บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 933: รับเจ้ากลับบ้าน
ตอนที่ 933: รับเจ้ากลับบ้าน
ตอนที่ 933: รับเจ้ากลับบ้าน
ในโลกหล้าอันปั่นป่วน กลิ่นอายแห่งสงครามละล่องบนอากาศ
ศึกอันกล่าวได้ว่าเป็นโศกนาฏกรรมนี้มาถึงจุดที่เกือบตัดสินผู้ชนะได้แล้ว
นอกจากเย่อวี๋ เว่ยเต้าเยวี่ยนและลู่สิงผู้ยังคงดิ้นรนประคองตนได้ จักรพรรดิผู้อื่นล้วนเจ็บหนักใกล้ตาย และเสียความสามารถในการต่อสู้ ตอนนี้กำลังพักฟื้นอยู่ ณ อีกฟากของรอยแบ่งเขตแดนกันทั้งสิ้น
กระทั่งลู่สิงยังไม่ลังเลที่จะสละทุกสิ่งเปิดทางหนีให้กับเย่อวี๋และเว่ยเต้าเยวี่ยน
สถานการณ์ใกล้พังทลาย
ทว่ายามนี้เอง ได้เกิดจุดเปลี่ยนอันไม่คาดฝันขึ้น
ประการแรก โยวเสวี่ยปรากฏขึ้นบนฟ้า นางใช้ดาบปลายมนไร้วจีแผดเผากำราบศัตรู และช่วยคลายวงล้อมแก่เย่อวี๋ในทันใด
จากนั้นกลุ่มตัวตนร้ายกาจเช่นจักรพรรดิกระดูกขาวและท่านเทพดาราคล้อยก็ปรากฏขึ้นไล่ล่าปีศาจทันที สิ่งเหล่านี้สะท้านใจของผู้พบเห็นยิ่ง!
สถานการณ์ในสนามรบพลิกผันแปรเปลี่ยน!
ทุกสิ่งนี้ผิดจากจินตนาการของเย่อวี๋ เว่ยเต้าเยวี่ยนและลู่สิงโดยสิ้นเชิง
และยังทำให้เหล่าจักรพรรดิที่ฟื้นตัวอยู่ไกล ๆ ตกตะลึงด้วยเช่นกัน
พวกเขากำลังจะสิ้นหวังอยู่แล้ว และจู่ ๆ ก็มีกำลังเสริมมาจากฟ้าและพลิกสถานการณ์ ใครเล่าจะคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน?
ยามนี้ ฝูงปีศาจร้ายกาจกำลังจับจ้องพวกเขามาจากในดินแดนมืดมิด พร้อมด้วยบรรยากาศเสียดกระดูก
ท่ามกลางบรรยากาศหดหู่ถึงตายนี้ ชายหนุ่มชุดเขียวผู้หนึ่งขี่บนหลังสัตว์สุญญะสว่างว่างปรากฏกายขึ้น
เขาเดินมาจนถึงดินแดนรกร้าง
ภาพนี้ยังสร้างความสะเทือนใจให้ทุกคนที่เฝ้ามอง!
จักรพรรดิทั้งหลายที่นี่ล้วนแต่เป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าที่ใช้ชีวิตอยู่นานเพียงไรไม่อาจทราบ พวกเขาจะไม่เห็นหรือว่าชายหนุ่มชุดเขียวผู้ปรากฏทีหลังสุดคือผู้บงการเหล่ากำลังเสริมจากสวรรค์เหล่านี้?
“เจ้าหนูผู้นั้นเป็นใคร? กระทั่งเจ้าครองธารสุญโลหิตโกลาหล ‘สัตว์สุญญะสว่างว่าง’ ยังรับใช้เป็นพาหนะให้เขากระนั้นรึ?”
สตรีผมขาวอ้าปากค้าง
นางมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นสัตว์สุญญะสว่างว่าง!
“จักรพรรดิกระดูกขาว ท่านเทพดาราคล้อย จักรพรรดิโฉดฉือเลี่ยน…”
ชายชราร่างผอมแห้งในชุดดำกลืนน้ำลายเอื๊อกพลางกล่าวด้วยสีหน้าเลื่อนลอย “ตัวตนร้ายกาจจากเมืองมรณะเหล่านี้ ไฉนจึงยอมลดตนมาช่วยชายหนุ่มผู้นั้นด้วย?”
เรื่องนี้น่าเหลือเชื่อจริง ๆ
“ไม่ว่าอย่างไร เรา… ดูจะปลอดภัยแล้ว…”
ชายร่างสูงใหญ่กำยำพึมพำ เสียงของเขาสั่นเล็กน้อย
ช่วงกาลที่ผ่านมาสำหรับจักรพรรดิเหล่านี้นั้นมืดมน พวกเขาต้องเผชิญบททดสอบเป็นตายทุกเมื่อเชื่อวัน
ยามนี้ มีใครผู้หนึ่งร่วงหล่นมาจากฟ้า เป็นดั่งแสงตะวันรุ่งสางในใจของพวกเขา
ขณะเดียวกัน เย่อวี๋ก็ตะลึงค้าง
กล่าวอีกนัยก็คือ นับแต่ยามแรกที่นางได้พบชายหนุ่มชุดเขียวจากระยะไกล นางก็ตะลึงค้างเล็กน้อย แววตาซึ่งเดิมหนักแน่นคมกริบกลับเหม่อค้าง
ทว่าเมื่อนางเห็นชายหนุ่มชุดเขียวก้าวลงจากร่างสัตว์สุญญะสว่างว่างเข้ามาใกล้นางทีละก้าว หัวใจของเย่อวี๋ก็เต้นระรัว ร่างบางอรชรสั่นไหวเล็กน้อย
“เย่น้อย ข้ามารับเจ้ากลับบ้านแล้ว”
ซูอี้กล่าวเบา ๆ
ยามก่อน หญิงสาวนั้นเงียบสงบสำรวม สง่าอ่อนหวาน
วันนี้ หญิงสาวผู้นี้มีการฝึกฝนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ เป็นจักรพรรดิวิญญาณหยาดสวรรค์ผู้ระบือนามไกลทั่วแดนดิน แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่อาจกล่าวว่าไม่น้อย
ทว่าเรื่องเหล่านี้ไม่สำคัญแม้แต่น้อย
ซูอี้รู้สึกร้อนใจขึ้นมาเมื่อเห็นบาดแผลและโลหิตที่เปื้อนร่างของเย่น้อย และใบหน้าซีดเซียวของนาง
แพขนตาของเย่อวี๋สั่นไหวเล็กน้อย ดวงตาคู่นั้นเบิกกว้าง หยาดน้ำตากระจ่างสีร่วงจากดวงตาของนางอย่างมิเต็มใจ เคลื่อนผ่านใบหน้าขาวงดงาม
ยามนี้ ในที่สุดนางก็เชื่อว่านี่ไม่ใช่ความฝัน
ทว่านางยั้งตนไว้ ก่อนจะยิ้มและกล่าวว่า “ข้ารู้ ว่าเจ้าจะกลับมาแน่!”
เสียงของนางกระจ่างใสราวน้ำในลำธาร เผยความปรีดาอันเกินใดเทียบ
ดวงตาของโยวเสวี่ยที่รู้เรื่องทั้งหมดพลันซับซ้อนขึ้นมาเล็กน้อย
ซูอี้ก้าวเข้ามา เขายกมือเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของเย่อวี๋เบา ๆ และกล่าวว่า “เราไปคุยกันตรงโน้นเถอะ”
กล่าวจบ เขาก็หันเดินไปยังโลกอีกฝั่งของรอยแบ่งเขตแดน
เย่อวี๋ลังเลชั่วขณะ และกล่าวว่า “แต่ปีศาจพวกนั้น…”
“ใต้เท้าท่านนี้โปรดอย่ากังวล ปล่อยข้าจัดการเถอะขอรับ”
ปีศาจเฒ่าคิ้วขาวฉวยโอกาสรีบตบอกรับคำ
เขากล่าวพลางหันไปตะโกนเรียกพวกจักรพรรดิกระดูกขาว “ทุกท่าน ลงมือกันดีกว่า!”
เสียงของเขาขจรลั่นทั่วหล้า
ทว่า แม้พวกเขาจะไม่พอใจนักที่ถูกปีศาจเฒ่าคิ้วขาวสั่งการ แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าคัดค้านและลงมือทันที
ตู้ม!
โลกหล้าปั่นป่วนขึ้นอีกครั้ง และความเงียบสงบก็พังทลายลง
ตัวตนร้ายกาจสิบกว่าตนลงมือประสาน ผู้ที่อ่อนแอที่สุดเทียบได้กับตัวตนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ!
และพวกที่แข็งแกร่งกว่าใครเช่นจักรพรรดิกระดูกขาวและท่านเทพดาราคล้อยนั้นเกินพอจะเป็นภัยต่อชีวิตตัวตนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำได้!
เมื่อพวกเขาลงมือด้วยกัน อำนาจมหาศาลก่อให้เกิดความอลหม่านในดินแดนอันมืดมิดนี้ทันที พื้นที่ทั่วบริเวณต่างเละเทะไม่เหลือซาก
“ฆ่า!”
แทบจะในขณะเดียวกัน ปีศาจร้ายเหล่านั้นก็เดินหน้าโจมตี
ก่อนหน้านี้ ปีศาจร้ายเหล่านี้แค่ตกใจจนถอยไปเท่านั้น และยามนี้ พวกมันจะไม่อยู่เฉย
สงครามบังเกิด
นางรู้ดีมากว่าหลังผ่านไปหลายหมื่นปี ไม่ว่าซูอี้หรือเย่อวี๋ต่างมีเรื่องต้องพูดกันมากมาย
ยามนี้ หากนางยังตามไป รังแต่จะขายหน้าตนเองเสียเปล่า
ฉับ!
โยวเสวี่ยใช้ดาบปลายมนไร้วจีแผดเผาโจมตีไปบนอากาศ
“ไปกันเถอะ”
ซูอี้กล่าวเบา ๆ พลางเดินนำไปไกล
เขาเมินคนอื่น ๆ ที่นี่ตั้งแต่ต้นจนจบ กระทั่งปีศาจร้ายเหล่านั้นต่างถูกซูอี้เมินสิ้น
เย่อวี๋พยักหน้าและตามเบื้องหลังเขาไปอย่างว่าง่าย
จักรพรรดิวิญญาณหยาดสวรรค์ผู้องอาจยามศึกเมื่อกาลก่อน ยามนี้ดูจะทิ้งความเฉียบขาดและหน้ากากบดบังตนสิ้น กลายมาเป็นหญิงสาวผู้เงียบสงบสง่างามเดินตามหลังซูอี้เช่นกาลก่อน
ส่วนศึกเบื้องหลังนาง นางลืมหมดสิ้นแล้ว
ขณะเดิน เย่อวี๋ลังเลเล็กน้อยเมื่อเห็นสองมือของซูอี้ไพล่อยู่เบื้องหลัง ก่อนที่นางจะรวบรวมความกล้าก้าวเข้าไป และเอื้อมมือเรียวบางดุจหยกของนางคว้ามือขวาของซูอี้ไว้
ยามนี้ ร่างอรชรของเย่อวี๋ชะงักเล็กน้อย ปลายนิ้วของนางสั่นไหวนิดหน่อย เผลอก้มหน้าลงอย่างประหม่าราวกับกลัวถูกตำหนิ
ซูอี้เองก็ผงะไปชั่วขณะเมื่อสัมผัสมือราวกับหยกนิ่มในมือตน ก่อนจะอดยิ้มออกมาไม่ได้
เขาไม่ได้กล่าวอันใด ทำเพียงปล่อยให้เย่อวี๋จับมือเขาเดินต่อ
เย่อวี๋ถอนหายใจโล่งอก จากนั้นรอยยิ้มน้อย ๆ ก็ปรากฏที่ริมฝีปากสีชมพู ดวงตาเปี่ยมความยินดี
มันก็แค่จับมือ ทว่าสำหรับนาง มันดูจะมีความหมายเหนือธรรมดา
หากเป็นไปได้ เย่อวี๋ก็อยากเดินกับซูอี้แบบนี้ไปตลอดกาล…
ไกลออกไป ลู่สิงเห็นภาพทั้งหมดกระจ่างแจ้ง
สีหน้าของเขาทั้งตกใจ งุนงง และผิดหวังอย่างไม่อาจบรรยาย
ชายหนุ่มชุดเขียวผู้นั้นเป็นใคร เหตุใด… เพราะเหตุใดเย่อวี๋จึงเป็นฝ่ายเอื้อมมือไปจับและติดตามเขาอย่างว่าง่ายเช่นนี้?
ตู้ม!
ศึกอันเกิดไกลออกไปดุเดือดเข้มข้นอย่างไม่เคยเกิดมาก่อน
ทว่าในใจของลู่สิงกลับรู้สึกขมขื่นอย่างไม่อาจสาธยาย
เขาพลันจำได้ว่าเย่อวี๋เคยพูดกับตนเองถึง ‘เขา’ ก่อนเริ่มศึก
“หรือชายหนุ่มชุดเขียวผู้นี้จะเป็นผู้ที่แม่นางเย่อวี๋ชอบ? แต่เห็นกันอยู่ว่าเขามีระดับฝึกฝนเพียงวงล้อวิญญาณ… อีกอย่าง เขาดูเด็กมากด้วย…”
ลู่สิงตะลึงอึ้ง
เขาไม่เคยคิดเลยว่านอกจากปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน โลกนี้จะมีผู้อื่นที่สามารถได้รับความรักจากจักรพรรดิวิญญาณหยาดสวรรค์ด้วย
ลู่สิงหันไปมองสงครามที่เกิดขึ้นจากระยะไกล และในที่สุดก็กัดฟันเดินจากสนามรบ ออกไปตามซูอี้และเย่อวี๋
“นามข้าคือลู่สิง ขอบคุณสหายเต๋าที่ช่วยเหลือ!”
ลู่สิงสูดหายใจลึก ๆ และก้มหัวลง “ข้าขอทราบว่าสหายเต๋ามีนามใดหรือ?”
ซูอี้หันไปกล่าวกับลู่สิงว่า “เจ้ามาจากตระกูลลู่ผู้ดูแลกรมสุขาวดีหรือ?”
ลู่สิงอดแปลกใจไม่ได้ ไม่คาดว่าชายหนุ่มในขอบเขตวงล้อวิญญาณจะมองปราดเดียวก็เห็นที่มาของเขา
เขาพยักหน้าตอบ “ถูกต้อง”
“นามข้า คงดีกว่าหากไม่เอ่ยถึง”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก ควรฉวยโอกาสนี้รีบรักษาบาดแผลจะดีกว่า เมื่อพวกปีศาจร้ายถูกกำจัด ข้าจะพาพวกเจ้าออกไป”
กล่าวจบ เขาก็ก้าวต่อโดยเมินเฉยต่อลู่สิง
ลู่สิงตะลึงอึ้ง เขามาจากตระกูลลู่แห่งกรมสุขาวดี เป็นตัวตนแข็งแกร่งในขั้นต้นขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ
ปกติแล้ว อย่าว่าแต่ผู้ฝึกตนทั่วไปเลย กระทั่งจักรพรรดิในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำยังต้องให้เกียรติเขายามพบเจอ ไม่กล้าเย่อหยิ่งแม้เพียงน้อย
ทว่ายามนี้ ชายหนุ่มผู้หนึ่งในขอบเขตวงล้อวิญญาณไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิดแม้จะรู้ว่าเขามาจากตระกูลลู่!
มันผิดปกติมากเข้าไปทุกที
ท้ายที่สุด ลู่สิงก็เก็บความงุนงงในใจและไม่ได้ถามอันใดอีก
เมื่อซูอี้และเย่อวี๋กลับสู่จุดพักแรม จักรพรรดิทั้งหลายที่กำลังฟื้นตัวต่างเข้ามาขอบคุณซูอี้
ยามนี้ เย่อวี๋ย่อมไม่อาจจับมือซูอี้ต่อได้
“ข้ามาที่นี่เพื่อพาเย่อวี๋กลับ การช่วยพวกเจ้าเป็นเพียงของแถม ไม่ต้องขอบคุณข้าเรื่องนี้หรอก”
ซูอี้กล่าวอย่างเยือกเย็น
กล่าวจบ เขาก็หันไปพูดกับเย่อวี๋ “หาที่คุยกันเป็นการส่วนตัวเถอะ”
เย่อวี๋ส่งเสียงรับอย่างเชื่อฟัง
และทั้งสองก็เดินไปไกล เมินสีหน้าตะลึงอึ้งของเหล่าจักรพรรดิไปทันที
พวกเขาคงไม่อาจคาดได้ว่าท่าทีของชายหนุ่มในขอบเขตวงล้อวิญญาณจะเย่อหยิ่งเย็นชา ไม่อยากพูดกับพวกเขาเช่นนี้
ทว่าไร้ผู้ใดไม่พอใจ
เพราะถึงอย่างไร สำหรับพวกเขา การปรากฏตัวของซูอี้และคณะช่วยให้พวกเขาพลิกสถานการณ์รบและนำมาซึ่งความหวังรอดชีวิต!
ในทางกลับกัน การกระทำของซูอี้ก็ทำให้พวกเขาฉงนใจมากขึ้นอีก
ชายหนุ่มในขอบเขตวงล้อวิญญาณนำกลุ่มตัวตนร้ายกาจซึ่งล้วนแต่เป็นเจ้าถิ่นในเมืองมรณะออกมาเข่นฆ่าในคุกอเวจีชั้นที่เจ็ด เป็นภาพที่ไม่อาจจินตนาการออกได้เลย
สิ่งที่ยิ่งเหลือเชื่อนั้นคือ ตัวตนแข็งแกร่งเยี่ยงจักรพรรดิวิญญาณหยาดสวรรค์กลับพินอบพิเทาอ่อนหวานยามเมื่อเผชิญชายหนุ่มผู้นั้น
ทั้งหมดนี้เพิ่มความลึกลับของซูอี้ในสายตาเหล่าจักรพรรดิได้อย่างมหาศาล
“ทุกคน ท่านว่าชายหนุ่มผู้นั้นน่าจะใช่ร่างเวียนวัฏสงสารของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินหรือไม่?”
ใครบางคนอดกระซิบไม่ได้
หนึ่งประโยคนั้นทำให้หัวใจของทุกคนตะลึงงัน
และยังทำให้สีหน้าของลู่สิงแปรเปลี่ยนเฉียบพลัน!