บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 914: ความลับของศิลาหลุมศพ
ตอนที่ 914: ความลับของศิลาหลุมศพ
ตอนที่ 914: ความลับของศิลาหลุมศพ
ไม่นานนักหลังจากภิกขุซื่อเอ้อร์ออกจากเมืองเสี่ยวหมิง เขาก็ส่งคำตอบของซูอี้แก่อีกาเก้ามืดมิดทันที
“ให้ข้าล้างคอรอที่ทางเข้าเมืองมืด?”
อีกาเก้ามืดมิดเกือบหลุดหัวเราะยามได้ยินข่าว
นี่คือเมืองมืด!
รังเก่าของวัดเสวียนหมิง!
“เจ้าคนต่ำต้อย ในเมืองมืดนี้ไร้พลังมหาวิถีของซูเสวียนจวินให้เจ้าใช้นะ!”
…
หุบเขาเทพร่วงโรย
เป็นหนึ่งในเก้าดินแดนต้องห้ามซึ่งอันตรายที่สุดในเมืองมรณะ
มันเป็นพื้นที่ต้องห้ามอันเทียบได้กับเทือกเขาสวรรค์พิบัติร้ายและนภาโกลาหล
จากคำลือ หุบเขาเทพร่วงโรยนี้เต็มไปด้วยพลังแห่งกฎกักวิญญาณนาม ‘กร่อนหยิน’ ซึ่งแปรเปลี่ยนเป็นหมอกดำปกคลุมหุบเขาเทพร่วงโรยอยู่ตลอดทั้งปี
ตลอดกาลผ่านมา มีจักรพรรดิมากมายผู้อหังการในโลกหล้ามากมายพยายามบุกเข้าไปด้านในเพื่อทำความเข้าใจปริศนาของกฎ ‘กร่อนหยิน’ ในหุบเขาเทพร่วงโรย
ทว่าพวกเขาล้วนแต่ประสบเคราะห์ร้ายโดยไม่ได้รับยกเว้น
จิตวิญญาณของจักรพรรดิเหล่านี้ต่างถูกพลังกร่อนหยินโจมตี จนแปรเปลี่ยนเป็นวิญญาณร้ายจึงต้องติดในหุบเขาเทพร่วงโรยยุคแล้วสมัยเล่า และไม่อาจหนีออกมาได้ตลอดกาลนาน
ทว่าร่างเต๋าของพวกเขาถูกกัดกร่อนสลายไปโดยสิ้นเชิง และได้กลายเป็นสิ่งบำรุงแก่บุปผาปีศาจชนิดหนึ่งนาม ‘บุปผาราตรีกำสรวล’ ในหุบเขาเทพร่วงโรย
ในภูมิมืดมิด มีคำกล่าวหนึ่งอยู่เสมอมาว่า ‘ต่อให้เทพเซียนเข้าสู่หุบเขาเทพร่วงโรยก็จะร่วงโรยไม่อาจหลีกหนี’!
และซูอี้ก็รู้ดีว่าข่าวลือนี้เชื่อถือไม่ได้
เพราะกาลก่อน เขาก็เคยผ่านหุบเขาเทพร่วงโรยมาก่อน แล้วเขาจะไม่เข้าใจรายละเอียดของดินแดนต้องห้ามอันโหดร้ายนี้ได้เช่นไร?
ซูอี้และคณะของเขาก็เดินทางสู่หุบเขาเทพร่วงโรย
คัมภีร์แห่งตี้ทิงอาบไล้ด้วยแสงวิถีลี้ลับสีเทาครามได้แปรเปลี่ยนเป็นคลื่นแสงกระเพื่อมไหว ปกคลุมร่างของพวกซูอี้ไว้
ระหว่างทาง หมอกสีดำอันแปรจากพลังแห่งกฎกร่อนหยินต่างแหวกหลบดุจคลื่นน้ำยามเผชิญพลังจากคัมภีร์แห่งตี้ทิงนี้
แม้ว่าหยวนหลินหนิงจะได้เห็นซูอี้แสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์มามากมาย แต่เมื่อนางเห็นว่าพลังจากกฎ ‘กร่อนหยิน’ ที่เป็นภัยได้แม้แต่กับตัวตนจักรพรรดิในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำยังถูกสยบลงได้อย่างง่ายดาย นางก็ยังอดแปลกใจไม่ได้อยู่ดี
แต่ไม่นานนัก หยวนหลินหนิงก็สังเกตเห็นว่าโยวเสวี่ยและคู่ศิษย์อาจารย์ ชิงเถิงกับชิงมู่นั้นเยือกเย็นมาตลอดทาง
ดูเหมือนว่าสำหรับพวกเขา นี่เป็นเรื่องธรรมดามากและไม่น่าตกใจเลยสักนิด
“ดูเหมือนว่าพวกเขาทั้งหมดจะรู้อยู่แล้วว่าสหายเต๋าซูยอดเยี่ยมเพียงไร มีเพียงข้าที่ตะลึงสะดุ้งทุกครั้งราววิหคหัดบิน…”
หยวนหลินหนิงหัวเราะเยาะตนเอง
ตู้ม!
ทันใดนั้น หมอกสีดำก็ม้วนตัวมาแต่ไกล และร่างอันดุร้ายน่าหวั่นเกรงก็พุ่งออกมา
เขาเป็นชายชุดขาวซึ่งแปรเปลี่ยนมาจากวิญญาณร้ายตนหนึ่ง ในมือถือหอกกระดูกเปื้อนเลือด แววตาเต็มไปด้วยความมาดร้าย
เขากวัดแกว่งหอกกระดูกของเขา ส่งคมมีดสีดำเต็มไปด้วยปราณหยินพุ่งขึ้นไปบนอากาศ
อำนาจเช่นนี้สูงส่งกว่าวิหคกลืนวิญญาณที่ซูอี้เคยปราบมาก่อนมากนัก เพียงพอที่จะทำให้ตัวตนในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำรู้สึกกลัวได้
และยามนี้เอง โยวเสวี่ยก็โจมตี
วูบ!
ดาบปลายมนไร้วจีแผดเผาละล่องสู่เวหา พิรุณแสงเพลิงโปรยปรายลง กำราบคมมีดสีดำที่ฟาดเข้ามาตรงหน้าได้อย่างง่ายดาย
และเมื่อดาบปลายมนไร้วจีแผดเผาฟาดลง ชายชุดขาวก็ถูกแผดเผาร่างสลายด้วยไม่อาจหลบทัน
หยวนหลินหนิงและชิงมู่ต่างอึ้งทึ่งทั้งคู่
แววตาของชิงเถิงซับซ้อนเล็กน้อย ดาบปลายมนไร้วจีแผดเผาเล่มนี้คือหนึ่งในเก้ายมบาลต้องห้าม และเมื่อคืนนี้เถี่ยเต๋าเหรินก็ใช้มันทำร้ายเขาอย่างสาหัส จนเขาเสียทั้งร่างเต๋าและวิถีเต๋าในทันใด!
ยามนี้ เมื่อโยวเสวี่ยเป็นผู้ใช้สมบัตินี้ อำนาจที่มันแสดงจึงยิ่งแข็งแกร่งกว่ายามอยู่ในมือเถี่ยเต๋าเหรินเป็นไหน ๆ!
ก่อนที่อีกฝ่ายจะตายลง ชายชุดขาวน่าจะเป็นจักรพรรดิในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นปลายผู้ประสบเคราะห์ในหุบเขาเทพร่วงโรย ร่างเต๋าของเขาถูกทำลายสิ้นไปนานแล้ว และวิญญาณก็ถูกกัดกร่อนโดยพลังแห่งกฎกร่อนหยิน จนถูกลดขั้นกลายเป็นวิญญาณร้ายตนหนึ่งไปโดยสมบูรณ์
หากคนผู้นี้ไม่สามารถควบคุมพลัง ‘กฎกร่อนหยิน’ ได้ล่ะก็ โยวเสวี่ยคงฆ่าเขาได้โดยง่าย ไม่จำเป็นต้องใช้ดาบปลายมนไร้วจีแผดเผาเลย
หลังจากเดินหน้าต่อไม่นาน ซูอี้ก็ชะงักเท้ากะทันหันและมองขึ้นไปบนภูเขา
มันเป็นผาชันแห่งหนึ่งซึ่งมีบุปผาวิญญาณสีขาวราวหิมะหยั่งรากยึดไว้ ส่วนกลีบของมันแบ่งออกเป็นสิบสองกลีบ ส่วนเกสรดูเหมือนโคมไฟกำลังส่งแสงสีดำออกมา
บุปผาที่พ่นแสงสีดำจาง ๆ ออกมานี้ดูเหมือนหยกขาว
และมีเสียงกรีดร้องอย่างหวาดกลัวดังออกมาทว่าฟังไม่ได้ศัพท์
บุปผาราตรีกำสรวล!
เป็นบุปผาปีศาจชนิดหนึ่งซึ่งก่อกำเนิดจากพลังกร่อนหยิน ยอดฝีมือทั้งหลายผู้วายชนม์ในหุบเขาเทพร่วงโรยจะถูกกร่อนเลือดเนื้อกลายเป็นสารอาหารให้แก่บุปผานี้
“มันมีสิบสองกลีบ เกสรโค้งงอ บุปผาราตรีกำสรวลนี้มีอายุได้หมื่นสองพันปีแล้ว”
ดวงตาของชิงเถิงเป็นประกาย จากนั้นเขาก็กล่าวขึ้นว่า “นี่คือโอสถวิญญาณหายากที่เกิดขึ้นเฉพาะที่หุบเขาเทพร่วงโรยนี้เท่านั้น”
ในหมู่ผู้ฝึกตนที่สิ้นใจในหุบเขาเทพร่วงโรยมีจักรพรรดิอยู่มากมาย และเลือดเนื้อของพวกเขามีพลังชีวิตและพลังมหาวิถีมหาศาล
บุปผาราตรีกำสรวลเติบโตด้วยการดูดซับสารอาหารเหล่านี้มาหลายต่อหลายปี และผลิกลีบใหม่หนึ่งกลีบทุก ๆ พันปี
เมื่อผลิกลีบได้เก้ากลีบ บุปผาราตรีกำสรวลจะแปรเปลี่ยนเชิงคุณภาพอย่างมหาศาล และจะปรากฏปราณจากกฎกร่อนหยินขึ้นในส่วนเกสรของมัน!
เช่นบุปผาราตรีกำสรวลอายุหมื่นสองพันปีดอกนี้ มันเรียกได้ว่าเป็นโอสถวิญญาณชั้นยอดซึ่งสามารถทำให้ตัวตนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำแย่งชิง
“โยวเสวี่ย ไปเด็ดมันสิ”
ซูอี้ออกคำสั่ง
“ได้เลย”
โยวเสวี่ยคว้ามือในอากาศ
และไกลออกไปบนผา บุปผาราตรีกำสรวลก็ถูกถอนราก
ทว่าแทบจะในขณะเดียวกัน ฝูงวิญญาณร้ายน่าหวาดหวั่นพลันพุ่งออกจากหมอกสีดำ และทะยานเข้าหาพวกซูอี้อย่างพร้อมเพรียง
ตู้ม!
เพลิงศักดิ์สิทธิ์บนท้องนภาโอบล้อมหมุนวนเยี่ยงพายุหลอมเวหา และวิญญาณร้ายสิบกว่าตนต่างส่งเสียงกรีดร้องแหลมด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะพุ่งหนีหายไป
และบุปผาราตรีกำสรวลก็พลิ้วลงมาสู่มือของโยวเสวี่ย
เมื่อเห็นเช่นนี้ หยวนหลินหนิงก็อดรู้สึกชื่นชมไม่ได้ นางลอบคิดว่าไม่อาจรู้ได้ว่านางจะมีโอกาสได้มีอำนาจร้ายกาจเยี่ยงนี้บ้างหรือไม่ตราบชั่วชีวิตนี้…
โยวเสวี่ยผู้ได้รับสายตาชื่นชมจากหยวนหลินหนิงหันไปกล่าวกับซูอี้ด้วยแววตาอ่อนโยน “สหายเต๋าต้องการบุปผานี้หรือไม่?”
ซูอี้ส่ายหน้าน้อย ๆ และบอกว่า “ให้มันกับชิงเถิง”
ชิงเถิงไม่ทันตั้งตัวและเตรียมปฏิเสธ
โยวเสวี่ยส่งบุปผาราตรีกำสรวลให้เขาโดยไม่อธิบาย ก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าก็รู้ว่าสิ่งที่สหายเต๋าซูส่งให้ผู้อื่น เขาไม่ชอบหากถูกปฏิเสธกลับไป”
ชิงเถิงผงะไปครู่หนึ่ง และในที่สุดก็เก็บบุปผาราตรีกำสรวลไป และกล่าวอย่างขอบคุณว่า “ขอบคุณใต้เท้าซู!”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “ข้าก็แค่ต้องการชดใช้ความรู้สึกผิดในใจเท่านั้น”
เมื่อเห็นเช่นนี้ หยวนหลินหนิงก็ตะลึงงันไปอีกครั้ง
ตลอดกาลผ่านมา นางก็เคยได้ยินถึงความร้ายกาจน่ากลัวของนายแห่งเมืองเสี่ยวหมิง ‘เถาวัลย์ปีศาจประสานฟ้า’ และเรื่องที่เหล่าจักรพรรดิจะเลี่ยงเมืองเสี่ยวหมิงโดยไม่รู้ตัว ไม่กล้าเฉียดกรายเข้ามาหา
เพราะนี่คือถิ่นอาศัยของ ‘เถาวัลย์ปีศาจประสานฟ้า’!
ทว่ายามนี้ ‘เถาวัลย์ปีศาจประสานฟ้า’ ผู้เป็นที่หวาดกลัวของเหล่าจักรพรรดิมากมายในโลกภายนอกกลับเคารพให้เกียรติชายหนุ่มเช่นซูอี้ราวเป็นเทพ!
ใครเล่าจะไม่ตกใจ?
ซูอี้เมินเรื่องนี้ไป
เขาใช้คัมภีร์แห่งตี้ทิงนำทางทุกคน และระหว่างนั้นก็พบวิญญาณร้ายมากมายซุกซ่อนในหมอกสีดำ ทว่าพวกมันต่างถูกโยวเสวี่ยสังหารลงอย่างง่ายดาย
สิ่งที่น่าเสียดายคือพวกเขาไม่ได้พบสมบัติเยี่ยงบุปผาราตรีกำสรวลอีกเลย
ครึ่งชั่วยามต่อมา
บนพื้น ณ สุดหุบเขาปรากฏถ้ำอันนำลึกลงสู่ใต้ดินขึ้นกะทันหัน
บริเวณใกล้ถ้ำนั้นไร้ต้นหญ้าหรือพืชพรรณใด แม้กระทั่งหมอกสีดำอันเกิดจากกฎกร่อนหยินยังไม่ปรากฏ ทั้งยังไร้ร่องรอยวิญญาณร้ายตนใด
เงียบดุจป่าช้า
พลังอันมองไม่เห็นที่กดข่มจิตใจผู้คนก็แผ่ออกไปในใจคนทุกผู้เช่นกัน
ทุกคนร่างแข็งทื่อ พวกเขาสัมผัสความลนลานอย่างไม่อาจอธิบาย
ราวกับจะบอกพวกเขาว่ามีอันตรายถึงตายซึ่งไม่เป็นที่ล่วงรู้ซุกซ่อนในถ้ำใต้ดินนั้น
โยวเสวี่ยอดขมวดคิ้วไม่ได้ ใบหน้างามเย็นชาดุจน้ำแข็งปรากฏความจริงจังอย่างหาได้ยาก
ในถ้ำใต้ดินนี้มีอันตรายมหาศาล!
สีหน้าของซูอี้ยังคงเฉยเมยเช่นก่อน และออกคำสั่ง “ชิงเถิง เจ้ากับคนอื่น ๆ รอที่นี่ จำไว้ว่าอย่าได้เข้าไปสำรวจถ้ำเชียว ส่วนโยวเสวี่ย เจ้ากับข้าจะลงไปในถ้ำนี้กัน”
ชิงเถิงพยักหน้าอย่างจริงจัง
ซูอี้และโยวเสวี่ยเดินเข้าถ้ำไปด้วยกันทันที
…
ในถ้ำนั้นมืดมิด
อำนาจแห่งกฎกร่อนหยินนั้นแผ่อยู่ทุกอณูนับแต่ทางเข้าถ้ำ
โยวเสวี่ยลอบตกใจ อำนาจแห่งกฎนี้เกิดจากที่มาแห่งเมืองมรณะอย่างไม่ต้องสงสัย และเต็มไปด้วยแรงกดดันอันไม่อาจอธิบาย
เมื่อถามตนเองดู หากครั้งนี้ซูอี้ไม่ได้ใช้คัมภีร์แห่งตี้ทิงนำทาง กระทั่งนางคงไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้ามาที่นี่
ทว่า ยามนี้เองโยวเสวี่ยก็ได้ตระหนักถึงบางสิ่ง และถามขึ้นว่า “สหายเต๋า คัมภีร์แห่งตี้ทิงของเชื้อสายผู้คุมรัตติกาลนี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่ามันจะเกิดมาพร้อมพลังที่กดข่มที่มาแห่งเมืองมรณะ?”
ซูอี้พยักหน้าและตอบว่า “ยามตี้ทิงเกิดมา คัมภีร์แห่งตี้ทิงนี้ก็เกิดขึ้นมาพร้อมกับมัน เรียกว่าเป็นครึ่งชีวิตของกันและกันก็ย่อมได้ รวมไปถึงสัตว์พิทักษ์ภูมิมืดมิด และเดิมสัตว์ร้ายบรรพกาลเหล่านี้ก็เกิดจากที่มาแห่งภูมิมืดมิดด้วย”
“กล่าวให้กระชับก็คือ กฎต้นกำเนิดของเมืองมรณะก็เป็นเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงสมเหตุสมผลหากพลังที่มาของเมืองมรณะจะถูกคัมภีร์แห่งตี้ทิงสยบไว้ได้”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ซูอี้ก็ครุ่นคิดและกล่าวเสริม “แน่นอนว่าเป็นเช่นเจ้าพูด ความสามารถสูงสุดของคัมภีร์แห่งตี้ทิงคือการสยบวิญญาณร้าย ขจัดเภทภัย”
โยวเสวี่ยกล่าว “เทียบกับศิลาหลุมศพซึ่งผนึกเมืองมรณะอยู่แล้ว มันดีกว่าคัมภีร์แห่งตี้ทิงหรือไม่?”
ซูอี้ครุ่นคิดสักพัก และกล่าวด้วยแววตาที่ประหลาดพิกลเล็กน้อย “เท่าที่ข้ารู้ ศิลาหลุมศพนั้นมาจากมือ ‘มหาเทพมืดมิด’ องค์สุดท้ายแห่งดินแดนปรภพเพื่อเป็นเกียรติแก่ ‘สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตี้ทิง’ ผู้ ‘สละร่างสังเวยวิถีเพื่อปกปักษ์เฟิงตูตลอดไป’ ตนนี้”
โยวเสวี่ยแปลกใจขึ้นมาทันที
ในสมัยบรรพกาล สัตว์ร้ายบรรพกาลตี้ทิงผู้พิทักษ์ภูมิมืดมิดฆ่าตัวตายและสังเวยวิถีเต๋าของตนเพื่อปกปักษ์เฟิงตูชั่วนิรันดร์หรือ?
ความลับนี้น่าใจหายจริง ๆ!
ซูอี้กล่าวต่อ “แม้ศิลาหลุมศพจะไม่ใช่วัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์ แต่มันก็สร้างขึ้นจากสามมหาพลัง”
“หนึ่งคือกระดูกวิญญาณที่หลงเหลือของสัตว์ร้ายบรรพกาลตี้ทิง”
“ส่วนอีกหนึ่งคือวัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์ ‘แท่นส่องกรรม’ ซึ่งเกิดขึ้นจากสระเกิดใหม่”
“และสุดท้ายก็คือคัมภีร์สมบัติมหาวิถีที่มหาเทพมืดมิดทุ่มเทกายใจสลักไว้บนศิลาหลุมศพ หนึ่งในมหาสมบัติสูงสุดในภูมิมืดมิด ‘คัมภีร์เวียนว่ายหกวิถี’ ซึ่งเกี่ยวข้องกับปริศนาที่มาแห่งภูมิมืดมิด”
กล่าวจบ แววตาของซูอี้ก็ละเอียดอ่อนขึ้นทุกที
เพราะจากข่าวลือ หากมองทะลุปริศนาของ ‘คัมภีร์เวียนว่ายหกวิถี’ ได้ คนผู้นั้นจะได้เห็นร่องรอยความหมายที่แท้จริงของการเวียนวัฏสงสาร!