บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 602: หมัดทลายจันทราสามสิบหกดวง
ตอนที่ 602: หมัดทลายจันทราสามสิบหกดวง
ตอนที่ 602: หมัดทลายจันทราสามสิบหกดวง
เวลาล่วงเลยไปทีละนิด
คิ้วเรียวของชิงซวงขมวดเข้าหากัน
นางฟาดฟันออกไปหลายร้อยดาบ อานุภาพของทุกดาบเพียงพอให้ปลิดชีพผู้ฝึกตนวิถีแปรเปลี่ยนวิญญาณสักคนได้ง่ายดาย
ทว่าบัดนี้ ชายหนุ่มขอบเขตรวบรวมดาราคนหนึ่งกลับหลบได้หมด!
ใช่ว่านางไม่เปลี่ยนกระบวนท่า
อย่างเช่นการถักทอตาข่ายปราณดาบที่ครอบคลุมทุกทิศทางปกคลุมลงมา
อย่างเช่นการยืมพลังมิติจากฟ้าดิน ผสานเข้ากับแรงกดดันในขอบเขตสยายวิญญาณ พยายามปิดทางพันธนาการทุกสิ่งที่ซูอี้สามารถโต้กลับได้
อย่างเช่นการเข้ากำราบด้วยค่ายกลดาบ…
แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายของชิงซวงคือ ซูอี้ประดุจปลาที่หลุดรอดออกจากแห เขาคาดการณ์และค้นหาหนทางรอดได้ล่วงหน้าเสมอ หลบเลี่ยงทุกกระบวนท่าเข่นฆ่าได้อย่างหวุดหวิด
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าน่าเหลือเชื่อเพียงใด
“เหลือเวลาไม่เยอะแล้ว ปล่อยให้ยืดเยื้อต่อไปเช่นนี้ไม่ได้”
ชิงซวงเริ่มร้อนใจ
ช่องทางมิติเปิดไว้ได้แค่ครึ่งเค่อ มัวชักช้าอยู่ไม่ได้!
“ขึ้น!”
ชิงซวงคำรามเสียงใส ดาบแสงเงินยวงแทงออกไปกลางอากาศสามสิบหกครั้ง
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
จันทราเดือดพล่าน ประกายสีเงินส่องสุกใส ดวงจันทร์ส่องแสงแวววาวลอยขึ้นเหนือนภา ระหว่างที่หมุนคว้างอยู่นั้น กระตุ้นพลังฟ้าดินออกมาอีกมหาศาล
ฟ้าดินผืนนี้ตกอยู่ในคลื่นโกลาหลของพลังอันดุดันในบัดดล บดขยี้ รัดพัน หมุนคว้าง กระแทกกระทั้น กันและกัน… กลายเป็นค่ายกล!
พลังวิชาดาบอันน่าพรั่นพรึงแผ่ซ่านออกจากจันทราทั้งสามสิบหกดวง ยิ่งใหญ่อลังการประหนึ่งแสงจันทร์ที่มุ่งไปด้านหน้า สาดกระทบลงมาสู่โลก
เพลงดาบบุหลัน!
สามสิบหกโคจรจันทรา ปราณดาบร่ายรำฟ้าดิน!
นี่คือค่ายกลที่มีแต่ขอบเขตสยายวิญญาณเท่านั้นถึงจะควบคุมได้ หลักแห่งมหาวิถีเต๋าล้นหลามอยู่ภายใน เมื่ออยู่ท่ามกลางค่ายกลระดับนี้ ผู้ใช้วิชาเปรียบเสมือนผู้พิพากษา!
ศัตรูพันธนาการอยู่ในนั้นเมื่อใด ก็ไม่ต่างจากถูกจองจำในฟ้าดินผืนเล็กที่ผู้ใช้วิชาสร้าง จะถูกตัดการเชื่อมต่อระหว่างฟ้าดินของโลกภายนอกจนสิ้น
นอกเสียจากว่าศัตรูก็ควบคุมค่ายกลได้เหมือนกัน
มิเช่นนั้นมีแต่จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่รอโดนเชือด
“นี่มันพลังระดับใดกัน”
พวกเก๋อเฉียนและหยวนเหิงตะลึงกันหมด ล้วนทึ่งกับภาพนี้
เยว่ซือฉานใจหล่นวูบไปเช่นเดียวกัน
“สหายน้อย เช่นนี้แล้วเจ้าจะหลบทางไหนได้อีก”
แววตาของชิงซวงฉายแววเย็นเยียบ นางหมุนดาบแสงเงินพราวในมือ
ตู้ม!
ค่ายกล ‘เพลงดาบบุหลัน’ ที่สร้างขึ้นจากจันทราทั้งสามสิบหกดวงเจือด้วยพลังอันน่าสยดสยองที่ฟ้าดินต้องสะท้าน ครอบคลุมลงมาหาซูอี้
เขาไม่อาจหลบได้เลย แสงจันทราสว่างเจิดจ้าเต็มไปทั่วทุกพื้นที่ ปราณดาบกระจายอยู่ทุกหนแห่ง ใต้หล้าแห่งนี้อัดแน่นไปด้วยพลัง!
ต่อให้มองจากที่ไกล ๆ ก็ยังรู้สึกสิ้นหวังไม่เหลือหนทาง
“อาณาเขตดาบอย่างนั้นหรือ น่าเสียดาย…”
ทว่าในนาทีคับขันเช่นนี้ ซูอี้กลับส่ายหัว
ครั้งนี้ เขาไม่ได้หลบเลี่ยงแต่อย่างใด
เขาก้าวเหินอยู่กลางอากาศ แขนเสื้อสะบัดพลิ้วไหว พลังทั่วตัวเร่งขึ้นมาระดับสูงสุด เขางอนิ้วเป็นกำปั้น ต่อยใส่พระจันทร์ดวงหนึ่งไกล ๆ!
ตู้ม!
พลังหมัดเปรียบดั่งคมแสงทะลุตะวัน แทงเข้าไปโต้ง ๆ
ทุกหนแห่งที่แรงหมัดกวาดผ่าน ทลายไปตาม ๆ กันอย่างเห็นได้ด้วยตาเปล่า หมัดของเขากะเทาะมุมหนึ่งซึ่งเปราะบางที่สุดของค่ายกล ‘เพลงดาบบุหลัน’ และกระแทกกับจันทราดวงหนึ่งอย่างแรง
จันทราดวงนั้นสั่นสะท้าน ก่อนจะระเบิด
ค่ายกลที่ครอบคลุมฟ้าดินผืนนี้อยู่สั่นคลอนตามไปด้วย แสงจันทร์ครืนครานดั่งสายน้ำไหลหลาก เห็นได้ชัดว่าได้รับผลกระทบ
หมัดเดียว เจาะหาทางรอดจนได้!
ภาพแสนดาลเดือดนี้ส่งผลให้ดวงหน้างดงามของชิงซวงเปลี่ยนไปทันที ดวงตาฉายแววไม่อยากเชื่อ
หมัดนี้ หาได้มีอานุภาพน่ากลัวเท่าใด
สิ่งที่น่ากลัวอย่างแท้จริง คือหมัดนี้จับจุดอ่อนที่ปรากฏเพียงแวบเดียวของค่ายกล ‘เพลงดาบบุหลัน’ ของนางได้!
การเปลี่ยนแปลงของค่ายกลเร้นลับยิ่ง จุดที่ดูเหมือนเป็นจุดอ่อน คล้อยตามการสับเปลี่ยนมากมาย เป็นไปได้สูงว่าจะกลายเป็นกับดักแสนอันตราย
ความเร้นลับนี้ มีเพียงผู้ใช้วิชาเท่านั้นที่รู้
และเป็นจุดที่ค่ายกลไม่อาจคาดเดา และไม่อาจต้านทานได้ที่สุด
ทว่าในตอนนี้ ซูอี้กลับมองทะลุความเร้นลับทั้งหมดของ ‘เพลงดาบบุหลัน’ ในพริบตาเดียว เสี้ยวอึดใจเท่านั้น เขาสามารถต่อยจุดที่เปราะบางที่สุดในค่ายกล ‘เพลงดาบบุหลัน’ จนเป็นรอยร้าวได้!
เรื่องนี้น่าสะพรึงยิ่ง!
“แย่แล้ว!”
ไม่รอให้ชิงซวงตั้งสติ ก็เห็นร่างของซูอี้กระโจนเข้าไปในค่ายกล ‘เพลงดาบบุหลัน’ ผ่านรอยร้าว เปิดฉากการรุกรานอันดุดันรวดเร็ว
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
เขาสยายร่าง เหวี่ยงหมัดฟาดฟัน
แรงหมัดกำปั้นแล้วกำปั้นเล่าผสานเข้าหากัน ประหนึ่งลำแสงสีใสพุ่งทะยานทะลุเมฆ
“สยบ!”
ชิงซวงเร่งพลังดาบแสงเงินพราว แสดงอานุภาพการผันแปรของค่ายกล ‘เพลงดาบบุหลัน’ สูงสุด แสงสีเงินพราวของพระจันทร์ซัดเข้าหาซูอี้ประหนึ่งเกลียวคลื่นอันดุดัน
ทว่า การเคลื่อนไหวนี้ช้าไปก้าวหนึ่งเท่านั้น
ทุกหมัดที่ซูอี้ต่อยออกไป จะเห็นดวงจันทร์แวววาวดวงหนึ่งแตกเป็นเสี่ยง ๆ ระเบิดจนแหลกลาญ
พริบตาเดียวเท่านั้น จันทราแต่ละดวงที่ก่อเกิดขึ้นพลันกลับเป็นดั่งจานหยกแสนเปราะบาง ทลายออกจากกันภายใต้ท้องฟ้ายามราตรี สลายกลายเป็นฝน
ตูม!
แสงจันทร์สีเงินยวงที่พุ่งเข้ามาหาซูอี้ดุจมหาสมุทรอันกราดเกรี้ยวราวกับสูญเสียพลานุภาพของมัน เมื่อมาถึงรอบตัวซูอี้ ก็แตกสลายประหนึ่งภาพลวงตา
แสงจันทร์ดั่งคลื่น ถดถอยกลับไปทั้งหมด!
ซูอี้ในตอนนี้ดึงแรงหมัดกลับมาแล้ว เขาเอามือไพล่หลัง พลางเอ่ยเสียงเบา “อาณาเขตดาบนี้ เพิ่งจะบำเพ็ญหล่อหลอมออกมาได้เป็นตัวอ่อนเท่านั้น จุดบอดมีอยู่มากมาย นำมาใช้ขณะต่อสู้กับศัตรู นับเป็นเรื่องต้องห้ามอย่างยิ่ง”
เสียงนั้นยังสะท้อนก้อง
ตู้ม!
ท่ามกลางสายตาตะลึงของทุกคน ค่ายกล ‘เพลงดาบบุหลัน’ ที่ปกคลุมฟ้าดินผืนนี้อยู่อันตรธานไป ฝนแสงสาดกระเซ็นไปทั่ว
ทุกอย่างพังทลายลงอย่างสิ้นเชิง!
เป็นภาพที่ชวนสะท้านใจอย่างยิ่ง
ซูอี้ก่อนหน้านี้ ตัวอยู่ภายใต้ค่ายกลเพลงดาบบุหลัน ประหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางมรสุม สถานการณ์อันตรายจนชวนพรั่นพรึง
ใครเล่าจะคิด เพียงพริบตาเดียว คลื่นแสนกราดเกรี้ยว แฝงไว้ด้วยภยันตราย ก็สลายหายไปในเวลาไม่เท่าไร
เขาสะบัดแขนเสื้อ ปล่อยหมัดทลายจันทราทั้งสามสิบหกดวง สลายปวงคลื่นแสงจันทร์!
ชิงซวงซึ่งยืนอยู่ไกล ๆ ตกตะลึงพรึงเพริด
นักดาบหญิงขอบเขตสยายวิญญาณซึ่งข้ามโลกเข้ามา เดิมทระนงภาคภูมิ เจิดจรัสเหนือผู้ใด พลังพลุ่งพล่านสะท้านภูผาลำธาร
แต่เวลานี้ เมื่อได้รับความสะเทือนใจประหนึ่งพายุฝนที่โหมกระหน่ำ คนทั้งคนยืนเหม่อลอยอยู่อย่างนั้น ใบหน้างดงามซีดขาว สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
คนหนุ่มขอบเขตรวบรวมดารา เหตุใดถึงแข็งแรงได้ปานนี้?
แล้วเขา… มองทะลุความเร้นลับในการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดของค่ายกลเพลงดาบบุหลันได้อย่างไร?!
เมื่อครั้งเขาหลบเลี่ยงก่อนหน้า เขาใช้เคล็ดวิชาเลิศล้ำเพียงใดกัน ถึงหลบการเข่นฆ่าด้วยปราณดาบของตัวนางครั้งแล้วครั้งเล่า
นี่มัน… เป็นพลังของขอบเขตรวบรวมดาราจริง ๆ หรือ?
ความแคลงใจแต่ละประการ เปรียบเสมือนมือล่องหนที่คอยปั่นป่วนจิตใจของชิงซวง!
เก๋อเฉียน หยวนเหิง ไป๋เวิ่นฉิง ต่างอารมณ์ขึ้นลงปั่นป่วน สุดแสนสะท้อนใจ
แม้ว่าพวกเขาเคยเชยชมความไร้เทียมทานสะท้านฟ้าของซูอี้เมื่อครั้งอยู่ที่เกาะเซียนพระสุเมรุแล้ว
ทว่าบัดนี้ได้เห็นซูอี้ใช้วิธีการนี้กำราบเคล็ดวิชาก้นหีบของนักดาบหญิงขอบเขตสยายวิญญาณ ก็ยังทำให้พวกเขาสะท้านใจได้อย่างยิ่ง!
“แม่นาง อาณาเขตดาบไม่ได้ใช้กันเช่นนี้หรอกนะ”
ซูอี้ยืนตระหง่านอยู่กลางอากาศ ทอดมองชิงซวงจากระยะไกล พลางเอ่ยเสียงราบเรียบ
ประโยคเดียวสั้น ๆ กลับส่งผลให้ร่างบางของชิงซวงสะท้าน ความอับอายถาโถมเข้ามาในใจ “อาณาเขตดาบต้องใช้อย่างไร ไม่ใช่หน้าที่ของเจ้ามาสั่งสอนข้า!”
หญิงสาวทั้งอายและโกรธขึ้ง น้ำเสียงเจือแววพาล
ซูอี้ยิ้ม “ในฐานะนักดาบ ชนะได้แล้วต้องแพ้ให้เป็น นิสัยอย่างเจ้า ไม่มีสิทธิ์พอให้ข้าสอนหรอก”
นัยน์ตาชิงซวงฉายแววขุ่นเคือง กำลังจะเอื้อนเอ่ยบางอย่าง ช่องทางมิติใต้นภาสั่นสะเทือนรุนแรง เกิดเป็นคลื่นมิติ
เสียงหนึ่งดังออกจากภายใน “ชิงซวง เจ้าแพ้แล้ว”
ประโยคเดียวเรียบ ๆ กลับเผยความน่าเกรงขามออกมามหาศาล ประหนึ่งเสียงแห่งมหาวิถีเต๋า กึกก้องอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน
กระทบเข้าหูพวกเก๋อเฉียนแล้ว เสียงนั้นมีพลังประหนึ่งส่งตรงเข้าหัวใจ ก่อให้เกิดความรู้สึกนับถือเทิดทูนเขาเหมือนเทพเจ้า
ชิงซวงมีสีหน้าละอาย แล้วเอ่ยเสียงเบา “นายท่านสอนสั่งได้ถูกยิ่ง ข้าน้อยประมาทเกินไป”
“ไม่หรอก ต่อให้เจ้าระวังตัวกว่านี้อีกหมื่นเท่า ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสหายเต๋าผู้นี้”
เสียงน่าเกรงขามนั้นดังขึ้นอีกครั้ง
ร่างบางของชิงซวงแข็งทื่อ ยืนนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น เหตุใด… นายท่านถึงให้ค่าคนหนุ่มผู้นี้ถึงเพียงนั้น!
“ขอบคุณสหายเต๋าที่ออมมือให้ก่อนหน้านี้”
เสียงน่าเกรงขามนั้นดังขึ้นอีกครั้ง ราวกับมีเวทมนตร์บางอย่างที่ทำให้ฟ้าดินเงียบสงบ สรรพสิ่งสงัด
ซูอี้มือไพล่หลัง “ช่องทางมิติที่อยู่ระหว่างสองโลกไม่อาจมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าออมมือ”
เขาเดาตัวตนของอีกฝ่ายออกแล้ว
เสียงน่าเกรงขามนั้นเจือแววสะท้อนใจ “พลังที่ทำลายตราลับประทับมิติก่อนหน้านี้เป็นฝีมือของสหายเต๋า ไฉนเล่าที่ข้าจะลืมลง”
ซูอี้ตอบอืม กระจ่างขึ้นมา
และในตอนนั้น รัศมีเย็นยะเยือกแผ่ออกจากแผ่นหลังของชิงซวง ดวงหน้างดงามเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ก่อนหน้านี้นางยังไม่เข้าใจ เหตุใดนายท่านถึงให้ความสำคัญกับคนหนุ่มขอบเขตรวบรวมดาราผู้นี้นัก
แต่ตอนนี้ นางเข้าใจแล้ว!
คนหนุ่มขอบเขตรวบรวมดาราที่ทำลายตราลับประทับมิติทั้งหมดซึ่งผู้เป็นจักรพรรดิเป็นผู้เปิดได้ พลังของเขาต้องน่าพรั่นพรึงเพียงใดเชียว?
เมื่อหวนนึกถึงการต่อสู้ระหว่างนางและซูอี้ก่อนหน้านี้ ยิ่งคิดชิงซวงก็ยิ่งรู้สึกหนาวใจ
“ลูกเอ๋ย ข้าเข้าใจว่าเจ้ายังยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นทันทีไม่ได้ ข้าหวังเพียงเจ้าจะให้โอกาสข้า และให้โอกาสตัวเจ้าเอง ให้ข้าได้บอกเล่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้แก่เจ้า”
เสียงน่าเกรงขามนั้นดังขึ้นอีกครั้ง ทว่าทุ้มต่ำลง น้ำเสียงฉายแววรู้สึกผิดและละอายใจ
“ถึงเมื่อนั้น ไม่ว่าเจ้าจะอภัยและยอมรับข้าหรือไม่ ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ต่อ หรือกลับมายังมหาทวีปคังชิงแห่งนี้ เจ้าตัดสินใจเองได้เลย”
ทุกคนเงียบกันหมด ทุกสายตาทอดมองไปยังเยว่ซือฉาน
ริมฝีปากแดงฉ่ำของหญิงสาวเยือกเย็นดั่งน้ำแข็งเม้มเข้าหากัน ผงะอยู่นานไม่พูดจา
ผู้ใดก็ดูออกว่าจิตใจของนางกำลังสับสนดิ้นรน
“มารดาของเจ้าเสียไปไว ส่วนข้า… ไม่อยากเสียเจ้าไปอีกแล้ว ลูกเอ๋ย ถือเสียว่า… ข้าขอร้องให้เจ้ากลับมาได้หรือไม่?”
เสียงน่าเกรงขามนั้นเจือแววขอร้อง
เรื่องนี้ทำให้ชิงซวงสะท้านใจยิ่ง นายท่านเป็นถึงการดำรงอยู่ที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรปานใดกัน!?
ทว่าเวลานี้ เขากลับเป็นเพียงบิดาที่ละอายใจในความผิด ศักดิ์ศรี ความองอาจ ความหยิ่งทะนง เขาไม่สนสิ่งใดแล้ว หวังเพียงลูกสาวจะยอมเข้าใจ!
ซูอี้หันมองเยว่ซือฉาน “ช้าเร็วเจ้าก็ต้องกลับไปเผชิญกับเรื่องนี้ อยู่ที่การตัดสินใจของเจ้าแล้ว”
ร่างบางของเยว่ซือฉานสั่นเล็กน้อย ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก ดวงตาสุกสกาวหันมองซูอี้ ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “ศิษย์พี่ซู ข้า… ข้าจะกลับมาหาท่าน”
หญิงสาวตัดสินใจได้แล้ว
“ดี ดี ดี!”
เสียงน่าเกรงขามนั้นเอ่ยคำว่าดีออกมาหลายครั้ง ความตื้นตันฉายชัด
ใบหน้าชิงซวงฉายแววเต็มตื้นและปีติยินดีเช่นกัน นางโค้งตัว “นายหญิงน้อยโปรดตามข้าน้อยมา!”
“ช้าก่อน” ซูอี้ส่งเสียง