บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 908: พัวพัน
ตอนที่ 908: พัวพัน
ตอนที่ 908: พัวพัน
เพลิงผีวูบไหวตลอดทาง ผีดิบวนเวียนเงียบงันหดหู่
ผีดิบเหล่านี้ล้วนแต่มีรูปร่างประหลาดและบรรยากาศชั่วร้ายดุดัน ตนที่อ่อนแอที่สุดเทียบได้กับตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณ
และตนที่แข็งแกร่งนั้นเทียบได้กับจักรพรรดิในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ!
จึงทำให้หยวนหลินหนิงตระหนักลึกซึ้งว่าหนึ่งในเก้าพื้นที่ต้องห้ามสูงสุดแห่งเมืองมรณะ เมืองเสี่ยวหมิงน่ากลัวเพียงไร
หากไม่ใช่ว่าครานี้นางมากับซูอี้ นางคงไม่มีวันมาเสี่ยงตาย
ทว่าสิ่งที่ทำให้หยวนหลินหนิงใจชื้นก็คือ เหล่าผีดิบรายทางดูเหมือนจะกลัวและล่าถอยไปตนแล้วตนเล่า พวกมันไม่กล้าเข้ามาหาพวกนางเลย
“อำนาจของกฎนรกทมิฬช่างน่าเหลือเชื่อ”
หยวนหลินหนิงลอบกล่าว
ไม่นานนัก ทั้งสองก็มาถึงหน้าประตูอันโบราณโอ่โถงของเมืองเสี่ยวหมิง
ประตูเมืองสูงร้อยจั้ง แต่ละข้างมีรูปสลักจากศิลาดำ ฝั่งซ้ายเป็นสุนัขนรกเก้าหัว และฝั่งขวาเป็นคางคกยักษ์สามขา
แค่ภาพอันน่าสยดสยองนี้ก็ทำให้ผู้คนตัวสั่นได้
“เมืองเสี่ยวหมิงเกิดเรื่องขึ้น”
ซูอี้พลันกล่าว
เขามองสองรูปสลักศิลาพลางขมวดคิ้ว
มีรอยร้าวเกิดขึ้นตรงช่วงคอของสุนัขนรกเก้าหัว
คู่เนตรของคางคกสามขาแตกร้าว
สองรูปสลักศิลานี้เชื่อมต่อกับพลังกฎเกณฑ์ต้นกำเนิดใต้ดินของเมืองเสี่ยวหมิง และสามารถแปรเปลี่ยนเป็นค่ายกลพิทักษ์เมืองเพื่อไม่ให้คนนอกรุกล้ำเข้าไปได้
ทว่ายามนี้ รูปสลักทั้งสองกลับถูกทำลาย!
กล่าวอีกนัยก็คือ ยามนี้เมื่อไร้สองรูปสลักหินพิทักษ์เมือง ไม่ว่าใครก็สามารถเข้าออกเมืองเสี่ยวหมิงได้
“ดูเหมือนว่าก่อนเราจะมา จะมีผู้ใดล่วงล้ำเข้าเมืองเสี่ยวหมิงไปก่อนเราแล้ว และจักรพรรดิในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำทั่วไปก็ย่อมไม่อาจทำลายพลังแห่งกฎเกณฑ์ที่ปกคลุมที่นี่ได้ เว้นเพียง… จะใช้สมบัติลับอันแข็งแกร่งยิ่งยวด”
ดวงตาของซูอี้ทอประกาย “แปลกจริง ใครกันที่ทำเช่นนี้?”
หยวนหลินหนิงเองก็แปลกใจยามได้ยินวาจานี้
“ไป เข้าไปดูกันเถอะ”
ซูอี้กล่าวพลางเดินตรงเข้าประตูเมือง
หยวนหลินหนิงสะดุ้ง ในเมื่อรู้ว่าเกิดบางสิ่งขึ้นที่นี่ ไฉนจึงยังเข้าไปอีกเล่า?
คนผู้นี้ไม่รู้จักความกลัวหรือไร?
หลังลังเลอยู่สักพัก หยวนหลินหนิงก็กัดฟันเดินตาม
ในเมืองเสี่ยวหมิงนี้มีอาคารโบราณพังทลายเป็นซากอยู่ทั่วทุกที่
“ว่าแล้วเชียว มันไม่เหมือนกับกาลก่อน”
ซูอี้พึมพำ
กาลก่อน เมืองเสี่ยวหมิงนั้นสั่งสมวิญญาณร้ายกาจที่มีสติปัญญามากมาย และแต่ละตนยังมีบริวารวิญญาณร้ายอีกมหาศาล
เช่นผีดิบ วิญญาณ มารปีศาจและอื่น ๆ
เมืองเสี่ยวหมิงนี้ครึกครื้นอย่างยิ่ง ดูราวเมืองผีที่แท้จริง
ยามนั้น ในหมู่ตัวตนจักรพรรดิที่เข้ามาในเมืองมรณะ แทบไม่มีผู้ใดกล้ามายังเมืองเสี่ยวหมิง
เพราะวิญญาณร้ายอันน่าหวาดหวั่นรวมตัวกันที่นี่มากเกินไป ทั้งยังแข็งแกร่งไม่น้อยหน้ากัน
ต่อมา เมื่อซูอี้เดินทางสู่เมืองเสี่ยวหมิง เขาก็สังหารวิญญาณร้ายในขอบเขตจักรพรรดิไปสามสิบสามตน และช่วยเหลือให้เถาวัลย์ปีศาจประสานฟ้าปกคลุม ‘หอทัศนาสวรรค์’ ซึ่งเป็นแก่นของเมืองนี้
นับแต่นั้นมา เถาวัลย์ปีศาจประสานฟ้าก็กลายเป็นนายของเมืองเสี่ยวหมิงนี้
ทว่ายามนี้ เมืองเสี่ยวหมิงกลับว่างเปล่า!
อย่าว่าแต่วิญญาณร้ายกาจ กระทั่งเด็กสักคนยังไม่อาจพบเห็น
ไม่นานนัก หอสูงร้อยจั้งก็ปรากฏสู่คลองจักษุ
หอนั้นเป็นทรงแปดเหลี่ยม ทั้งอาคารดำสนิทดุจหมึกย้อม มันดูโดดเด่นกว่าสิ่งใดในเมืองเสี่ยวหมิงนี้
หอทัศนาสวรรค์
แก่นหลักแห่งเมืองเสี่ยวหมิง
ใต้หอนี้มีพลังส่วนหนึ่งของกฎเกณฑ์ต้นกำเนิดอันเชื่อมต่อกับเมืองมรณะ ซึ่งถูกพลังของสัมภเวสีเก้าอบายแทรกซึมมาตลอดทั้งปี
มากเสียจนหอนี้กลายมาเป็น ‘แดนศักดิ์สิทธิ์’ ชั้นหนึ่งในสายตาผู้ฝึกตนวิถีมาร!
กาลก่อน ซูอี้ได้บั่นหัวผีร้ายอันน่าหวาดหวั่นตนหนึ่งอันเป็นที่รู้จักในนาม ‘เจ้าแห่งจิตโลหิต’ ที่นี่ และช่วยให้เถาวัลย์ปีศาจประสานฟ้าครอบครองหอทัศนาสวรรค์
ทว่าเมื่อกลับมายามนี้ ซูอี้พลันค้นพบว่ามีรอยร้าวใหญ่โตมากมายบนพื้นผิวหอทัศนาสวรรค์ราวถูกกระหน่ำโจมตีมาอย่างหนักหน่วง
พื้นใต้หอทัศนาสวรรค์ในรัศมีร้อยจั้งเองก็แตกร้าว มีซากศพแหลกกระจัดกระจายมากมาย โลหิตแปดเปื้อนทุกแห่งหน
ซูอี้จ้องมองเหล่าซากศพอยู่ครู่หนึ่ง และยิ่งขมวดคิ้วแน่น
มองปราดแรกเขาก็เห็นได้ว่าศพเหล่านี้ล้วนแต่เป็นผู้ฝึกตนวิถีมารในขอบเขตจักรพรรดิ!
ยิ่งกว่านั้น เมื่อมองจากสีและปราณที่หลงเหลือเลือดอยู่บนพื้น ผู้ฝึกตนวิถีมารเหล่านี้คงเพิ่งตายเมื่อคืน
จากนั้น ซูอี้ก็มองกลับไปที่หอทัศนาสวรรค์ ก่อนจะค้นพบสิ่งใหม่ในไม่ช้า…
ว่าหอคอยโบราณนี้ถูกผนึกด้วยอำนาจกฎเกณฑ์ที่ไม่อาจมองเห็น!
“กฎไร้วจีแผดเผา นี่คือพลังมหาวิถีอันเกิดจากหนึ่งในเก้ายมบาลต้องห้าม ‘ดาบปลายมนไร้วจีแผดเผา’”
ซูอี้หรี่ตาลงเล็กน้อย “หรือเมื่อคืนนี้จะมียอดฝีมือจากวัดเสวียนหมิงเข้ามาที่นี่?”
ขณะกำลังครุ่นคิด เขาก็เดินไปยังหอทัศนาสวรรค์แล้ว
…
ณ โถงอันมืดมิดแห่งหนึ่งใต้หอทัศนาสวรรค์
หนึ่งโคมไฟทอแสงสลัวเดียวดาย
พื้นชุ่มไปด้วยโลหิตเจือน้ำ เครื่องตกแต่งทั้งหลายในโถงล้วนถูกทำลายกลายเป็นเศษซากไปนานแล้ว
ชายหนุ่มรูปงามเปรอะเลือดผู้หนึ่งคุกเข่าร่ำไห้อย่างแสนโศก “ท่านอาจารย์ ศิษย์จะช่วยท่านฟื้นร่างและมหาวิถีให้จงได้ขอรับ! ข้าจะฆ่าพวกสารเลวเหล่านั้นไม่ละเว้นแม้เพียงหนึ่ง!”
เสียงของชายหนุ่มแหบพร่า ดวงตาบวมแดง สีหน้าของเขาเปี่ยมโทสะและความกังวล น้ำตาคลอเบ้า
ต่อหน้าเขาคือเถาวัลย์อันมอดไหม้เสียหายเถาหนึ่ง
เหนือเถาวัลย์นั้นมีร่างลวงตาของชายผู้หนึ่ง
ชายผู้นั้นดูผอมบาง ร่างเลือนรางวูบไหวรุนแรงราวพร้อมสลายหายได้ทุกเมื่อ
“เจ้าโตเพียงนี้ ไฉนจึงยังร้องไห้อีก?”
ชายผู้นั้นส่ายหน้าอย่างจนใจ ดวงตาเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
ชายหนุ่มปาดน้ำตาตนอย่างแรง แต่เมื่อเห็นเสี้ยววิญญาณอันใกล้แตกสลายของชายตรงหน้าก็รู้สึกร้าวรานจากใจ ดวงตาแดงก่ำขึ้นอีกครั้ง
ชายผู้นั้นสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวว่า “มู่เอ๋อร์ เหลือเวลาไม่มาก ฟังให้ดีนะ ข้าจะพยายามเต็มที่เพื่อส่งเจ้าออกจากหอทัศนาสวรรค์นี้ เมื่อออกไปได้แล้ว ให้นำหวายชิ้นนี้ออกจากเมืองเสี่ยวหมิงโดยเร็วที่สุด”
ชายหนุ่มส่ายหน้า “ข้าไม่ไป! ข้าจะอยู่กับท่านอาจารย์!”
“นี่คือคำสั่ง!”
เสียงของชายผู้นั้นเปลี่ยนเป็นเข้มงวด “หากเจ้ายังอยู่ ข้าก็ตายตาหลับ ช่วงนี้มีผู้ฝึกตนแข็งแกร่งเข้ามาจากภายนอกมากมาย หากพบพวกเขา ให้วานพวกเขาพาเจ้าออกไปจากเมืองมรณะนี่ และภายหลังหากเจ้ายังพิสูจน์เต๋าเป็นจักรพรรดิไม่ได้ ก็อย่าเหยียบกลับสู่เมืองมรณะอีก!”
สีหน้าของชายหนุ่มแปรเปลี่ยน ถามด้วยแววตาว่างเปล่า “แต่หากข้าไป ท่านอาจารย์จะทำเช่นไร?”
เมื่อมองศิษย์ผู้ห่วงใย แววตาของชายผู้นั้นก็อ่อนลง “มู่เอ๋อร์ ไม่ใช่ว่าเจ้าอยากออกไปยลโฉมโลกหล้านอกเมืองมรณะแต่เด็กแล้วหรือ?”
“ตลอดมา ข้าช่วยเจ้าขัดเกลาพลัง ‘วิญญาณร้าย’ ในร่างของเจ้า และกฎเมืองมรณะจะไม่ส่งผลต่อเจ้าอีก หากภายหน้าเจ้าไปสู่โลกภายนอก ด้วยฝีมือของเจ้าก็สามารถเป็นที่ยกย่องในขุมกำลังใหญ่ของผู้ฝึกตนได้”
“หากไร้สำนักใดรับเจ้าเป็นศิษย์ ไปที่เผ่าปีศาจงู บอกพวกเขาว่าเป็นศิษย์ของ ‘ชิงเถิง’ พวกเขาจะรับเจ้าแน่”
ชายผู้นั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่นซึ่งเลือนรางลงทุกที “อีกอย่าง อย่าได้คิดล้างแค้นให้ข้า เจ้ายังไม่อาจพิสูจน์เต๋าเป็นจักรพรรดิ ย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้คนเหล่านั้น เว้นแต่…”
ชายหนุ่มได้ยินเช่นนี้และถามอย่างร้อนรน “อาจารย์ เว้นแต่สิ่งใดขอรับ?”
ดวงตาของชายผู้นั้นซับซ้อน รำพึงว่า “เว้นเพียงใต้เท้าปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินจะยังมีชีวิต บางทีอาจมีหนทางป้องกันไม่ให้ยมบาลกลับมาปรากฏในโลกหล้าอีกก็เป็นได้”
ชายหนุ่มพลันผิดหวัง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง
เมื่อไม่กี่ปีก่อน เขาได้ข่าวจากยอดฝีมือบางคนที่เข้าสู่เมืองมรณะว่าปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินผู้เป็นดั่งมหาเทวาในใจอาจารย์เขาได้สิ้นไปเมื่อห้าร้อยปีที่แล้ว
ยามแรกได้ข่าว อาจารย์เขาแทบสิ้นสติ กระสับกระส่ายเศร้าอาวรณ์ และนั่งอย่างโดดเดี่ยวไม่ขยับตัวสิบวันสิบคืนเต็ม
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าอาจารย์ของเขา ณ ขณะนั้นโศกเศร้าเพียงไร
ทว่าจากนั้นมา ชายหนุ่มก็พบว่าอาจารย์ของเขาเปลี่ยนไป อีกฝ่ายเกิดรักการดื่มสุรา ชอบเหม่อลอยคนเดียว และจู่ ๆ ก็เกรี้ยวกราดอย่างไร้สาเหตุขึ้นมาเป็นบางหน
และจากนั้นเอง ชายหนุ่มก็ตระหนักว่าในหัวใจอาจารย์ ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินเหมือนเป็นทั้งบิดาและอาจารย์!
แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเหตุใดอาจารย์จึงโศกาอาวรณ์เพียงนั้น ความเป็นความตายไม่ใช่เรื่องธรรมดาหรือไร?
ทว่ายามนี้ เมื่อเห็นอาจารย์บาดเจ็บใกล้จากไป ชายหนุ่มพลันเข้าใจความรู้สึกอาจารย์ตนเมื่อครั้งสิ้นปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินขึ้นมาว่าหนักหนาเพียงไร
โศกเศร้า กระสับกระส่าย โกรธแค้น เดือดดาล…
เหมือนดั่งหัวใจถูกฉีกกระชากเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เจ็บปวดแทบสิ้นสติ
ชายหนุ่มสงบสติตน และกล่าวกะทันหันราวเพิ่งนึกได้ “อาจารย์ พวกสารเลวจากวัดเสวียนหมิงพวกนั้นจู่ ๆ ก็จู่โจมเมื่อคืน พวกมันพยายามบังคับท่าน ให้บอกว่าผู้ใดช่วยท่านให้ปกครองเมืองเสี่ยวหมิงเมื่อกาลก่อน ท่านว่า… พวกเขาน่าจะได้ข่าวเกี่ยวกับปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน แต่ไม่แน่ใจว่าจริงหรือไม่ จึงบุกเข้ามาบังคับท่านให้เล่าเรื่องเมื่อกาลก่อนหรือเปล่าขอรับ?”
ชายผู้นั้นเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรำพัน “พูดเรื่องนี้ยามนี้มีประโยชน์อันใด? มู่เอ๋อร์ อย่าโอ้เอ้อีกเลย หยิบหวายนั่นขึ้นมา ข้าจะส่งเจ้าไป”
ชายหนุ่มเต็มไปด้วยความโศกบนใบหน้า ไม่ยินยอมพร้อมใจอย่างมาก
ทว่ายามนี้เอง เสียงรำพึงเบา ๆ ก็ดังออกมาจากโถงอันมืดมนชุ่มเลือด
“ชิงเถิงน้อยเอ๋ย ข้าลากเจ้ามาพัวพันเสียแล้ว”
ชายหนุ่มตัวแข็งทื่อ สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นระแวดระวัง ผุดลุกขึ้นถามเสียงแข็ง “ใคร!?”
ชายผู้นั้นตะลึงราวถูกอสนีบาตฟาด ชิงเถิงน้อย… โลกนี้มีเพียงใต้เท้าซูที่เรียกเขาเช่นนั้น!
หรือจะเป็น…
ชายผู้นั้นตัวสั่นเทิ้ม เขาเงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบากเพื่อมองไปยังทางเข้าโถงหลัก
จากแสงของโคมไฟสำริด ร่างสูงแข็งแกร่งร่างหนึ่งเดินเข้ามาในโถงอันเละเทะ
คนผู้นี้คือชายหนุ่มแปลกหน้าในชุดเขียว ใบหน้าหล่อเหลา กิริยาสงบสำรวม
ชายผู้นั้นตะลึงไป ความตื่นเต้นมลายหาย คอตกฮวบลงอย่างสิ้นแรงพลางหัวเราะกับตนเอง หรือเพราะเขาใกล้ตายจึงหูตาฝาดกันแน่?
“หยุดนะ! หาไม่ อย่าหาว่าข้าเสียมารยาท!”
เมื่อเห็นว่าซูอี้เดินเข้ามาหาอาจารย์ตน ชายหนุ่มก็อดตวาดและเตรียมพร้อมต่อสู้มิได้
ซูอี้มองสีหน้าไม่ยอมแพ้ของชายหนุ่มและอดประทับใจเล็กน้อยมิได้ “นี่คือศิษย์ที่เจ้าเลือกหรือ? นิสัยเหมือนเจ้าในกาลก่อนมากเลยนะ”
ชายผู้นั้นตะลึงไปอย่างอดไม่ได้ และเงยหน้าขึ้นมาถามซูอี้อีกครั้ง “เจ้า… คือใครกัน?”