บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 605: ตำหนักมารเทียนอวี้
ตอนที่ 605: ตำหนักมารเทียนอวี้
ตอนที่ 605: ตำหนักมารเทียนอวี้
ซูอี้!?
ทันใดนั้นมู่ชางถู เจ้าสำนักดาบชิงเหอและผู้อาวุโสโจวฮวายชิวต่างตกตะลึง
ซูอี้ลุกขึ้นจากเก้าอี้หวาย มองไปที่หยวนอู่ทงและเอ่ยว่า “ผู้นำหยวน ไม่เจอกันเสียนาน”
หยวนอู่ทงคือผู้ที่เป็นบิดาของหยวนลั่วซีและหยวนลั่วอวี่ และเป็นผู้นำตระกูลหยวน
เมื่อตอนที่ซูอี้แวะมาเยือนมหานครอวิ๋นเหอ หยวนอู่ทงคือคนที่มีปฏิสัมพันธ์กับซูอี้เป็นอันดับต้น ๆ
“คุณชายซูนั่นท่านจริง ๆ หรือ!”
หยวนอู่ทงแสดงความตื่นเต้น
ซูอี้ยิ้ม
เขาเก็บเก้าอี้หวาย ก่อนจะพาเก๋อเฉียนและไป๋เวิ่นฉิงเดินลงจากหยวนเหิงซึ่งอยู่ในร่างเต่ายักษ์ไปหาหยวนอู่ทง และพูดสั่งทิ้งท้ายว่า “หยวนเหิง เจ้าจงจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย”
หยวนเหิงซึ่งอยู่ในร่างเต่ายักษ์ผงกหัวและตอบรับ “รับทราบ!”
“ผู้นำหยวน ข้าเพิ่งกลับมาที่ต้าโจว และตลอดทางที่ข้าเห็นคือฉากของภูเขาและแม่น้ำที่พังพินาศ เราเข้าไปในเมืองพูดคุยกันสักหน่อยดีหรือไม่?”
หยวนอู่ทงพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ตกลง!”
จากนั้นกลุ่มของซูอี้ก็เดินมุ่งหน้าไปยังมหานครอวิ๋นเหอ ทิ้งเหล่าสัตว์อสูรร้ายทั้งหลายตัวสั่นเทาเอาไว้เบื้องหลัง
บุคคลสำคัญในมหานครอวิ๋นเหอเช่นมู่ชางถูและโจวฮวายชิวต่างเฝ้าดูซูอี้และคนอื่น ๆ หายลับไปทางประตูเมือง
หยวนเหิงซึ่งอยู่ในร่างเต่ายักษ์หันกลับไปมองดูเหล่าสัตว์อสูรจำนวนนับไม่ถ้วนที่กำลังสั่นงันงกและกล่าวว่า “จากนี้ไปพวกเจ้าอย่าได้เข้าใกล้เมืองนี้อีก ไม่เช่นนั้นราชาผู้นี้จะไปเยือนพวกเจ้าถึงรังเกิด และขุดรากถอนโคนพวกเจ้าไม่ให้เหลือแม้แต่หนึ่งชีวิต! ไสหัวไปได้แล้ว!”
เสียงของหยวนเหิงซึ่งอยู่ในร่างเต่ายักษ์นั้นดังก้องกังวานประหนึ่งฟ้าร้องฟ้าถล่ม
เหล่าสัตว์อสูรที่หมอบสั่นอยู่แนบพื้นรีบหนีไปอย่างรวดเร็วราวกับเพิ่งได้รับอภัยโทษจากอาญาตาย
ในชั่วพริบตาสัตว์อสูรจำนวนนับไม่ถ้วนหายลับไปจากสายตา หลงเหลือไว้เพียงซากศพและเลือดบนพื้น ณ ทุ่งโล่งหน้ามหานครอวิ๋นเหอ
วิ้ง!
หยวนเหิงแปลงร่างเป็นมนุษย์อีกครั้งโดยไม่สนใจต่อสายตาของเหล่าผู้คนจำนวนมากที่มองอยู่ เขาเดินไปที่ประตูเมืองอย่างเรียบเฉย
“ชายหนุ่มคนนั้นคือซูอี้จริง ๆ หรือ?” หลังจากนั้นไม่นานโจวฮวายชิวผู้อาวุโสของสำนักดาบชิงเหอพึมพำอย่างโง่งม
“นอกจากอัครมหาเสนาบดีแห่งต้าโจวซูอี้ จะมีใครอีกบ้างที่แข็งแกร่งท้าทายสวรรค์ได้เช่นนี้?”
มู่ชางถูเจ้าสำนักดาบชิงเหอถอนหายใจด้วยสีหน้าที่สับสน
ซูอี้!
เดิมทีซูอี้เป็นหัวหน้าศิษย์สายนอกสำนักดาบชิงเหอ ต่อมาเนื่องจากสูญเสียการบ่มเพาะทั้งหมดจึงถูกขับไล่ออกจากสำนักดาบชิงเหอ และกลายไปเป็นบุตรเขยของตระกูลเหวินในเมืองกว่างหลิง
ใครจะคิดว่าหลังจากหนึ่งปีที่เงียบหายไป คนหนุ่มที่ถูกผู้คนทอดทิ้งผู้นี้กลับมาจะกลายเป็นดาวจรัสแสงในงานประลองประตูมังกรเมื่อวันที่สองของเดือนสอง?
ตั้งแต่นั้นมาชายหนุ่มผู้นี้ก็เริ่มสร้างตำนานมากมายไม่จบสิ้นในเส้นทางที่ย้อมไปด้วยโลหิต
จากนั้นถัดมาในเวลาเพียงไม่กี่เดือน เขาก็กลายเป็นที่รู้จักในนาม ‘อัครมหาเสนาบดีแห่งต้าโจว’ ผู้ซึ่งเป็นยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งหาใครเปรียบไม่ได้อีกแล้วในหมู่คนรุ่นเยาว์
ครั้งหนึ่งในงานเลี้ยงน้ำชาในมหานครกุ่นโจว ซูอี้คนเดียวสังหารตัวตนยิ่งใหญ่มากมายของต้าโจว
และอีกครั้งหนึ่งบนท้องฟ้าเหนือนครหลวงอวี้จิง ซูอี้สังหารผู้นำตระกูลซูรวมไปถึงดับชีวิตผู้คนจากกลุ่มมังกรเร้นของราชวงศ์โจว
ยิ่งไปกว่านั้น เพียงลำพังซูอี้ไปยังต้าเว่ย หนึ่งคนหนึ่งดาบบังคับให้สำนักยุทธ์อันดับแห่งต้าเว่ยสำนักวงเดือนต้องก้มหัวลง!
การกระทำในตำนานเหล่านี้ยังคงถูกเล่าขานไม่หยุดหย่อน ผู้ใดกัน… จะลืมไปได้…
“มีข่าวลือเล่าต่อกันว่าเขามุ่งหน้าไปยังอาณาจักรห่างไกลต้าเซี่ยไม่ใช่หรือ?”
จางจือเหยียนผู้นำแห่งตระกูลจางงุนงง
ตั้งแต่เมื่อต้นเดือนเจ็ดที่ซูอี้หายตัวไปจากต้าโจว นับจากนั้นราวกับว่าซูอี้หายตัวไปจากโลกหล้า และไม่มีข่าวใดที่แน่ชัดเกี่ยวกับซูอี้อีก
ใครจะคาดคิดว่าตำนานที่ยังมีลมหายใจอยู่ผู้นี้กลับมาปรากฏตัววันนี้ที่ตรงหน้าพวกเขาราวกับสวรรค์เบื้องบนส่งมา?
“เขากลับมาแล้ว! อีกทั้งเขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม!”
มู่ชางถูพูดด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมล้นไปด้วยอารมณ์
เพียงดูเต่ายักษ์ตัวนั้นก็พอ แค่เพียงคำรามครั้งเดียวมันก็สามารถสยบกองทัพสัตว์อสูรและช่วยมหานครอวิ๋นเหอจากหายนะได้อย่างง่ายดาย!
ตัวตนเช่นนี้น่าสะพรึงกลัวเพียงใดเห็นกันชัดเจนอยู่แล้ว?
แต่ตอนนี้มันกลับเป็นได้แค่เพียงสัตว์พาหนะของซูอี้เท่านั้น
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลังจากที่หายตัวไปหลายเดือน ขณะนี้ซูอี้จะต้องมีพลังมหาศาลอย่างที่สุดแน่นอน!
“ไปกันเถิด ไปพบกับซู…”
มู่ชางถูเอ่ยขึ้นทว่าหยุดกลางประโยคกะทันหัน และหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็เปลี่ยนสรรพนามใหม่ให้ซูอี้ว่า “ปรมาจารย์ซู!”
โจวฮวายชิวตกอยู่ในภวังค์เมื่อเขาได้ยินสรรพนามเรียกขานใหม่เป็นปรมาจารย์ของซูอี้
ก่อนหน้านี้ซูอี้ยังเป็นเพียงศิษย์สายนอกของสำนักดาบชิงเหอ อีกทั้งต่อมายังถูกไล่ออกจากสำนักเนื่องจากสูญเสียการบ่มเพาะ ทำให้กลายเป็นตัวตลกแก่ทุกผู้คนที่รู้จัก
ทว่าตอนนี้ซูอี้กลายเป็นตัวตนที่แม้แต่คนรุ่นอาวุโสเช่นพวกเขาก็ยังได้แต่เงยหน้ามอง!
คืนนี้มหานครอวิ๋นเหอเต็มไปด้วยเสียงโห่ร้องด้วยอารมณ์ดังก้อง
‘อัครมหาเสนาบดีแห่งต้าโจวซูอี้’ ที่หายตัวไปเป็นเวลาหลายเดือน ตำนานที่ยังมีลมหายใจและโด่งดังมากที่สุด แค่อาศัยเพียงพลังของสัตว์พาหนะที่เขานำมาก็สามารถปราบปรามกองทัพสัตว์อสูรได้ภายในเพียงอึดใจ แก้ไขปัญหาการต่อสู้อันขมขื่นของมหานครอวิ๋นเหอที่กินเวลามาแล้วถึงสามวัน!
ข่าวดังกล่าวแพร่กระจายไปทั่วถนนและตรอกซอกซอยด้วยความเร็วที่น่าอัศจรรย์ ทำให้เกิดความโกลาหลและเสียงโห่ร้องด้วยความยินดีมากมาย…
ภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ชั้นเก้า
โถงธารคีรี
เมื่อนั่งอยู่ในสถานที่ที่คุ้นเคยนี้ซูอี้ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
ย้อนกลับไปตอนนั้น เขาออกจากเมืองกว่างหลิงกับหวงเฉียนจวิน และในวันแรกที่เขามาถึงมหานครอวิ๋นเหอเขาได้พาเฝิงเสี่ยวเฟิงและเฝิงเสี่ยวหรานสองพี่น้องมาที่ภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์เพื่อจัดเลี้ยง
ในเวลานั้นด้วยป้ายหยกที่โจวจือหลีมอบให้ เขาจึงถูกจัดให้ขึ้นมาจัดเลี้ยงที่โถงธารคีรีชั้นเก้าแห่งนี้
และมันก็เป็นที่โถงธารคีรีเช่นกันที่เขาสังหารอริเก่าตกตายไปหลายศพ
เมื่อเขานึกถึงเหตุการณ์ในอดีตเหล่านั้นในตอนนี้ ซูอี้จะไม่รู้สึกคะนึงหาได้อย่างไร?
ในเวลานี้ห้องโถงสว่างไสวและบนโต๊ะนั้นเต็มไปด้วยอาหารเลิศรสมากมาย
หยวนอู่ทง มู่ชางถู โจวฮวายชิว จางจือเหยียนและบุคคลสำคัญอื่น ๆ ของทั่วเขตปกครองอวิ๋นเหอต่างนั่งอยู่ในที่นั่งลำดับรอง
บางครั้งเมื่อดวงตาของพวกเขาเหลือบมองไปที่ซูอี้ แววตาที่แสดงถึงเคารพอันไม่อาจซ่อนเร้นบังเกิดขึ้นอย่างไม่อาจควบคุม
“กล่าวคือมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นในต้าโจวเมื่อเดือนที่แล้ว?”
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางถามกลับ
“ถูกต้อง”
หยวนอู่ทงพยักหน้าอย่างเร่งรีบ “นอกจากสัตว์อสูรที่สร้างความวายวอดไปทั่วแล้ว ยังมีผู้ฝึกตนจากต่างถิ่นบุกรุกเข้ามา ขณะนี้กลุ่มผู้ฝึกตนที่บุกรุกเข้ามาในต้าโจวที่ทรงพลังที่สุดนั้นก็คือตำหนักมารเทียนอวี้อย่างไม่ต้องสงสัย”
ตำหนักมารเทียนอวี้?
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่าชื่อนี้ค่อนข้างคุ้นเคย
ในไม่ช้าเขาก็จำได้ว่าฉู่ซิวผู้นั้นมาจาก ‘ตำหนักมารเทียนอวี้’ ซึ่งอยู่ในมหาทวีปเทียนตู!
บุคคลผู้นี้มีระดับการบ่มเพาะขั้นวิถีวิญญาณและได้ทำการสร้างหุ่นเชิดศพขึ้นมาจำนวนหนึ่ง
ตอนอยู่ในหอเซียนดาบแห่งทะเลวิญญาณโกลาหล เขาได้ทำลายหุ่นเชิดศพของคนผู้นี้ด้วยตัวเอง
และขณะที่อยู่ในนครหลวงจิ๋วติ่งในต้าเซี่ย ฉู่ซิวผู้นี้ยังร่วมมือกับเล่อเฟิงและทิงเฮ่อจากสำนักเต๋าชิงอี่ซึ่งเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณเพื่อสังหารเขาอีกด้วย
ทว่าผลลัพธ์ในตอนนั้นคือเป็นเขาที่สังหารทั้งเล่อเฟิงกับทิงเฮ่อ และยังทำลายหุ่นเชิดศพของฉู่ซิวผู้นี้ไปอีกหนึ่ง!
ในเวลานั้นเองที่จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยออกประกาศหมายจับฉู่ซิวไปทั่วทั้งต้าเซี่ย
ทว่าความแข็งแกร่งของราชวงศ์เซี่ยนั้นไม่เพียงพอ พวกเขาล้มเหลวในการจับฉู่ซิวผู้น่าตายคนนี้ในท้ายที่สุด
“ตำหนักมารเทียนอวี้มาจากมหาทวีปเทียนตู และตอนนี้กลุ่มคนของมันได้บุกเข้ามาในดินแดนต้าโจวแล้ว สิ่งนี้… เกี่ยวข้องกับฉู่ซิวผู้นั้นหรือไม่?”
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ฉู่ซิวรู้ดีว่าเขามาจากต้าโจว
เมื่อตอนที่เขายังอยู่ในนครหลวงจิ๋วติ่ง เพราะกังวลว่าฉู่ซิวจะมายังต้าโจวเพื่อจัดการกับมิตรสหายของเขา ซูอี้จึงทำสองสิ่งเอาไว้ล่วงหน้า
สิ่งแรกคือขอให้เวิงจิ่วใช้พลังของราชวงศ์เซี่ยส่งจดหมายกลับมาที่ต้าโจว ณ ตำหนักเทียนหยวนเพื่อบอกให้หนิงซือฮวาพามิตรสหายทั้งหมดที่เขามีไปที่หอเซียนดาบซึ่งอยู่ในส่วนลึกของทะเลวิญญาณโกลาหล
สิ่งที่สองคือส่งหยวนเหิงไปที่ผามังกรด้วน โดยให้นำดาบสุดแดนดินไปส่งให้แก่จ้าวมังกรอิงเชวียเพื่อให้นำไปปกป้องหนิงซือฮวาและคนอื่น ๆ อย่างลับ ๆ ที่ทะเลวิญญาณโกลาหล
ตอนนี้เมื่อได้ยินมาว่ากลุ่มคนของตำหนักมารเทียนอวี้ออกอาละวาดในต้าโจว ซูอี้จะไม่สนใจเรื่องนี้ได้อย่างไร?
“โชคดีที่ข้าได้เตรียมการให้หนิงซือฮวา และคนอื่น ๆ ไปหลบภัยในหอเซียนดาบล่วงหน้าแล้ว ไม่เช่นนั้นหากพวกเขายังอยู่ในต้าโจว ผลที่ตามมาคงไม่อาจคาดเดาได้เลย”
ซูอี้ลอบกล่าวกับตนเอง
“ตำหนักมารเทียนอวี้ทรงพลังมากนักหรือ?”
ในเวลานี้เก๋อเฉียนอดไม่ได้ที่จะถาม
“ไม่ผิด”
หยวนอู่ทงแสดงสีหน้ามืดหม่น “ในเวลาไม่ถึงครึ่งเดือนขุมอำนาจต่างแดนนี้กวาดล้างไปทั่วและได้ยึดขุนเขาปีศาจไปแล้วห้าในแปด!”
“พวกเขายึดขุนเขาปีศาจเหล่านั้นไปเพื่อการใด?”
เก๋อเฉียนถามอีกครั้ง
“ว่ากันว่าในการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ ขุนเขาปีศาจทั้งแปดได้เปลี่ยนแปลงมากที่สุด ทั่วบริเวณของขุนเขาปีศาจทั้งหมดมีปราณวิญญาณเพิ่มขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์และมีสมบัติวิเศษโบราณมากมายซึ่งถูกฝังไว้เป็นเวลานานแล้วถูกค้นพบ”
คำถามนี้ถูกตอบโดยมู่ชางถูเจ้าสำนักดาบชิงเหอ
“สายตาของพวกมันเฉียบแหลมไม่น้อย”
ซูอี้กล่าว “สถานที่ที่จะมีการเพิ่มพูนปราณวิญญาณมากที่สุดของต้าโจวคือขุนเขาปีศาจทั้งแปด ซึ่งภายหลังมันจะกลายเป็นสถานที่ที่ผู้ฝึกตนทุกคนอยากจะจับจองเป็นเจ้าของ”
เขาได้ย่างกรายเข้าไปทั้งหุบเขามารบุปผาโลหิตและขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนา ดังนั้นเขาจึงรู้แจ้งว่าสถานที่ที่เรียกว่าอันตรายที่สุดเหล่านี้นั้นเมื่อสามหมื่นปีที่แล้วเคยเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของขุมกำลังวิถีปราชญ์โบราณบางส่วนที่ยึดเอาไว้เป็นที่มั่น
เช่นเดียวกับขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนาซึ่งแต่เดิมเคยเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของศาลเซนวิถีพุทธ!
เมื่อได้ยินคำพูดของซูอี้ หยวนอู่ทงและคนอื่น ๆ ต่างก็ตระหนักได้ในทันที
“ปรมาจารย์ซู มีข่าวลือเมื่อไม่นานมานี้ว่าคนของตำหนักมารเทียนอวี้ได้บังคับให้ราชวงศ์โจวและสำนักดาบมังกรเร้นยอมจำนน ซึ่งตอนนี้พวกเราต่างกังวลกันว่าอาณาจักรโจว ณ ตอนนี้น่าจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของขุมกำลังต่างแดนไปแล้ว…”
มู่ชางถูถอนหายใจ
ซูอี้ไม่แปลกใจกับเรื่องนี้และไม่ได้รู้สึกอะไรมาก ก่อนจะกล่าวว่า “นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีผู้ใดหยุดได้ ในปีหน้าฟ้าดินจะยิ่งมีการเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่มากกว่านี้”
“แต่ทว่าสำหรับผู้ฝึกตนทุกคน แม้การเปลี่ยนแปลงนี้จะนำพามาซึ่งความโกลาหลที่คาดเดาไม่ได้และการนองเลือดอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง แต่ในขณะเดียวกันมันก็พร้อมกับโอกาสมากมายนับไม่ถ้วน”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ซูอี้ก็เหลือบมองหยวนอู่ทงและคนอื่น ๆ แล้วพูดว่า “เฉกเช่นพวกเจ้าที่ติดอยู่ในขอบเขตที่สี่ของวิถียุทธ์มาหลายปีแล้ว หากไม่ได้พบกับโอกาสสวรรค์ประทานพวกเจ้าคงอาจจะไม่สามารถก้าวข้ามมันไปได้ในชีวิตนี้ แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่กำลังมาถึง ตราบใดที่พวกเจ้ามุมานะเพียงพอมันก็ไม่ยากที่พวกเจ้าจะได้ก้าวเข้าสู่วิถีต้นกำเนิดได้สำเร็จ”
หยวนอู่ทงและคนอื่น ๆ ต่างตกตะลึงและครุ่นคิด
หลังจากพูดคุยกันสักพักซูอี้จึงลุกขึ้นและจากไป
ในช่วงเดือนที่ผ่านมาเกิดความวุ่นวายไปทั่วต้าโจว และข่าวทุกประเภทนั้นต่างแพร่สะพัดไปทั่วท้องฟ้า
ทว่าด้วยอิทธิพลและอำนาจของหยวนอู่ทงที่มีอย่างจำกัดมันจึงเป็นการยากที่ซูอี้จะเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในต้าโจวแห่งนี้
ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่รู้เลยว่าข่าวที่รับฟังมาเป็นความจริงสักกี่ส่วน
เมื่อเดินออกจากภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ก็เป็นยามค่ำแล้ว
บนถนนและตรอกซอกซอยที่พลุกพล่านในสมัยก่อน ขณะนี้กลับเงียบร้างมีผู้คนเดินอยู่เพียงประปราย ทั้งพวกเขายังเดินด้วยท่าทางรีบร้อนราวกับไม่อยากรั้งอยู่นอกเคหสถานให้นานเกินไป
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในช่วงสามวันที่ผ่านมาเมืองนี้ได้รับผลกระทบจากความกลัวสัตว์อสูรที่เข้าโจมตี จนทำให้เมืองนี้ที่เจริญรุ่งเรืองและมีชีวิตชีวาในอดีตได้รับผลกระทบอย่างมาก
สิ่งนี้ทำให้ซูอี้หมดความสนใจที่จะอยู่ค้างที่นี่และตัดสินใจที่จะออกเดินทางจากไปในคืนนี้เลย
“หืม?”
ขณะที่ซูอี้กำลังไตร่ตรองว่าเขาควรจะใช้โอกาสนี้เพื่อกลับไปดูเมืองกว่างหลิงหรือไม่ ทันใดนั้นเขารู้สึกว่าตนเองถูกจ้องมองซึ่งทำให้เขาหันหน้าไปมองยังตรอกที่มืดมิด
ที่นั่น ชายชราในชุดคลุมสีดำกำลังยืนถือธงวิญญาณ
ทันทีที่ถูกซูอี้จ้องมอง ชายชราปริศนาก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับริมฝีปากที่เหี่ยวแห้งโค้งเป็นรอยยิ้ม และดวงตาขุ่นมัวคู่นั้นส่องประกายแสงมรกตอย่างเงียบงัน!