บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 909: บั่นหัวจักรพรรดิ
ตอนที่ 909: บั่นหัวจักรพรรดิ
ตอนที่ 909: บั่นหัวจักรพรรดิ
ในโถงอันมืดสลัว
ซูอี้มองร่างวิญญาณของชายผู้ใกล้แหลกสลาย พลางชี้น้ำเต้าหยกสามชุ่นที่เอวเขา “เจ้ายังจำมันได้หรือไม่?”
ดวงตาของชายผู้นั้นเบิกกว้าง แทบไร้เสียงพูด “สมบัตินี่… มันมาอยู่ในมือเจ้าได้เช่นไร?! หรือเจ้า… จะเป็นใต้เท้าซู?”
ไม่ไกลนัก ชายหนุ่มผู้ระแวดระวังตะลึงราวถูกสายฟ้าฟาด ใต้เท้าซูหรือ?
ซูอี้ถอนหายใจเบา ๆ “ข้าเปลี่ยนแปลง และเจ้ายังบาดเจ็บเพียงนี้ ไม่แปลกที่เจ้าจะจำข้าไม่ได้”
ชายตรงหน้าเขาคือวิญญาณอันแปรเปลี่ยนจากเศษซากของเถาวัลย์ปีศาจประสานฟ้า นามชิงเถิง!
ชายผู้นั้นพลันกล่าวอย่างตื่นเต้น “ใต้เท้าซู ที่แท้ก็เป็นท่าน ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านจะไม่ตายโดยไร้เหตุผล! ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมนัก!”
ยามนี้เขาแสนปรีดา ไม่อาจเก็บความตื่นเต้นยินดีในใจได้ราวเป็นเด็ก
ชายหนุ่มเองก็ตะลึงงัน และพึมพำขึ้นมาว่า “เหตุใดปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน… จึงมีระดับฝึกฝนเพียงขอบเขตวงล้อวิญญาณกัน…”
“มู่เอ๋อร์ เจ้าจะรู้อันใด!”
ชิงเถิงตำหนิ “เห็นกันชัด ๆ ว่าเป็นอุบายของใต้เท้าซู”
อุบาย?
ชายหนุ่มขยี้ตา ดูงุนงง
ซูอี้ไม่คิดอธิบาย เขาก้าวเข้ามา จากนั้นขยับมือ และเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงก็ปรากฏขึ้น ขณะกล่าวอย่างอบอุ่น “เข้าไปเสริมแกร่งวิญญาณเจ้าในนี้ก่อน”
ชิงเถิงพยักหน้าและเข้าสู่เมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงโดยไร้ลังเล
ทันใดนั้น ร่างวิญญาณที่ใกล้แตกสลายของเขาก็ถูกห่อหุ้มด้วยความอบอุ่นจากพลังที่มาแห่งคังชิง และซ่อมแซมอย่างรวดเร็ว
“ใต้เท้าซู ท่านมาที่นี่เพื่อการใดหรือขอรับ?”
ชิงเถิงถาม
มันราวกับเขาได้หวนคืนสู่เมื่อหลายหมื่นปีก่อนที่แม้จะเข้าสู่ขอบเขตจักรพรรดิแล้ว ต่อหน้าปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน เขาก็ยังเป็นเหมือนคนรุ่นหลังผู้ไม่รู้สิ่งใด และได้แต่เกรงขามยำเกรง
“ข้ามาที่นี่เพื่อหาเย่อวี๋”
ซูอี้กล่าว ขณะนำเก้าอี้หวายออกมานั่ง “ทว่าเรื่องเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า บอกมาสิว่าเมื่อคืนเกิดอันใดขึ้น”
ชิงเถิงสูดหายใจลึก ๆ สองสามหน เมื่อเขาตั้งสติได้แล้วก็ค่อยเล่าเรื่องราว
เรื่องทั้งหมดนั้นง่ายมาก เมื่อวานนี้ กลุ่มจักรพรรดินำโดย ‘เถี่ยเต๋าเหริน’ นักบวชลำดับสามแห่งวัดเสวียนหมิงบุกหอทัศนาสวรรค์กะทันหัน
เถี่ยเต๋าเหรินและคณะของเขามาหาเพื่อสอบถามชิงเถิงเรื่องหนึ่ง
ว่ากาลก่อน ผู้ใดที่ช่วยให้เขาครอบครองหอทัศนาสวรรค์ แก่นแห่งเมืองเสี่ยวหมิง!
ชิงเถิงปฏิเสธจะให้คำตอบ ดังนั้นจึงเกิดเป็นข้อพิพาท
ในศึกรุนแรง เถี่ยเต๋าเหรินได้ใช้ ‘ดาบปลายมนไร้วจีแผดเผา’ หนึ่งใน ‘เก้ายมบาลต้องห้าม’ มากำราบกฎดั้งเดิมอันปกคลุมทั่วเมืองเสี่ยวหมิงและร่วมมือกับจักรพรรดิอีกเก้าคนเพื่อสังหารชิงเถิง
จนกระทั่งชิงเถิงบาดเจ็บสาหัส ร่างเต๋ามอดไหม้มลาย
ผู้ฝึกตนวิถีมารนับไม่ถ้วนซึ่งเดิมกระจายอยู่ในเมืองเสี่ยวหมิงต่างยอมจำนนต่อวัดเสวียนหมิง และถูกพาไปยังดินแดนต้องห้ามอีกหนึ่งแห่ง ‘นภาโกลาหล’
หลังฟังจบ ซูอี้ก็อดรำพึงไม่ได้ “ไฉนเจ้าจึงไม่ตอบพวกเขาไปเสียเล่า?”
ชิงเถิงเม้มปาก “ไม่ได้ขอรับ! หากเป็นเรื่องของใต้เท้าซู ข้ายอมตายดีกว่าปริปากขอรับ!”
ซูอี้เงียบไปครู่หนึ่ง หัวใจรู้สึกตื้นตัน
เขาคงจะเดาออกแล้ว
ท้ายที่สุด หายนะที่ชิงเถิงประสบครานี้นั้นเกี่ยวกับเขาจริง ๆ
เพราะในคราแรก เป็นเขาเองที่ยั่วยุอีกาเก้ามืดมิดด้วยความลับเกี่ยวกับผู้ช่วยเหลือเถาวัลย์ปีศาจประสานฟ้าให้ครอบครองเมืองเสี่ยวหมิง
ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าอีกาเก้ามืดมิดต้องรู้จากปาก ‘ภิกขุซื่อเอ้อร์’ ว่าเขามาเมืองมรณะครานี้ จึงส่งขุมกำลังจากวัดเสวียนหมิงเข้ามาในเมืองเสี่ยวหมิงเมื่อคืน
เพื่อไถ่ถามถึงตัวตนของเขา
และทั้งหมดนี้นำมาซึ่งหายนะต่อชิงเถิง!
เมื่อคิดเช่นนี้ ซูอี้ก็อดรู้สึกถึงจิตสังหารในใจไม่ได้
“อย่าห่วงเลย ข้าจะคืนร่างเต๋าและวิถีเต๋าเจ้าให้ และแค้นนี้ข้าจะชำระให้ด้วย”
น้ำเสียงของซูอี้เฉยเมย
ทุกคนที่เข้าใจลักษณะนิสัยของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินต่างรู้ว่าเมื่อเขากล่าวเช่นนี้ พายุโลหิตจะโหมกระหน่ำ!
ริมฝีปากของชิงเถิงระริกไหวเล็กน้อยราวจะกล่าวบางอย่าง ก่อนจะโพล่งขึ้นอย่างกระวนกระวายเมื่อนึกบางอย่างได้ “ใต้เท้าซู ยามเมื่อท่านเข้ามาที่นี่ ท่านได้ทำลายพลังกฎเกณฑ์ไร้วจีแผดเผาที่ผนึกหอทัศนาสวรรค์ไว้หรือเปล่าขอรับ?”
ซูอี้พยักหน้าและกล่าวอย่างสบาย ๆ “อย่าห่วงเลย นับแต่ข้าเห็นเจ้ายามเข้าสู่ที่นี่ ข้าก็พอเดาได้แล้วว่าคนจากวัดเสวียนหมิงทิ้งเสี้ยววิญญาณเจ้าไว้ที่นี่เพื่อรอการมาถึงของข้า”
ครู่ต่อมา เขาก็พูดต่อ “หากไร้อุบัติเหตุ พวกเขาน่าจะรู้แล้วว่ากฎไร้วจีแผดเผาถูกทำลาย และกำลังแห่กันมาแล้วล่ะ”
ชิงเถิงพลันโล่งใจ
ใต้เท้าซูผู้ใช้หนึ่งดาบสยบสวรรค์จะมองเรื่องแบบนี้ไม่ออกได้เช่นไร?
ชิงเถิงสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวอย่างคาดหวัง “ใต้เท้าซู หากเป็นไปได้ ขอข้าดูท่านสังหารพวกสารเลวนั่นด้วยตาข้าเองได้หรือไม่ขอรับ”
ซูอี้ผงะไปชั่วขณะ ก่อนจะตอบ “ได้สิ”
“ใต้เท้าซู ข้า… ข้าติดตามไปด้วยได้หรือไม่ขอรับ?”
ไม่ไกลนัก ชายหนุ่มอดกล่าวอย่างเกรงขามกล้า ๆ กลัว ๆ ไม่ได้
“ได้”
ซูอี้พยักหน้า
จากวาจาเมื่อครู่ของชิงเถิง เขาก็รู้แล้วว่าชายหนุ่มผู้เป็นศิษย์ของชิงเถิงนั้น เดิมคือ ‘หญ้ากลืนดารา’ ซึ่งก่อกำเนิดจากพลังแห่งกฎดั้งเดิมของเมืองเสี่ยวหมิง และหลังรับเป็นศิษย์ก็ได้นามชิงมู่
…
ยอดสุดของหอทัศนาสวรรค์มีระเบียงใหญ่อยู่ระเบียงหนึ่ง
เมื่อยืนที่นี่จะสามารถเห็นทิวทัศน์แทบทั้งหมดของเมืองเสี่ยวหมิงได้
ซูอี้ไพล่มือไว้เบื้องหลัง ยืนอยู่ข้างราวกันตกและร่ำสุราเงียบ ๆ
ไม่ไกลนัก ชายหนุ่มนามชิงมู่ยืนอยู่ข้าง ๆ เมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงซึ่งบรรจุชิงเถิงไว้
หยวนหลินหนิงยืนประกบอยู่อีกข้าง
บรรยากาศเงียบงัน
หยวนหลินหนิงรู้สึกทั้งกังวลและหวาดวิตก
ก่อนหน้านี้นางรออยู่ข้างนอกมาตลอด จึงไม่รู้ว่าซูอี้ได้พูดคุยอันใดกับเถาวัลย์ปีศาจประสานฟ้าซึ่งเหลือเพียงเสี้ยววิญญาณ
นางรู้เพียงว่ายามนี้ซูอี้ต้องการฆ่าคน!
“มาแล้ว”
ทันใดนั้น ซูอี้ก็กระซิบ
ณ ประตูเมืองเสี่ยวหมิงไกลออกไปปรากฏกลุ่มคนขึ้นกะทันหัน เพียงในยามไม่กี่อึดใจ พวกเขาก็มาถึงบนอากาศ ห่างจากหอทัศนาสวรรค์ไปร้อยจั้ง
ผู้นำเป็นชายวัยกลางคนในชุดนักพรตเต๋า ผิวพรรณขาวผ่องและสวมมงกุฎเหล็ก
เขาถือดาบหยกปลายมนสีแดงเพลิงในมือ ก้าวเดินบนเมฆาโลหิต คลื่นพลังกฎเกณฑ์อันเป็นของจักรพรรดิในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำโชยเอื่อยรอบกายเขา
ที่หลังศีรษะของเขาปรากฏเงาวิถีลึกลับปรากฏขึ้นราง ๆ
เถี่ยเต๋าเหริน นักบวชลำดับสามแห่งวัดเสวียนหมิง!
จักรพรรดิวิถีมารผู้สร้างแท่นเต๋ารู้แจ้งลึกล้ำ อยู่ในขั้นกลางขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ!
เมื่อตัวตนเช่นนี้มาอยู่มาอยู่ในภูมิมืดมิด ก็นับได้แล้วว่าเป็นยักษ์ใหญ่ที่สามารถต่อกรกับขุมกำลังชั้นหนึ่งในโลกได้ส่วนใหญ่!
คนทั้งหกเบื้องหลังเถี่ยเต๋าเหรินเป็นสี่บุรุษสองสตรี รูปร่างแตกต่าง แต่พวกเขาทั้งหมดต่างอยู่ในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ
ผู้ที่อ่อนแอที่สุดยังมีวิถีเต๋าอยู่ในขั้นกลางขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ
และผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดมีวิถีเต๋าในขั้นสมบูรณ์แบบของขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ
การจัดทัพเช่นนี้ มากพอแล้วที่จะออกอาละวาดไปได้ทั่วเขตนทีปรภพ!
ด้วยการมาถึงของกลุ่มพวกเขา บรรยากาศเลวร้ายเย็นเยียบก็ปกคลุมรอบทิศราวอำนาจที่มิอาจขัดขืน
ร่างของชายหนุ่มนามชิงมู่แข็งทื่อ แต่ก็กัดฟันถลึงตามองเถี่ยเต๋าเหรินและคณะของเขาอย่างเคืองแค้น
คืนก่อน เป็นพวกเขานี่แหละที่เข้ามาในเมืองเสี่ยวหมิงและเกือบฆ่าอาจารย์ของเขา!
ร่างอรชรของหยวนหลินหนิงชะงักทื่อกะทันหันเช่นกัน เมื่อนางสัมผัสความมุ่งร้ายที่มาทางตัวเอง
ทว่าเมื่อเห็นท่าทีหนักแน่นสุขุมของซูอี้ หยวนหลินหนิงก็รู้สึกผ่อนคลายใจขึ้นมาก
“ใต้เท้ากาดำคาดไว้ไม่ผิด มีผู้มาวันนี้จริง ๆ ด้วย”
เมื่อเถี่ยเต๋าเหรินเห็นซูอี้และหยวนหลินหนิงจากไกล ๆ เขาก็เผยรอยยิ้ม
เขากล่าวออกมาเบา ๆ “เจ้าหนู เจ้าคือสมาชิกตระกูลชุยที่ใต้เท้ากาดำกล่าวถึงหรือไม่?”
ชิงเถิง ชิงมู่และหยวนหลินหนิงต่างสะดุ้งตกใจ สมาชิกตระกูลชุย?
ซูอี้เมินวาจาทั้งหมด และหันไปกล่าวกับชิงเถิงว่า “เมื่อคืน ไอ้ชั่วทั้งเจ็ดนี่หรือเปล่าที่จะฆ่าเจ้า?”
คนอื่น ๆ ขมวดคิ้ว
“ไอ้หนูนี่กล้าดีเช่นไรมาว่าเราชั่ว!”
ชายชุดดำร่างผอมสูงถือหอกสำริดในมือกล่าวอย่างเย็นชา “ใต้เท้านักบวช ในความคิดข้า เราไม่จำเป็นต้องพูดไร้สาระและบั่นหัวเจ้าหนูนี่กลับไปหาใต้เท้ากาดำเลยดีกว่านะขอรับ”
เขาเปี่ยมจิตสังหาร ดวงตาคมปลาบเย็นชา จ้องซูอี้จากไกล ๆ ไม่วางตา
“เอาเถอะ มาลองฝีมือเจ้าเด็กนี่กัน จำไว้ว่าอย่าเลินเล่อ ใต้เท้ากาดำบอกว่าคนผู้นี้มีที่มาประหลาด และเป็นไปได้สูงมากว่าจะมีไพ่ตายร้ายกาจอยู่”
เถี่ยเต๋าเหรินลูบคาง แววตาของเขาวูบไหว
“ย่อมเป็นเช่นนั้น ใต้เท้านักบวชก็ทราบดีว่าข้าฮั่วเจิงปกติไม่ลงมือ แต่ขอเพียงขยับ ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะเป็นใคร ข้าจะลงมือสุดกำลังเสมอ!”
ชายชุดดำผู้เรียกตนเองว่าฮั่วเจิงแสยะยิ้ม
เสียงยังไม่ทันจาง แสงสว่างสีเลือดก็ระเบิดออกจากร่างของเขา หอกสำริดในมือถูกยกขึ้นขว้างเข้าหมายเสียบร่างของซูอี้
ตู้ม!
แสงทิพย์สีเลือดก่อเกิดเป็นพายุ และหอกศึกสำริดก็เปี่ยมด้วยกฎแห่งวิถีลึกล้ำ
อำนาจร้ายกาจนี้ทำให้ม่านตาของหยวนหลินหนิงหดตัว นางเห็นแล้วว่าชายชุดดำฮั่วเจิงผู้นี้เป็นจักรพรรดิมารในขั้นกลางขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ!
เมื่อเผชิญการโจมตีนี้ ดวงตาของซูอี้ฉายประกายดูแคลน
ร่างของเขาวูบไหว กระโดดขึ้นเผชิญกับอีกฝ่ายกลางอากาศ
เมื่อเห็นเช่นนี้ ทั้งเถี่ยเต๋าเหรินและจักรพรรดิทั้งหกซึ่งอยู่ห่างออกไปต่างประหลาดใจ สีหน้าแววตาดูล้อเลียน ชายหนุ่มในขอบเขตวงล้อวิญญาณกล้ามาเผชิญจักรพรรดิในขั้นกลางขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำตรง ๆ หรือ?
ต่างอันใดกับมดตัวจ้อยที่พยายามเขย่าต้นไม้กัน?
ทว่า เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นในใจของพวกเขา
เคร้ง!
เสียงดาบครวญพลันแว่วออกมา แปลกประหลาดดุจลำนำมหาวิถีทะยานสู่เก้าชั้นฟ้าสิบทิศทาง
ร่างของเขาแข็งค้าง
โลหิตทั้งกายราวถูกแช่แข็ง
รู้สึกราวถูกมหาเทพจ้องมอง!
จิตใจของทั้งเถี่ยเต๋าเหรินและจักรพรรดิรอบกายเขาเองก็สั่นไหว วิญญาณราวถูกค้อนทุบ สีหน้าแปรเปลี่ยน
ซูอี้ปรากฏขึ้นตรงหน้าฮั่วเจิงจากอากาศธาตุ
เขายกมือขวาขึ้นปาดเบา ๆ
ปลายนิ้วเรียวขาวปาดผ่านราวคมดาบ ส่งปราณดาบคมกริบลึ้ลับเกินเปรียบเทียบ
ฉับ!
หนึ่งศีรษะชุ่มเลือดกระดอนสู่เวหา
และร่างไร้หัวของฮั่วเจิงก็ถูกอำนาจปราณดาบอันน่าหวาดหวั่นนั้นสับระเบิดเป็นชิ้น ๆ ดุจพิรุณเลือดเนื้อ
ถูกทำลายสิ้น!
และหัวที่ขาดกระเด็นของเขาก็ถูกซูอี้ถือไว้ในมือ
เพียงหนึ่งขยับนิ้ว จักรพรรดิผู้หนึ่งก็ถูกบั่นหัว!