอยู่หลังโต๊ะในห้องโถงใหญ่ของผู้พิทักษ์วิญญาณแห่งราชวงศ์ต้าซ่งคนนั้น
…
ม่านแสงบนสนามประลองถูกเปิดออกและข้ารับใช้หญิงที่มีใบหน้างดงามก็ขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนที่จะกล่าวเสียงดังว่า “ฝ่ายของนายน้อยเซี่ยจ้านแพ้ในยกที่สอง” จากนั้นนางก็หันไปมองเซี่ยจ้านและถามว่า “นายน้อยเซี่ย ท่านยังต้องการประลองในยกที่สามอีกหรือไม่”
ในขณะนี้ สีหน้าของเซี่ยจ้านซีดเซียวและมืดมน แววตาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวดุร้าย ราวกับว่าเขาปรารถนาจะฆ่าฟันอีกฝ่ายให้ราบเป็นหน้ากลอง ณ เดี๋ยวนั้น
ด้วยเงื่อนไขที่จะต้องชนะทั้งสามรอบ สถานะของฝ่ายเขาจึงยังคงมั่นคงอยู่ แต่ใครจะนึกถึงว่าเจ้าเฉินซีจะเอาชนะหลินเส้าฉีที่เป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นแปดดาราด้วยกระบวนท่าเดียว ในตอนนี้เฉินซียังสังหารถังสวี่ที่เป็นผู้บ่มเพาะกายาขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสามดาราด้วยความเหนือชั้นกว่าได้?
เหตุใดถึงเป็นเยี่ยงนี้?
เซี่ยจ้านหวนนึกถึงเงื่อนไขที่ได้ตกลงกับเฉินซีไว้ก่อนการต่อสู้ และเมื่อนึกถึงการที่ต้องคุกเข่าลงและขอโทษพี่น้องคู่นั้นที่ไม่มีแม้แต่ต้นตระกูล ความเดือดดาลก็พลันปะทุขึ้นในใจ อย่างไรก็ตามภายใต้การจับจ้องของผู้คน เขาไม่อาจกลับคำได้ มิเช่นนั้นตระกูลเซี่ยคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
‘ข้าควรทำอย่างไรดี?’
ท่าทางของเซี่ยจ้านกระวนกระวาย และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป
“เจ้าอยากกลับคำหรือ? มองไปรอบ ๆ สิ ทุกสายตาล้วนจับจ้องมาที่เจ้า และถ้าจะกลับคำพูดก็ไม่เป็นไร แต่ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลของเจ้าคงจะป่นปี้” เฉินซีกล่าวอย่างเฉยเมย
“บัดซบ! เจ้า…” ท่าทางของเซี่ยจ้านดุร้ายขึ้น เขาโกรธจนตาแทบถลนและจ้องเขม็งไปยังเฉินซี เซี่ยจ้านไม่ต้องการสิ่งใดมากไปกว่าสับไอ้เด็กน่ารังเกียจนี่ออกเป็นชิ้น ๆ!
“โอ้ แม้แต่เซี่ยจ้านยังถูกต้อนให้อยู่ในสภาพเช่นนี้ ดูเหมือนว่าควรจะสงบปากไว้น่าจะดีกว่า”
“แน่นอน ตอนนี้เขาไม่มีทางถอย ข้าสงสัยว่าเซี่ยจ้านจะทำอะไร”
“ฮึ่ม! เซี่ยจ้านควรได้รับบทเรียนเสียบ้าง เขามักจะเย่อหยิ่ง เอาแต่ใจ และไม่ให้เกียรติแก่ผู้ใด ถ้าไม่ใช่เพราะเขามีตระกูลเซี่ยหนุนหลัง เขาคงถูกฆ่าตายไปนานแล้ว”
เสียงมากมายดังกระทบโสตของเขาและเป็นเหมือนใบมีดกรีดหัวใจของเซี่ยจ้าน ทำให้เขาโกรธจนร่างกายสั่นสะท้านไม่หยุด
ตั้งแต่เด็ก …เขาเคยทุกข์ใจเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?
ไอ้บัดซบ!
พวกเจ้าทุกคนช่างบัดซบ!
ดวงตาของเซี่ยจ้านกลายเป็นสีแดงฉาน เขาไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีกขณะกระโจนเข้าสู่สนามประลอง สายตาจ้องมองเฉินซีที่อยู่ตรงข้ามและเอ่ยเสียงลอดไรฟัน “ข้าจะต่อสู้กับเจ้าในยกที่สาม หากข้าตาย ข้าก็ไม่จำเป็นต้องขอโทษ แต่ถ้าเจ้าตาย… มันคงไม่ได้ดีไปกว่านี้และข้าจะทรมานพี่น้องคู่นั้นให้เหมือนตกนรกทั้งเป็น!!!”
ขณะนี้ทุกคนเห็นว่าเซี่ยจ้านเสียสติไปแล้ว ถ้อยคำที่เขากล่าวนั้นแน่วแน่และไร้ความปรานี และสถานการณ์จะจบลงก็ต่อเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียชีวิตเท่านั้น
“ดูเหมือนว่าเจ้ายังไม่ตระหนักถึงความเป็นจริง ในเมื่อกำลังจะตาย ข้าจะทำให้ความปรารถนาของเจ้าเป็นจริง” จิตสังหารวูบขึ้นในแววตาของเฉินซี อันเนื่องมาจากคำพูดสุดท้ายของเซี่ยจ้าน!
การต่อสู้ปะทุได้ทุกเมื่อ และบรรดาผู้บ่มเพาะที่นั่งชมต่างก็ปิดปากเงียบขณะจ้องมองไปที่สนามประลอง ‘…นายน้อยของตระกูลเซี่ยอาจถูกฆ่าตายระหว่างการต่อสู้ในครั้งนี้ และนี่เป็นเรื่องที่ร้ายแรงอย่างยิ่ง!’
“เซี่ยจ้าน ลงมาซะ!” ในขณะนี้เองที่เสียงทุ้มต่ำดังก้องกังวานไปทั่วลานประลอง ทันใดนั้นเกิดเสียงฟิ้วดังขึ้นและมีร่างหนึ่งพุ่งลงมาอย่างรวดเร็ว
รูปร่างของคนผู้นี้สูงโปร่งกำยำ อีกทั้งยังสูงกว่าเซี่ยจ้าน บนศีรษะมีเรือนผมที่ยาวหนาพาดอยู่บนบ่า ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีรอยแผลเป็นซึ่งดูคล้ายกับตะขาบที่แก้มซ้าย และมันยังเพิ่มกลิ่นอายป่าเถื่อนและดุร้ายให้กับเขา
“เซี่ยเหมิง!”
“เซี่ยเหมิงนี่เอง ตั้งแต่สิ้นสุดการจัดอันดับมังกรซ่อนครั้งล่าสุด ก็ไม่มีผู้ใดพบเห็นเขาอีกราวกับหายไปในอากาศ แต่ตอนนี้กลับปรากฏตัวแล้ว!”
“ฮ่า ๆ ในที่สุดก็มีการแสดงดี ๆ ให้ดูแล้ว!”
เมื่อพวกเขาเห็นคนผู้นี้ ผู้ชมต่างส่งเสียงร้องด้วยความประหลาดใจ
“ท่านพี่!” เซี่ยจ้านร้องออกมาอย่างแผ่วเบาและก้มหน้าลงด้วยความละอาย การถูกผู้อื่นต้อนให้อยู่ในสภาพเช่นนี้และต้องให้พี่ชายของเขาต้องออกหน้า มันช่างน่าละอายจริง ๆ
“ถ้าวันนี้เจ้าไม่ก้าวเข้าสู่สนามประลอง ข้าคงไม่ออกมายุ่งเกี่ยวกับเจ้าแน่” เสียงของเซี่ยเหมิงทั้งดุดัน รุนแรงและทรงพลัง
เขากล่าวด้วยเสียงทุ้มว่า “ถือว่าโชคดีที่เจ้าไม่ได้ทำให้ข้าต้องผิดหวัง ลงไปซะ เรื่องที่เกิดขึ้นปล่อยให้ข้าจัดการเอง”
เซี่ยจ้านพยักหน้ารับ จากนั้นจึงจากไป ขณะที่เดินก็รู้สึกว่าความกลัวถาโถมเข้ามา ‘หากเลือกที่จะคุกเข่าและขอโทษเร็วกว่านี้ ข้าคงถูกตระกูลเซี่ยขับไล่ไปแล้วใช่หรือไม่’
“การต่อสู้ครั้งนี้ไม่จำเป็นอีกต่อไป ในนามของน้องชายข้า ข้าขออภัยต่อท่านและพี่น้องคู่นั้น” สายตาของเซี่ยเหมิงมองไปที่เฉินซี และกล่าวด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง “ยิ่งไปกว่านั้น ข้าขอรับประกันได้ว่าจะไม่มีผู้ใดจากตระกูลเซี่ยคอยสร้างปัญหาให้กับพวกเจ้าทุกคนอีก เช่นนี้นับว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
ผู้คนพยักหน้าเห็นด้วย การที่ทำให้เซี่ยเหมิงประกาศจุดยืนดังกล่าว ย่อมเป็นการประนีประนอมครั้งใหญ่ที่สุดของตระกูลเซี่ย ทำให้ทั้งสองฝ่ายมีทางออกและไม่จำเป็นต้องตัดสินความเป็นความตายอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม ทุกคนกลับคาดไม่ถึงว่า …เฉินซีจะไม่เห็นด้วย!
“ก่อนหน้านี้ น้องชายของเจ้าบีบให้สหายของข้าตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง เขาเคยคิดที่จะขอโทษและปล่อยพวกเขาไปหรือไม่? แล้วถ้าข้าแพ้ในการต่อสู้ เจ้านึกภาพออกไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา” เฉินซีกล่าวช้า ๆ ด้วยท่าทางสงบนิ่ง
ใบหน้าของเซี่ยเหมิงมืดมนลงและกล่าวถามอย่างเฉยเมย “แล้วเจ้าต้องการสิ่งใด? กล่าวเงื่อนไขของเจ้ามา แล้วข้าจะชดเชยให้ ตราบใดที่มันไม่มากเกินไป”
“ข้าแค่อยากจะถามเจ้าคำถามหนึ่ง” น้ำเสียงของเฉินซีค่อย ๆ เย็นชา เนื่องจากนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ เขายังจำแววตาที่สิ้นหวัง ทำอะไรไม่ถูก หวาดกลัว และวิตกกังวลของมู่เหยากับมู่เหวินเฟย ทำให้โทสะปะทุขึ้นในอก อีกทั้งยังคุกรุ่นและปรารถนาที่จะระบายออกมา “หากเป็นเจ้า เจ้าจะยอมปล่อยเขาไปเช่นนี้หรือไม่”