บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 253 ตระกูลไป๋แห่งเทือกเขาหนามม่วง
บทที่ 253 ตระกูลไป๋แห่งเทือกเขาหนามม่วง
บทที่ 253 ตระกูลไป๋แห่งเทือกเขาหนามม่วง
เป่ยเหิงถอนหายใจโล่งอก เพราะปฏิกิริยาของหวงฝู่จิ่งเทียนก็พอจะพิสูจน์ได้แล้วว่าตราคำสั่งนี้มีผลอย่างมาก ไม่เช่นนั้นสหายเฒ่าหวงฝู่จิ่งเทียนคงไม่เผยสีหน้าตกใจเช่นนี้อย่างแน่นอน
ที่เหลือคือดูว่าอีกฝ่ายจะเลือกอย่างไร
เมื่อเห็นหวงฝู่จิ่งเทียนนิ่งเงียบไปขณะถือตราคำสั่ง โม่หลานไห่และคนอื่น ๆ ก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย มันไม่ใช่เพียงตราคำสั่งหรอกหรือ? ถึงจะเป็นตราคำสั่งเก้ามังกรที่สร้างขึ้นโดยจักรพรรดิซ่งองค์ปัจจุบัน แต่มันจะทำอะไรเราได้?
แต่แม้พวกเขาจะคิดเช่นนี้ ทว่าก็รู้นิสัยหวงฝู่จิ่งเทียนดี ว่าชายชราผู้นี้ปกติเอาแต่ใจตนนัก แม้จะเผชิญหน้ากับจักรพรรดิซ่งก็คงไม่ทำหน้าตื่นตระหนกเช่นนี้ แต่ตอนนี้เขากลับถูกตราคำสั่งชิ้นหนึ่งทำให้เงียบไปได้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าตราคำสั่งนี่มีอะไรพิเศษ?
ทุกคนคลายสีหน้าผยองทันทีเมื่อเหลือบมองตราคำสั่ง
“ตราคำสั่งที่มีอักขระ ‘白’ อยู่บนนั้นหรือ?”
“ตระกูลไป๋ ตระกูลไป๋ไหนกัน?”
“หรือจะเป็นเทือกเขาหนามม่วงที่ตระกูลไป๋แห่งแดนภวังค์ทมิฬ ปกครองอยู่?”
‘หนามม่วง’ คือชื่อของเทือกเขาที่กว้างใหญ่ของแดนภวังค์ทมิฬ เป็นแดนที่ครอบครองโดยเจ้าเหนือหัวแห่งแดนภวังค์ทมิฬคนหนึ่ง ก็คือตระกูลไป๋ ดังนั้นชื่อหนามม่วงตระกูลไป๋จึงได้มีที่มาเช่นนี้
ทันทีที่ทุกคนเห็นตัวอักษร ‘白’ บนตราคำสั่ง สีหน้าก็พลันเปลี่ยนเป็นตกใจเช่นเดียวกับหวงฝู่จิ่งเทียน ข้อมูลน่าหวาดผวาผุดขึ้นมาในพลัน
“พวกเจ้าทุกคนเห็นเช่นกันหรือไม่? ใช่แล้วล่ะ ตราคำสั่งนี้เป็นของหนามม่วงตระกูลไป๋นั่นเอง ข้าเคยเห็นมันในมือของเสด็จพี่มาก่อน ไม่ต่างจากอันนี้เลย” หวงฝู่จิ่งเทียนพูดด้วยเสียงต่ำ ซึ่งแฝงด้วยความกลัวและความตกใจลึกล้ำ
เฮือก!
หลังจากที่ได้ยินคำยืนยันจากหวงฝู่จิ่งเทียนแล้ว ทุกคนก็ตกตะลึง ในเมื่ออีกฝ่ายมีตราคำสั่งของตระกูลไป๋ในครอบครอง เช่นนั้นเป่ยเหิงคนนี้ก็มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหนามม่วงตระกูลไป๋อย่างนั้นหรือ?
นี่ไม่ใช่ปฏิกิริยาเกินจริงเลย มีเพียงผู้มีความเข้าใจในแดนภวังค์ทมิฬอย่างลึกซึ้งเท่านั้น จึงจะเข้าใจถ่องแท้ว่าทวีปไร้ขอบเขตนั้นน่าเกรงขามเพียงใด ในเมื่อตระกูลไป๋สามารถครอบครองแดนภวังค์ทมิฬได้ และยืนหยัดเป็นเจ้าแห่งแดนภวังค์ทมิฬอย่างมั่นคง ก็มากพอจะแสดงให้เห็นแล้วว่าพลังของตระกูลไป๋น่ากลัวเพียงใด
“ฮึ่ม! ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าเจ้าเป่ยเหิงจะมีความเกี่ยวข้องกับหนามม่วงตระกูลไป๋ ไม่แปลกใจเลยที่ชอบพูดจาโผงผาง” หวงฝู่จิ่งเทียนหายใจเข้าลึก ๆ ขณะพูดอย่างเย็นชา แต่เมื่อเทียบกับท่าทีข่มคนก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดว่าท่าทีของเขาอ่อนลงมาก
เป่ยเหิงยิ้มเล็กน้อยแต่ยังคงเงียบ แค่เห็นตาเฒ่านี่ตกใจจนเสียท่าทีก็นับว่าหาได้ยากแล้ว และเขาก็ชอบความรู้สึกเช่นนี้นัก ถึงทั้งหมดจะเป็นเพราะตราคำสั่งนั่นก็ตาม
ก็คิดดูสิ ขนาดจักรพรรดิซ่งยังถูกปิดประตูใส่หน้ายามไปเยือนตระกูลไป๋ อำนาจของตระกูลนั้นน่ากลัวเพียงไหนก็ดูได้จากตรงนี้ แม้ว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่จะเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพี ก้าวผ่านใต้หล้า มองดูผู้คนด้วยความดูแคลน แต่ในเรื่องฐานะ พวกเขาย่อมด้อยกว่าจักรพรรดิซ่ง แต่กระทั่งจักรพรรดิซ่งยังถูกปฏิเสธ เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่ต้องถามเลย ไม่เกินจริงแม้แต่น้อยหากจะบอกว่าพวกเขาไม่มีโอกาสถูกหนามม่วงตระกูลไป๋ปฏิเสธด้วยซ้ำ!
“ฮึ่ม! ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ข้าจะไม่อ้อมค้อมก็แล้วกัน แม้ว่าเจ้าเป่ยเหิงจะมีตราคำสั่งของตระกูลไป๋ แต่มันก็ไม่เกี่ยวข้องกับพี่น้องร่วมสาบานของเจ้า ถึงเราจะสังหารเขา แต่หนามม่วงตระกูลไป๋จะทำอะไรได้? พวกเขาคงไม่ถึงขั้นประณามเราเพื่อสหายตัวน้อยที่ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาเลยกระมัง?”
หวงฝู่จิ่งเทียนอดรู้สึกโกรธแค้นในใจไม่ได้เมื่อเห็นเป่ยเหิงมีท่าทีหยิ่งผยองเช่นนี้ แต่เขาก็เกรงกลัวตระกูลไป๋ที่หนุนหลังเป่ยเหิง ดังนั้นจึงไม่ได้พูดคำรุนแรงใด ๆ ออกมา เพียงแต่มุ่งเป้าไปที่เฉินซีเท่านั้น
“ใช่ ในเมื่อสหายเต๋าเป่ยเหิงได้รับการปกป้องจากหนามม่วงตระกูลไป๋ เราย่อมจะไม่ทำให้เจ้าขุ่นเคืองใจได้ง่าย ๆ หรอก แต่เฉินซีเป็นเพียงน้องชายร่วมสาบานของเจ้า ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลไป๋ พวกเขาคงไม่สนใจหรอกกระมังว่าเราจะฆ่าเขาหรือไม่ ถูกต้องไหม? โม่หลานไห่ก็หัวเราะเช่นกัน
คนอื่นถอนหายใจโล่งอกเมื่อได้ยินเช่นนี้ ใช่แล้ว เป่ยเหิงก็คือเป่ยเหิง เฉินซีก็คือเฉินซี เหตุใดหนามม่วงตระกูลไป๋ถึงจะลงมือทำอะไรเพื่อมดตัวเล็ก ๆ ได้ล่ะ?
“ผิดมหันต์เชียว! พวกเจ้าทั้งหมด…ยิ่งมีชีวิตอยู่ก็ยิ่งคล้ายโคลนตม!” เป่ยเหิงตำหนิอย่างตรงไปตรงมา ท่าทางดั่งกำลังดุลูกหลานตน โดยไม่ยั้งมือสักนิด
เขากำลังชอบใจนัก ทว่าสีหน้าคนอื่นกลับทะมึนลงและจ้องเขาด้วยความโกรธ แม้ว่าพวกเขาจะกลัวตระกูลไป๋ แต่ศักดิ์ศรีในฐานะยอดฝีมือขอบเขตเซียนปฐพีก็ไม่อาจถูกย่ำยีได้ คำพูดของไป๋เหิงเป็นสิ่งกระตุ้นอารมณ์อย่างไม่ต้องสงสัย
เป่ยเหิงเองก็ไม่กล้าล่วงเกินพวกตาเฒ่าประหลาดพวกนี้เต็ม ๆ เช่นกัน ถ้าเขาชอบใจก็ดีไป แต่หากไปล่วงเกินตาเฒ่าจนอีกฝ่ายไม่สนใครแล้วโจมตีเขาเข้า เช่นนั้นก็คงไม่คุ้ม
เมื่อคิดเช่นนี้ได้แล้ว เป่ยเหิงก็ถอนหายใจยาว “สหายเต๋า อย่าโทษว่าข้าพูดล่วงเกินเลย ขอบอกพวกเจ้าทุกคนอย่างตรงไปตรงมา หากไม่ใช่เพราะพี่น้องร่วมสาบานของข้า ข้าคงไม่ได้ตราคำสั่งนี้มาแน่!”
ทันใดนั้น สีหน้าทุกคนพลันจริงจังขึ้นมา
“เจ้ากำลังบอกว่าคนจากตระกูลไป๋มอบตราคำสั่งนี้ให้เจ้าเพราะเด็กคนนั้นหรือ?” หวงฝู่จิ่งเทียนไม่อาจยับยั้งความตกใจได้และร้องออกมาไม่รู้ตัว
เป่ยเหิงยักไหล่ พลางพูดราวกับเสียไม่ได้ “ด้วยฐานะของข้า ทุกคนคิดว่าข้าจะยินดีจะยอมรับเรื่องแบบนี้หรือไม่เล่า?”
ทุกคนเงียบกันไปหมด พวกเขาเชื่อคำพูดของเป่ยเหิงอย่างสมบูรณ์แล้ว ถ้าเป็นพวกเขาก็คงไม่พูดถึงเรื่องนี้ได้ง่าย ๆ เช่นกัน เหนือสิ่งอื่นใด ก็เป็นเรื่องน่าละอายจริง ๆ ที่จะพูดถึงเรื่องที่ได้รับความโปรดปรานจากหนามม่วงตระกูลไป๋เพราะเด็กคนหนึ่ง
“เป็นไปไม่ได้! หนามม่วงตระกูลไป๋มีสถานะยิ่งใหญ่เช่นนี้ กระทั่งเสด็จพี่จักรพรรดิของข้าก็ไม่สามารถไปเยี่ยมเยียนพวกเขาได้ แล้วสหายน้อยขอบเขตเคหาทองคำจะได้รับความโปรดปรานจากหนามม่วงตระกูลไป๋ได้อย่างไร?” หวงฝู่จิ่งเทียนยังไม่อยากเชื่อ ขณะส่ายหัว แต่ในใจเองก็เริ่มเขว
เป่ยเหิงลอบถอนหายใจ ไม่ต้องกล่าวถึงหวงฝู่จิ่งเทียน กระทั่งเขาที่สาบานเป็นพี่น้องกับเฉินซียังไม่กล้าเชื่อว่าเฉินซีจะมีความเกี่ยวข้องกับหนามม่วงตระกูลไป๋ ก่อนจะได้เห็นความสามารถของไป๋หว่านฉิงด้วยซ้ำ
“ช่างเถอะ เราจะไม่เค้นเรื่องนี้อีก แต่สหายเต๋าเป่ยเหิง สมบัติที่ชิงมาจากศิษย์นิกายเราสุดท้ายย่อมต้องส่งคืนใช่หรือไม่?” โม่หลานไห่ขมวดคิ้วแล้วถอนใจ
ไม่มีใครคาดคิดเลยทีเดียวว่าเรื่องจะมาถึงขั้นนี้ ในตอนแรกนั้น การรับมือกับสหายน้อยขอบเขตเคหาทองคำเป็นเรื่องง่ายดายนัก แต่ก็ไม่ถึงกับให้ความรู้สึกรังแกผู้อ่อนแอ แต่พวกเขาจะนึกฝันได้อย่างไรว่าเฉินซีจะมีคนหนุนหลังทรงอำนาจเช่นนี้อยู่?
หากรู้ก่อนหน้า พวกเขาก็คงไม่มาถึงขนาดนี้หรอก
แต่ตอนนี้ที่พวกเขามาพร้อมจิตสังหาร ไม่เพียงแต่จับตัวเฉินซีไม่ได้ เอาสมบัติสักชิ้นคืนมาก็ยังไม่ได้
สุดท้ายก็ถูกระฆังสั่นเตือนกระแทกหน้า ทำเอาเสียแผนที่วางไว้ทั้งหมด ดังนั้นความเศร้า ความสูญเสีย และความรู้สึกไม่อาจทำอะไรได้ภายในใจของพวกเขาจึงไม่อาจจินตนาการได้ง่าย ๆ
“เราทำได้แต่เช่นนี้เท่านั้น สหายเต๋าเป่ยเหิง เราเสนอไปแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็ควรตอบเห็นด้วยกระมัง?”
“ตราบใดที่เด็กคนนั้นยินดีที่มอบสมบัติที่เขาชิงมาส่งคืนศิษย์นิกายเรา เช่นนั้นเรื่องนี้ก็นับว่าไม่เกิดขึ้น ความเป็นศัตรูทั้งหมดย่อมเลือนหาย และเราจะไม่ยุ่งเกี่ยวกันอีก เจ้าคิดเช่นไร?”
“สหายเต๋าเป่ยเหิงต้องแสดงออกให้ชัดเจน พวกเราล้วนเป็นผู้บ่มเพาะแห่งต้าซ่ง ไม่ได้เป็นของแดนภวังค์ทมิฬ อย่างไรก็ต้องพบหน้ากันบ่อยครั้ง ข้าหวังว่าเจ้าจะคิดเรื่องนี้ได้”
พวกตาเฒ่าเหล่านี้ทั้งมีประสบการณ์และเฉลียวฉลาด ดังนั้นเมื่อรู้ว่าสถานการณ์เกินจะหันกลับแล้ว จึงตัดสินใจถอยก้าวหนึ่งมาใช้แผนสอง จากนั้นก็เสนอข้อเสนอเคล้าความสิ้นหวังมาให้
การทำเช่นนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อรักษาหน้าบางส่วน แต่เพราะจะหางจุกหว่างขากลับไปทั้งที่มาพร้อมกับจิตสังหารเช่นนี้คงไม่ได้กระมัง
เป่ยเหิงรู้สึกพึงพอใจยิ่งเมื่อเห็นภาพฉากนี้ แม้เขาจะยืมพลังคนอื่นมาตบตาเล็กน้อย แต่การได้เห็นตาเฒ่าขอบเขตเซียนปฐพีอันเลื่องชื่อพร้อมหน้ากันพ่ายแพ้เช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแย่แต่อย่างใด หากไม่ใช่เพราะจังหวะไม่เหมาะสม เขาก็คงหัวเราะสุดเสียงไปนานแล้ว และยังจะซดเหล้าฉลองอีกด้วย
ตอนนี้ เขาได้แต่คิดว่าเฉินซีเป็นเด็กดีเพียงใด เขาก็รู้สึกว่าการเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเฉินซีเป็นสิ่งที่ฉลาดที่สุดในชีวิตทีเดียว
เป่ยเหิงแสร้งทำเป็นครุ่นคิดก่อนจะส่ายหัว ก่อนจะพูดอย่างเด็ดเดี่ยวหลังจากผ่านไประยะหนึ่งว่า “ข้าไม่อาจตกลงได้ เพราะข้าและเฉินซีนั้นมีความสัมพันธ์ราวกับว่าอยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกัน ข้าไม่อาจตัดสินใจแทนเขาได้”
เมื่อได้ยินดังนี้ สีหน้าทุกคนรวมถึงหวงฝู่จิ่งเทียนจึงทะมึนลง ดำจนเหมือนก้นหม้อ สหายชราผู้นี้ไม่คิดจะมอบโอกาสกู้หน้าเราเลยหรือไร? มากเกินไปแล้ว!
“ทุกคน ข้ารู้สึกมาตลอดว่านี่เป็นเรื่องระหว่างพวกเด็ก ๆ แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นเด็ก ๆ จัดการกันเอง เรายื่นมือเข้าแทรกเช่นนี้ ไม่นับว่าโอ๋พวกเขาเกินไปหรือ? ไม่เป็นผลดีต่อการบ่มเพาะของพวกนั้นเลย!” เป่ยเหิงราวกับไม่ใส่ใจสีหน้าคนอื่น ๆ เสนอคำแนะนำพร้อมถอนใจออกมา
‘เพ่ย!’
‘ไอ้แก่หน้าซื่อใจคด!’
‘วันหนึ่งเจ้าย่อมถูกทัณฑ์สวรรค์สะบั้นร่างเป็นแน่!’
ทุกคนโกรธจนแทบจะกระอักเลือด พวกเขาล้วนใช้ชีวิตมาหลายพันปีแล้ว แต่กลับถูกเป่ยเหิงสั่งสอน ในใจจะทนได้หรือ?
แต่เรื่องราวออกมาเช่นนี้ ท่าทีของเป่ยเหิงมั่นใจนักว่าพวกเขาคงได้แต่เก็บความแค้นไว้ในใจ ส่วนเรื่องชิงสมบัติเฉินซีน่ะหรือ? น่าขันนัก! เว้นแต่ว่าพวกเขาจะเบื่อมีชีวิตอยู่แล้วเท่านั้นล่ะ!
คนทั้งหมดจากไปเงียบ ๆ โดยไม่มีใครในนิกายกระบี่เมฆาพเนจรล่วงรู้ ทว่าในใจกลับมีไฟแค้นร้อนระอุ ทั้งความโศก โกรธแค้น และสูญเสียคละเคล้าทรมานเสียจนแทบคลั่ง
ในฐานะผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพี พวกเขาเคยอัปยศเช่นนี้ด้วยหรือ?
‘เจ้าพวกศิษย์บัดซบนิกายข้ากล้าล่วงเกินตัวตนที่มีผู้หนุนหลังยิ่งใหญ่ขนาดนั้นได้อย่างไร! นับว่าผลักพวกข้าลงบ่อเพลิงเสียจริง! กลับไปเมื่อไรต้องจับสั่งสอนเสียให้รู้เรื่องแล้ว…’ หวงฝู่จิ่งเทียนและคนอื่น ๆ เคลื่อนกายไปตามทิศทางที่แตกต่างกันอย่างรวดเร็ว ทว่าในใจกลับมีความคิดเดียวกัน นั่นก็คือการสั่งสอนบทเรียนให้พวกศิษย์บัดซบที่ไม่ดูศัตรูให้ดีก่อนจะส่งพวกเขามาให้เสียหน้าเช่นนี้!
หากไม่ลงมือสั่งสอนสักหน่อย ความแค้นในใจคงไม่มีที่ให้ปลดปล่อย!
‘ฟิ้ว~’ ภายในโถงบนยอดเขาหลักของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร เป่ยเหิงเก็บตราคำสั่งของตระกูลไป๋ใส่คลังสมบัติมิติ ก่อนจะถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก
เมื่อนึกถึงเรื่องก่อนหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัววูบไหวในหัวใจ หากวันนี้เขาไม่ได้มีตราคำสั่งของตระกูลไป๋ สถานการณ์ก็คงไม่อาจพลิกผันได้เช่นนี้กระมัง?
‘เช่นนี้ไม่ได้แล้ว! ข้าต้องไปเมืองหมอกสนด้วยตนเองเสียแล้ว ไม่เช่นนั้นข้าก็คงเป็นพี่ชายที่ไร้ค่าเกินไป…’ เป่ยเหิงครุ่นคิดเงียบ ๆ อยู่นาน ก่อนจะก้าวออกจากโถงชุมนุมทันที
“บรรพจารย์สูงสุด เราจะจัดการเรื่องนี้เช่นไร?” หลิงคงจื่อที่ยืนอารักขาอยู่นอกห้องโถงมาโดยตลอด แม้จะไม่ได้ยินทุกอย่างในนั้น แต่เขาเห็นหวงฝู่จิ่งเทียนและคนอื่น ๆ เดินออกมาเต็มสองตา ดังนั้นเมื่อเห็นเป่ยเหิงออกมาแล้วจึงรีบเข้าไปถามไถ่
“ฮ่า ๆ ๆ! เจ้าไม่เห็นพวกเขาคอตกกลับไปหรือ?” เมื่อถูกถึงเรื่องนี้ เป่ยเหิงก็นึกภาพตาเฒ่าตอนพ่ายแพ้ขึ้นมา แล้วก็อดแหงนหน้าหัวเราะขึ้นฟ้าไม่ได้
หลิงคงจื่อตกใจมาก จ้องไปยังบรรพจารย์สูงสุดเป่ยเหิงที่ส่งเสียงหัวเราะเผยความพอใจก่อนจะเอ่ยว่า “ก็คือเฉินซีไม่ตกอยู่ในอันตรายแล้วหรือ?”
เป่ยเหิงพยักหน้าและสั่งการ “เจ้าจงไปบอกคนอื่นไม่ให้พูดพล่ามเรื่องนี้ตามอำเภอใจ ใช่แล้ว ไปซ่อมแซมยอดเขาใจสัจธรรมให้ข้าให้ดี ขาดเหลืออะไรก็ให้ว่ามา อีกทั้งการปฏิบัติต่อศิษย์ยอดเขาใจสัจธรรมก็ต้องทำให้ดีขึ้น แม้น้องชายร่วมสาบานของข้าจะไม่กลับเขา แต่ก็ต้องดูแลเขาลูกนี้ให้ดีสักหน่อย!”
เขาพูดพลางก้าวขึ้นฟ้า จากนั้นร่างก็หายไปในขอบฟ้าไร้เส้นแบ่งในพริบตา
ดูเหมือนบรรพจารย์สูงสุดจะได้เปรียบกับเรื่องนี้กระมัง! หลิงคงจื่อพึมพำไม่หยุด ความรู้สึกตื่นเต้นที่ไม่เคยมีมาก่อนพลันเกิดขึ้นในใจ นับจากวันนี้เป็นต้นไป ใครจะกล้าล่วงเกินนิกายกระบี่เมฆาพเนจรที่กำราบผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีหกคนได้เล่า?