บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 955: ลูบแมว
ตอนที่ 955: ลูบแมว
ตอนที่ 955: ลูบแมว
แสงโคมไฟในสวนกะพริบริบหรี่ บรรยากาศแปลกประหลาดมาก
แต่ไม่ว่าจะเป็นซูอี้ที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้โบราณ หรือว่าจะเป็นยมบาล ทั้งสองต่างก็ผ่อนคลายสบายตัว
ผู้เฒ่าทั้งสามเห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้แล้วต่างก็รู้สึกสับสนปั่นป่วน
“สหายเต๋ามาที่นี่เพราะเหตุอันใด?”
ยมบาลสาวใช้มือหนึ่งเท้าคาง พลางเอียงคอมองไปที่ซูอี้
“แลกเปลี่ยนสิ่งของ และถือโอกาสสอบถามเรื่องบางอย่าง”
ซูอี้ถามขึ้นมา “แล้วเจ้าเล่า?”
ยมบาลเม้มริมฝีปากยิ้ม ก่อนจะกล่าว “ข้าก็เหมือนกับเจ้า มาสอบถามเรื่องบางอย่าง”
จากนั้นชายหนุ่มก็โพล่งกล่าวขึ้น “เกี่ยวกับสำนักสุดวิถีใช่หรือไม่?”
สำนักสุดวิถี!
สีหน้าของฉวี่ป๋อหลิงกับจ้านเป่ยฉีดูแปลกไปเล็กน้อย
หวังชงหลูก็นิ่งตะลึงไป และรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล
เหตุใดอยู่ ๆ เจ้าหนุ่มคนนั้นจึงใช้สำนักสุดวิถีมาลองเชิงผู้หญิงลึกลับน่ากลัวคนนั้น?
หรือว่าเรื่องนี้ซ่อนเร้นเงื่อนงำบางอย่างเช่นนั้นหรือ?
ดวงตากระจ่างใสของยมบาลสาวหรี่เล็กลง นางกล่าวด้วยความตื่นตะลึง “หากว่าข้าดูไม่ผิด วันนี้สหายเต๋าเพิ่งมาถึงเมืองรัตติกาลนิรันดร์ก็ได้ยินเรื่องของขุมกำลังนี้แล้ว เกินกว่าที่ข้าคาดหมายไว้จริง ๆ”
ซูอี้หัวเราะกล่าว “นี่ก็คือเรื่องที่ข้าต้องการจะพูดคุยกับเจ้า แน่นอน หลังจากที่ออกไปจากที่นี่แล้ว พวกเราค่อยไปคุยกันอีกทีก็ยังไม่สาย”
สีหน้าของหญิงสาววูบไวไปมา นางมองดูซูอี้นิ่ง ๆ ชั่วครู่จึงกล่าวขึ้น “ก็ดีเช่นกัน”
เวลานี้ คนผู้หนึ่งก็เดินออกมาจากห้องโถงใหญ่ในสวน
คนผู้นี้คือบุรุษรูปงาม ผิวของเขาซีดขาว รูปร่างสูงสวมชุดสีแดง ใบหน้าเต็มไปด้วยกลิ่นอายความดุดันที่ไม่อาจลบเลือนไปได้
เมื่อเขาเดินออกมา กลิ่นอายพลังซึ่งพร้อมจะปะทุในตัวของจ้านเป่ยฉี จักรพรรดิปีศาจกระบี่เวหาผู้ที่ยืนอยู่หน้าห้องโถงมาโดยตลอดพลันลุกโชนขึ้นมาราวกับภูเขาไฟที่ใกล้จะระเบิด
สีหน้าของฉวี่ป๋อหลิงก็แฝงไว้ความฉงนสงสัยเช่นกัน
ผู้ชายในชุดสีแดงคนนี้เป็นแขกคนแรกในวันนี้ที่มาเยี่ยมคารวะยามบอกเวลา มีที่มาลึกลับ กลิ่นอายพลังในตัวลุ่มลึกประดุจเหวลึกที่ยากจะหยั่งถึง
เมื่อรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายพลังในตัวคนผู้นี้ ใจของหวังชงหลูก็สั่นรุนแรง จนหน้าเปลี่ยนสีไป
กลิ่นอายพลังของเขาเหมือนกับกลิ่นอายพลังในตัวผู้แข็งแกร่งของสำนักสุดวิถีไม่มีผิดเพี้ยน!
แต่เมื่อเทียบกันแล้ว กลิ่นอายพลังของคนผู้นี้น่ากลัวยิ่งกว่าอย่างเห็นได้ชัด
“ที่นี่คือเมืองรัตติกาลนิรันดร์ หากต้องการจะมาชวนต่อสู้ ออกจากเมืองไปแล้วค่อยสู้กัน”
ผู้ชายชุดสีแดงชายตามองไปที่จ้านเป่ยฉี แล้วหมุนตัวไปอีกทาง
จ้านเป่ยฉีระงับกลิ่นอายพลังในตัว และนิ่งเงียบไม่พูด
บุรุษคนนั้นมาหยุดลงตรงหน้ายมบาลสาวที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้โบราณ
ใต้เท้า?
หวังชงหลูตื่นตระหนก หรือว่าผู้หญิงคนนั้นจะมาจากสำนักสุดวิถี!?
“ข้าไม่สนใจอยากรู้เรื่องของพวกเจ้า และเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องบอกเรื่องเหล่านี้แก่ข้าด้วย”
ยมบาลเอ่ยพูดเบา ๆ
มือเรียวขาวเนียนประดุจหิมะของนางเท้าคาง สายตาจับจ้องไปยังใบหน้าของซูอี้ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ตลอดเวลา ไม่แม้แต่จะหันไปมองผู้ชายในชุดสีแดงคนนั้นแม้แต่น้อย
นี่คืออาการเพิกเฉยไม่ใส่ใจอย่างที่สุด
ทว่าเขากลับไม่รู้สึกตะขิดตะขวงแม้แต่น้อยราวกับเคยชินไปเสียแล้ว
ขณะที่หมุนตัวจะจากไป ชายหนุ่มกวาดตามองไปที่ซูอี้ แสดงสีหน้าประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย
ฉับพลันก็สาวเท้าก้าวออกไป ไม่ได้พูดอะไรอีก
จนกระทั่งร่างของเขาหายลับไปจากสวน เสียงใสแจ๋วเสียงหนึ่งจึงดังขึ้นจากห้องโถงใหญ่ในสวน
“แขกท่านที่สองสามารถเข้ามาได้แล้ว”
จ้านเป่ยฉีพลันก้าวเท้าเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่
ถึงแม้ประตูใหญ่ของห้องโถงใหญ่แห่งนี้จะเปิดอ้า ทว่าคลื่นพลังไร้ตัวตนที่ปกคลุมเพื่อตัดขาดจากโลกภายนอกนั้นทำให้ไม่อาจมองเห็นภาพภายในได้
จู่ ๆ ฉวี่ป๋อหลิงผู้สะพายดาบก็สาวเท้าก้าวเดินไปที่หน้าห้องโถงใหญ่ เขายืนอยู่ในตำแหน่งที่จ้านเป่ยฉียืนอยู่เมื่อก่อนหน้าและรอคอยอย่างสงบ
เวลานี้ ซูอี้ขมวดหัวคิ้วน้อย ๆ และกล่าว “ชุ่ยน้อย ใคร ๆ ก็รู้กฎระเบียบของนายเจ้า แต่เจ้าจงไปบอกเขาว่าดีที่สุดให้เร่งสักหน่อย ข้าไม่มีความอดทนจะรอต่อไปมากนัก”
ชุ่ยน้อย?
หวังชงหลูกับฉวี่ป๋อหลิงสะดุ้งใจพร้อม ๆ กัน
ถึงแม้ทั้งสองจะเดาไม่ออกว่า ‘ชุ่ยน้อย’ ที่ซูอี้เรียกนั้นคือใคร แต่สามารถฟังออกว่าซูอี้กำลังให้คนไปเร่งยามบอกเวลาให้ทำเวลา!
เรื่องนี้ทำให้ตัวประหลาดทั้งสองที่เคยประสบกับเรื่องราวในโลกมามากมายถึงกับรู้สึกปั่นป่วนขึ้นมาในใจ เป็นเพียงแค่ชายหนุ่มขอบเขตวงล้อวิญญาณ แต่ทำท่าราวกับมาเที่ยวสวนหลังบ้านของตัวเอง พูดจาตามอำเภอใจ และคอยชี้นิ้วสั่ง
แต่ผู้เฒ่าเช่นพวกเขาทั้งสองกลับอยู่ในความสงบเรียบร้อย ไม่กล้าทำอะไรรุ่มร่าม
เมื่อเทียบกันแล้ว ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก
ยมบาลสาวอดยิ้มขึ้นไม่ได้
นางรู้สถานะของซูอี้เป็นอย่างดี จึงย่อมรู้ว่าชายหนุ่มมีความมั่นใจในตัวมากจึงกล้าพูดจาเช่นนี้
หลังจากนั้นเพียงแค่ครู่
สวบ!
ประกายแสงสีเขียวผลุบออกมาจากห้องโถงใหญ่ กลายร่างเป็นนกกระเต็นตัวน้อยสีเขียวจะงอยปากสีแดง บินมาอยู่ข้างกายซูอี้
“นายท่านของข้าบอกว่า เชิญท่านดื่มน้ำชาก่อน”
เสียงของนกกระเต็นตัวนี้ใสแจ๋ว พูดพลางกระพือปีก
ฉับพลันบนโต๊ะตรงหน้าซูอี้ก็มีน้ำชาร้อน ๆ จอกหนึ่งปรากฏ
“ข้าไม่ดื่มชา”
ซูอี้ส่ายหน้าน้อย ๆ “เอาสุรามา ใช่แล้ว นายของเจ้าคงจะเก็บสุราดีไว้จำนวนไม่น้อย เจ้าจงไปหยิบมาไหหนึ่ง”
นกกระเต็นอึ้งอยู่กลางอากาศ ราวกับเป็นครั้งแรกที่เจอะเจอแขกกล้าออกคำสั่งต่อตนเองเช่นนี้
สักพักใหญ่ ๆ มันจึงกล่าว “กรุณารอสักครู่ ข้าไปขออนุญาตนายท่านก่อน”
จากนั้นนกกระเต็นตัวนี้ก็หายวับไปในพริบตา
จากนั้น นกกระเต็นก็ย้อนกลับมาอย่างรวดเร็ว เมื่อมันกระพือปีกทีหนึ่ง สุราไหหนึ่งก็ปรากฏอยู่บนโต๊ะ “นายท่านของข้าบอกว่า นี่เป็นสุราเก่าที่เขาเก็บรักษาเป็นเวลานานมากแล้ว ชื่อว่า ‘พันชั้น’ ท่านจะต้องชอบเป็นแน่”
พูดจบ ดวงตาที่คล้ายกับอัญมณีของนกกระเต็นคู่นั้นก็ผุดประกายงุนงง
ดูเหมือนว่า แม้กระทั่งมันก็ยังไม่อยากจะเชื่อเช่นกันว่า ‘นายท่าน’ จะทำตามคำขอของชายหนุ่มขอบเขตวงล้อวิญญาณคนนี้อยู่ไม่ขาด อีกทั้งยังเอา ‘สุราพันชั้น’ ที่ปกติแล้วแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังเสียดายไม่กล้าดื่มออกมาให้อีก!
“สุรานี้ไม่เลวเลยจริง ๆ”
น้อยนักที่ซูอี้จะชื่นชมเช่นนี้
เมื่อชาติก่อน เขาเคยดื่มแข่งกับผีเฒ่าแบกโลกที่นี่
สุราที่ดื่มก็คือสุราพันชั้นที่ยามบอกเวลาเตรียมไว้!
เวลาผ่านพ้นไปนาน สวนแห่งนี้ยังคงเหมือนเดิม ทว่าคนที่ดื่มแข่งด้วยกันกลับไม่อยู่ด้วย
“ตลอดชีพยึดมั่นในปณิธาน ทว่าบัดนี้กลับไม่เหลือใครร่วมดื่ม”
ซูอี้ทอดถอนใจเบา ๆ เอื้อมมือไปเปิดไหสุราเบา ๆ จากนั้นยกไหสุราขึ้นดื่ม
นกกระเต็นหายวับไป
สายตาของฉวี่ป๋อหลิงดูแปลกไป
หวังชงหลูอยากจะพูดแต่ก็ยับยั้งไว้
สุดท้าย ตัวประหลาดทั้งสองต่างก็นิ่งเงียบ
นับตั้งแต่ซูอี้เข้ามาในสวนแห่งนี้ ในสายตาของพวกเขามองว่าการกระทำทั้งหมดทั้งมวลล้วนสามารถบรรยายด้วยคำว่า ‘ผิดปกติ’ ‘น่าตื่นตะลึง’ และ ‘เกินความคาดคิด’ ได้ทั้งสิ้น
จนถึงขั้นแทบไม่อยากจะเชื่อ
ถึงตอนนั้น ตัวประหลาดทั้งสองเข้าใจแล้วว่าที่มาของชายหนุ่มคนนี้จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน และอาจจะเกี่ยวข้องอะไรบางอย่างกับยามบอกเวลาด้วย!
มิเช่นนั้น ซูอี้คงไม่มีทางทำตามอำเภอใจเช่นนี้ได้ ทั้งยังปล่อยตัวตามสบายเกินไปราวกับอยู่บ้านของตัวเอง
หากไม่ใช่เพราะเกรงกลัวอานุภาพของยมบาลล่ะก็ หวังชงหลูอยากจะถามซูอี้แล้วว่า ทั้งหมดนี้มันเรื่องอันใดกัน
เกินความคาดหมายจริง ๆ!
“ให้ข้าดื่มกับเจ้าสักจอกไหม?” ยมบาลสาวยิ้มพลางถาม
นางท่องคำกล่าว ‘ตลอดชีพยึดมั่นในปณิธาน ทว่าบัดนี้กลับไม่เหลือใครร่วมดื่ม’ ในใจ ระหว่างที่ท่องเผยความโดดเดี่ยวและความกลัดกลุ้มออกมาโดยไม่ตั้งใจ ทำให้นางเกิดความรู้สึกว้าเหว่ขึ้นในใจ
ยิ่งระดับฝึกตนสูง ระดับวิถีก็ยิ่งล้ำลึก บนหนทางวิถีที่เสาะแสวงก็ยิ่งโดดเดี่ยว
เป็นเพราะผู้ที่เทียมบ่าเทียมไหล่นั้นมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
ที่สูงนั้นหนาวเหน็บ ทุกอย่างจึงเป็นไปเช่นนี้
“เจ้าต้องการจะลิ้มรสสุราพันชั้นมากกว่ากระมัง”
ซูอี้หัวเราะขึ้นมา
“ไม่ได้หรอกหรือ?”
นางย้อนถาม ดวงตาใสมีเสน่ห์ส่องสว่างคู่นั้นมองไปที่ซูอี้
“ข้าดื่มสุราไหนี้ไปแล้ว”
ซูอี้เสียดายจึงไม่อยากจะแบ่งสุราดีเช่นนี้ให้
ทว่ายมบาลสาวกลับกล่าวด้วยรอยยิ้มหวานเยิ้ม “ข้าไม่รังเกียจ”
พูดจบก็แย่งไหสุราในมือของซูอี้ จากนั้นพลันกรอกสุราเข้าปาก
ท่าทีอาจหาญเช่นนี้กลับเพิ่มเสน่ห์ความเย้ายวนให้กับนาง
ซูอี้ตะลึงไปชั่วครู่ กล่าวด้วยความเสียดาย “ดื่มน้อยหน่อย ไม่กลัวสำลักเช่นนั้นหรือ?”
จากนั้นเขาก็เอื้อมมือไปแย่งกลับมา
หวังชงหลูกับฉวี่ป๋อหลิงมองจนตาค้าง
ตีให้หัวแตกพวกเขาก็คาดไม่ถึงว่าผู้หญิงลึกลับน่ากลัวเช่นนั้นกลับแย่งสุราของชายหนุ่มอย่างซูอี้มาดื่ม
“เหมียว~”
เวลานี้ บนกิ่งไม้สูงลิ่ว จู่ ๆ แมวเหลืองตัวอ้วนกลมที่นอนหงายพุ่งหงายไส้กรนคร่อก ๆ ตัวนั้นก็ยืดตัวลุกขึ้น ส่งเสียงร้องยาว ๆ ออกมา
พอมันก้มหน้ามองไปที่ไหสุราของซูอี้ ดวงตาสีน้ำเงินใสคู่นั้นก็ลุกวาวราวกับคบเพลิง
ชั่วขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นยมบาล หรือหวังชงหลูกับฉวี่ป๋อหลิง ต่างก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าแมวเหลืองอ้วนกลมตัวนี้กำลังแผ่อานุภาพไร้ตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวออกมา
ราวกับเทพปีศาจผู้มีอานุภาพอันน่ากลัวติดมาแต่กำเนิดตื่นขึ้นจากการหลับใหล
“เอ๊ะ” ยมบาลสาวร้องตกใจ ดวงตาใสเป็นประกาย
นางพอจะมองออกได้ราง ๆ ว่า ในตัวแมวเหลืองที่ดูคล้ายกับแมวบ้านทั่ว ๆ ไปตัวนี้ แท้จริงแล้วมีพลังประหลาดน่าสะพรึงกลัวแอบแฝง!
หวังชงหลูขนลุกซู่
ร่างเดิมของเขาเป็นถึงงูยักษ์ดุร้าย สัญชาตญาณโดยกำเนิดทำให้เขารู้สึกได้ในทันใดว่าในตัวแมวเหลืองตัวนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายพลังอันน่ากลัวยิ่งนัก!
ฉวี่ป๋อหลิงตัวแข็งทื่อ แอบถอนใจเงียบ ๆ ตามความคาดหมาย ไม่เพียงแต่สวนแห่งนี้เท่านั้นที่ลึกลับเกินจะคาดเดา แม้กระทั่งแมวเหลืองกับนกกระเต็นที่ยามบอกเวลาเลี้ยงก็ยังไม่ธรรมดา!
ตามที่ทราบกันว่า เขาเป็นถึงตัวตนขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ
เมื่อรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายพลังในตัวของแมวเหลืองตัวนั้นแล้ว จิตใจกลับรู้สึกถึงอันตรายขึ้นมา!
สวบ!
ทุกคนรู้สึกตาลาย
แมวเหลืองตัวนั้นกระโดดลงมาจากกิ่งไม้ กระโจนไปยังไหสุราในมือของซูอี้
ทว่าขณะที่ยังอยู่กลางอากาศ จู่ ๆ ในใจของมันก็มีเสียงแหบแห้งเสียงหนึ่งดังขึ้น “อย่าได้เหลวไหล บทเรียนในครั้งนั้นยังไม่เพียงพออีกหรือ?”
แมวเหลืองสะดุ้งราวกับนึกอะไรขึ้นได้ ร่างอ้วนกลมแข็งกระด้างขึ้นมา ขนทั่วตัวลุกชัน หางนุ่ม ๆ ยืดตรงในทันใด
ตกใจสุดขีด
มันร้องเหมียวขึ้นมาทีหนึ่ง ขณะที่หมุนตัวเพื่อหนีก็ถูกซูอี้คว้าคอไว้ได้ในมือเดียว จากนั้นหิ้วมาอยู่ตรงหน้า
“เจ้าเดรัจฉานน้อยนับวันก็ยิ่งอ้วนขึ้นทุกที ดูท่าแล้วในช่วงเวลาที่ผ่านมา คงจะกินวิญญาณร้ายเข้าไปเยอะเป็นแน่”
ซูอี้สำรวจดูแมวเหลืองตั้งแต่หัวจรดหาง
ในดวงตาสีน้ำเงินใสของแมวเหลืองเต็มไปด้วยความหวาดกลัว น่าสงสาร และไร้ที่พึ่ง มันสั่นระริก
ซูอี้หัวเราะพลางอุ้มแมวเหลืองขึ้นมา มือคู่นั้นลูบหลังอ้วนกลมนุ่มนิ่มของมันทีหนึ่ง และรู้สึกนุ่มไม่เลว
แมวเหลืองขดตัวอย่างสงบ ไม่กล้ากระดุกกระดิก
เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ทั้งหมดนี้แล้ว ไม่เพียงแต่หวังชงหลูกับฉวี่ป๋อหลิงเท่านั้น แม้กระทั่งยมบาลสาวก็ยังมองจนตาค้าง
แมวเหลืองที่มีกลิ่นอายพลังราวกับเทพปีศาจผู้ยิ่งใหญ่เช่นนี้กลับหวาดกลัวซูอี้เหลือคณา!
นี่มันเรื่องอะไรกัน?