บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 557: ตามแต่ใจเจ้าต้องการ
ตอนที่ 557: ตามแต่ใจเจ้าต้องการ
ตอนที่ 557: ตามแต่ใจเจ้าต้องการ
เมื่อเยื้องย่างสู่ขอบเขตรวบรวมดารา เมล็ดพันธุ์ปฐมญาณซึ่งถูกบ่มเพาะในตันเถียนจะควบแน่นเป็นดาราปฐมญาณ
ในเก้ามหาแดนดิน มีเกณฑ์วัดระดับสองข้อสำหรับขอบเขตรวบรวมดารา
หนึ่งคือดูว่าควบแน่นดาราปฐมญาณไปมากเพียงไร
สองคือดูคุณภาพของดาราปฐมญาณที่ควบแน่นได้
จำนวนและคุณภาพของดาราปฐมญาณนั้นเกี่ยวพันกันจนแยกกับขนาดถ้ำเปิดทวารที่เปิดในตันเถียนไม่ได้ และความแข็งแกร่งของเมล็ดพันธุ์ปฐมญาณที่อยู่ภายในนั้น
เหมือนเช่นการเพาะปลูก
ขอบเขตไร้เบญจธัญคือการควบรวมเมล็ดพันธุ์ ขอบเขตเปิดทวารคือการใส่ปุ๋ยพรวนดิน และขอบเขตรวบรวมดาราก็คือยามหว่านเมล็ดให้เติบโตและเก็บเกี่ยวพืชผล
ผู้ฝึกตนโดยทั่วไปยามเหยียบย่างสู่ขอบเขตรวบรวมดารา พวกเขาจะสามารถควบแน่นดาราปฐมญาณได้ราว ๆ พันดวง
คนเหล่านี้จะเป็นได้เพียงคนธรรมดาในเก้ามหาแดนดิน
ผู้ซึ่งสามารถควบรวมดาราปฐมญาณสามพันดวงได้จึงจะถูกเรียกว่าเมธีเลิศล้ำ
ตัวอย่างเช่น เหล่าศิษย์และทายาทขุมอำนาจกลุ่มเต๋าผู้ฝึกตนส่วนใหญ่จะทำได้เช่นนี้
ผู้สามารถควบรวมดาราปฐมญาณได้หกพันถึงเก้าพันดวงสามารถนับได้ว่าเป็นผู้นำแห่งคนรุ่นเยาว์ หาได้แทบจะมีเพียงหนึ่งในพัน
ดูเหมือนว่าบุคคลเช่นนี้จะมีคุณสมบัติพอที่จะเป็นทายาทผู้สืบทอดสำนักชั้นหนึ่งเหล่านั้นได้
ผู้ซึ่งสามารถควบรวมดาราปฐมญาณคือเมล็ดพันธุ์แห่งการฝึกฝนชั้นดีในสายตาโลกหล้า บ่อยครั้งจะถูกเถลิงชื่อเสียงเช่นผู้อยู่เหนือหล้า ยอดอัจฉริยะ หรือสมบัติแห่งสวรรค์
อันที่จริง เมื่อผู้อยู่ในเก้ามหาแดนดินเหยียบย่างสู่ขอบเขตรวบรวมดารา เกณฑ์มาตรฐานการเป็นยอดฝีมืออัจฉริยะหรือไม่นั้นคือการควบรวมดาราปฐมญาณให้ได้หมื่นดวง
ขอแค่เพียงควบรวมดาราปฐมญาณให้ได้หมื่นดวง ก็จะเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะมหาวิถีซึ่งมีเพียงหนึ่งในหมื่น! สุดยอดขุมกำลังทั่วหล้าจะยื้อแย่งรับเป็นศิษย์
กล่าวโดยรวม ยอดฝีมืออัจฉริยะซึ่งสามารถรวบรวมดาราปฐมญาณได้ถึงเพียงนี้ไม่มีทางอ่อนแอได้
ดูเหมือนว่าทั้งผู้ร้ายกาจในยุคโบราณและเหล่าผู้เก่งกล้ายุคปัจจุบันผู้เข้ามาในเกาะเซียนพระสุเมรุในยามนี้ ต่างทำเช่นนี้ได้ทั้งสิ้นยามเมื่อย่างเท้าสู่ขอบเขตรวบรวมดารา
ทว่าในสายตาของซูอี้ การมีดาราปฐมญาณเกินหมื่นยังแยกเป็นระดับสูงและต่ำ!
กล่าวให้กระชับ หากรวมดาราปฐมญาณได้หมื่นดวง จะกล่าวได้ว่าเป็นอัจฉริยะบนมหาวิถี ทว่าหากรวมดาราปฐมญาณสามหมื่นดวงได้ ก็จะถูกขนานนามเป็นอัจฉริยะไร้ผู้เทียบเทียม
ดูเหมือนว่าตัวตนเช่นนี้มักจะเป็นศิษย์ผู้สืบทอดหลักในสำนักระดับสูงสุดต่าง ๆ พวกเขาเกิดมาพร้อมมหาลาภ มีความสามารถเกินธรรมดายากจินตนาการถึง
หากสามารถควบรวมดาราปฐมญาณได้หกหมื่นดวง ก็จะกล่าวได้เป็นผู้เลิศล้ำในโลกหล้า!
บุคคลเช่นนี้ยิ่งหาได้ยากกว่าผู้ใด หลายพันปีอาจมีปรากฏสักหนึ่ง และในเก้ามหาแดนดินนี้ หากบุคคลเยี่ยงนี้ถูกพบเข้าสักครั้ง ขุมพลังโบราณเหล่านั้นอาจจะกระทั่งก่อสงครามต่อกันเพื่อแย่งชิง
ในอดีตชาติ สองในเก้าลูกศิษย์ของซูอี้มีความสามารถโดดเด่น
พวกเขาคือศิษย์คนที่ห้า ‘หวังเชวี่ย’ และศิษย์คนเล็ก ‘ชิงถัง’
หวังเชวี่ยรวบรวมดาราปฐมญาณได้หกหมื่นสามพันดวงในคราแรก
และชิงถังก็ยิ่งน่าอัศจรรย์ นางควบรวมดาราปฐมญาณเจ็ดหมื่นสองพันดวง เถลิงราชย์เหนือโลกา และถูกขนานนามว่าเป็นบุคคลในขอบเขตรวบรวมดาราอันดับหนึ่งแห่งเก้ามหาแดนดิน!
ในอดีตชาติ เมื่ออยู่ในขอบเขตรวบรวมดารา เขาควบแน่นดาราปฐมญาณได้เพียงหกหมื่นเก้าพันดวง นับว่ายังด้อยกว่าชิงถังในขอบเขตเดียวกัน
ทว่า…
ซูอี้ในยามนี้แตกต่างจากอดีตชาติแล้ว
ยามเมื่อเขาต้องการย่างสู่ขอบเขตไร้เบญจธัญ เขาได้กระตุ้นนิมิตสามหมื่นบุปผาเบ่งบานทั่วโลกา และสร้างเมล็ดพันธุ์ปฐมญาณที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
ยามเข้าสู่ขอบเขตเปิดทวาร สร้างนิมิตภาพสะท้อนวังเซียน และเปิดถ้ำทวารมโหฬารในตันเถียน
ยามนี้ เมื่อเขาย่างสู่ขอบเขตรวบรวมดารา ท้องนภาเบื้องบนก็ราวกับได้กลายเป็นวงล้อ และนิมิตอัศจรรย์ลวดลายวงล้อหยินหยางก็บังเกิด ทำให้ชายหนุ่มสามารถควบรวมดาราปฐมญาณได้เก้าหมื่นดวงในทันที!
เลขเก้านั้นคือตัวเลขสูงสุด
จากประสบการณ์หนึ่งแสนแปดพันปีในอดีตชาติของซูอี้ เขาไม่เคยได้ยินผู้ใดกระทำการได้ยิ่งใหญ่เพียงนี้มาก่อน แม้เขาจะคุ้ยตำราโบราณออกอ่านก็ไม่อาจพบตัวอย่างเก่าก่อนใด ๆ
ดังนั้นมันย่อมเพียงพอจะกล่าวว่าไม่เคยปรากฏ!
“การบรรลุถึงขั้นนี้ได้ ไม่ได้เกี่ยวพันเพียงพื้นฐานแห่งวิถีที่บ่มสร้างจากทุกขอบเขต หากแต่ยังเชื่อมโยงกับดาบเก้าคุมขังอีกด้วย…”
ซูอี้ลอบกล่าว
ดาบเก้าคุมขังนั้นลึกลับยิ่ง ไม่ว่ายามใดที่เขาบรรลุเลื่อนขอบเขต มันจะสร้างอำนาจลึกลับบางอย่างออกมาเปลี่ยนสภาพและกลั่นกรองให้พื้นฐานวิถีของซูอี้แข็งแกร่งบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นเสมอ
เป็นเช่นนี้ในขอบเขตไร้เบญจธัญ
เช่นเดียวกันในขอบเขตเปิดทวาร
และจะเป็นเช่นเดียวกันยามก้าวสู่ขอบเขตรวบรวมดาราในยามนี้
หลังจากควบแน่นดาราปฐมญาณขึ้นเก้าหมื่นดวง ด้วยการเกื้อหนุนจากดาบเก้าคุมขัง รูปลักษณ์ของดาราปฐมญาณแต่ละดวงต่างได้รับการเปลี่ยนแปลงสุดอัศจรรย์ ทอประกายแปลบปลาบคมกริบเยี่ยงลำแสงดาบ กะพริบไหวไปมา เปี่ยมปริศนา
ดาราปฐมญาณอันแข็งแกร่งถูกรวบรวมในถ้ำเปิดทวารกลางตันเถียน ร้อยเรียงดั่งหมู่ดาว บางคราก็เปลี่ยนเป็นลวดลายวงล้อหยินหยาง เปลี่ยนหยินแปรหยางทุกรูปแบบไร้จำกัด
หลังการทำสมาธิของซูอี้ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้ว่าเมื่อเทียบกับคราก่อน ตนเองยามก้าวสู่ขอบเขตรวบรวมดารานั้นมีการเปลี่ยนแปรที่รวดเร็วกว่าจนเทียบไม่ได้!
“ยินดีด้วยกับศิษย์พี่ซูสำหรับความสำเร็จในการเลื่อนขอบเขต!”
เหวินซินจ้าวก้าวตรงเข้ามาแสดงความยินดี ดวงตาหยดย้อยเปี่ยมประกายพร่างพราว งดงามพราวเสน่ห์ไร้ใดเทียบ
เยว่ซือฉานเองก็แสดงสีหน้าชื่นชมยินดี
ยามเมื่อซูอี้เลื่อนขอบเขต ทุกสิ่งย่อมเกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบในคราเดียว และนิมิตซึ่งถูกกระตุ้นให้เกิดก็ยิ่งน่าตะลึงเหนือธรรมดา และนางก็อดทึ่งไม่ได้
“ยินดีกับคุณชายซูด้วยในการเข้าสู่ขอบเขตรวบรวมดารา!”
เก๋อเฉียนทักทายเขาอย่างนอบน้อม
ซูอี้ยิ้มพลางกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย “การเลื่อนขอบเขตเป็นสิ่งที่ข้าคาดไว้ มันไม่มีสิ่งใดต้องแสดงความยินดี”
เทียบกับการเลื่อนขอบเขต สิ่งที่ทำให้ซูอี้ดีใจยิ่งกว่านั้นคือคืนนี้ เขาได้จังหวะวิถีแห่งสายฟ้ามาอยู่ในมือแล้ว ทำให้เก้าจังหวะวิถีที่เขาควบคุมได้ขณะนี้ประกอบไปด้วย เบญจธาตุ หยินหยาง และสายลมกับสายฟ้า!
ขอเพียงหล่อหลอมจังหวะวิถีแห่งหยางและจังหวะวิถีแห่งสายฟ้าที่เพิ่งได้รับมาใหม่ให้ถึงจุดสมบูรณ์แบบ ยามเมื่อเข้าสู่วิถีวิญญาณ เขาจะสามารถหลอมรวมความหมายอันลึกซึ้งของวิถีวิญญาณและคว้าเอา ‘ต้นกำเนิดดั้งเดิม’ มาได้!
นี่คือสิ่งที่ซูอี้เฝ้ารอจะทำมากที่สุด
ไกลออกไปในนภาราตรีเกิดเสียงแหวกอากาศ
จากนั้น เงาร่างสามร่างก็พุ่งมาหา นำโดยชายหนุ่มในเสื้อคลุมสีเงิน คิ้วชี้เยี่ยงดาบ นัยน์ตาพร่างดาว กิริยาสง่างามองอาจเยี่ยงหงส์มังกร เส้นผมยาวสยายพลิ้ว
หลี่หานเติง!
ผู้นำศิษย์รุ่นเยาว์แห่งสำนักเต๋าชิงอี่ เคยอยู่ในอันดับห้าจากชุมนุมมวลพฤกษา ความแข็งแกร่งของเขาจึงไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณระดับสูงสุด
นอกจากหลี่หานเติงยังมีชายร่างสูงในชุดคลุมสีเหลืองผู้หนึ่ง และสตรีชุดดำผู้มีกิริยาเย็นชา
ชายชุดเหลืองมีนามว่าอู๋ซุ่น ในขณะที่สตรีชุดดำมีนามว่ากู่หานชิว
ทั้งคู่ต่างเป็นบุคคลระดับสูงสุดในหมู่คนรุ่นเยาว์ของสำนักเต๋าชิงอี่
เมื่อพบหลี่หานเติง เหวินซินจ้าวและพวกต่างตะลึง
คนรุ่นเยาว์ผู้แข็งแกร่งที่สุดในสำนักเต๋าชิงอี่ได้กลายเป็นมหาปราชญ์สวรรค์ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณแล้ว
เห็นได้ชัดว่าเขาเพิ่งเลื่อนขอบเขตไปไม่นาน ทว่าบรรยากาศที่แผ่ออกจากร่างของอีกฝ่ายนั้นร้ายกาจยิ่งกว่าผู้ฝึกตนในวิถีวิญญาณรุ่นเก่ากว่าเสียอีก!
“ซูอี้? ที่แท้ก็เป็นเจ้า”
เมื่อหลี่หานเติงเห็นพวกซูอี้ สีหน้าพิลึกก็ปรากฏบนใบหน้า และกล่าวว่า “หรือนิมิตบนท้องฟ้าจะเกิดขึ้นเพราะสหายเต๋าซู?”
เห็นได้ชัดว่าพวกหลี่หานเติงตื่นตัวด้วยนิมิตเมื่อครู่จึงมาตรวจสอบ
เมื่อเห็นว่าซูอี้ไม่ใส่ใจ เหวินซินจ้าวจึงกล่าวขึ้นทันทีว่า “ย่อมใช่ ยามนี้สหายเต๋าซูอยู่ในขอบเขตรวบรวมดาราแล้ว”
ชายชุดเหลืองอู๋ซุ่นกล่าวแดกดัน “ความเปลี่ยนแปลงตระการตาเพียงนี้ ข้านึกว่ามีผู้ใดย่างสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณเสียอีก”
ในน้ำเสียงมีเค้าลางแห่งการล้อเลียน
เหวินซินจ้าวขมวดคิ้วน้อย ๆ และกล่าวว่า “ยามเจ้าเลื่อนสู่ขอบเขตรวบรวมดารา เจ้าเคยสร้างนิมิตวิจิตรเหนือธรรมดาเช่นนี้หรือไม่?”
อู๋ซุ่นไร้วาจา สีหน้าแข็งทื่อจากการถูกยอกย้อน
“ศิษย์น้องอู๋ อย่าหยาบคายสิ”
หลี่หานเติงเอ็ดเบา ๆ
เมื่อเห็นว่าซูอี้ไม่คิดสนใจพวกเขา เขาจึงหันไปกล่าวกับเหวินซินจ้าวทันที “แม่นางซินจ้าว ไม่ทราบว่าข้าคนแซ่หลี่จะกล่าวอันใดได้หรือไม่”
เหวินซินจ้าวกล่าว “โอ้? พี่หลี่ เจ้าสอนอันใดข้าได้หรือ?”
หลี่หานเติงคือผู้นำศิษย์แห่งสำนักเต๋าชิงอี่ ดังนั้นกับมารดาบน้อยผู้โด่งดังที่สุดในหมู่คนรุ่นเยาว์ของวังเทพสวรรค์เมฆา ในอดีต พวกเขาจึงพอจะมีความสัมพันธ์กันบ้าง
หลี่หานเติงกล่าวว่า “หวนเฉ่าโหยวก้าวเข้าสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณเมื่อไม่กี่วันก่อน และยามนี้ก็กำลังหาที่อยู่ของเจ้าไปทุกที่ในเกาะเซียนพระสุเมรุนี้”
วาจาลอย ๆ นี้ทำให้สีหน้าของพวกเหวินซินจ้าวเปลี่ยนไปเล็กน้อย
หลี่หานเติงมองซูอี้ ทว่าก็พบว่าอีกฝ่ายดูจะไม่รู้ร้อนหนาว เอาแต่ไพล่มือเบื้องหลังพลางเงยหน้ามองท้องนภาราตรีไกลออกไปราวปล่อยใจล่องลอย
สุดท้าย หลี่หานเติงก็กล่าวอย่างอดรนทนไม่ได้ “ศิษย์พี่ซูไม่กังวลเลยหรือไร?”
ซูอี้เบนสายตาจากท้องนภาแสนไกลสู่หลี่หานเติงเล็กน้อย และกล่าวว่า “เจ้ากำลังพยายามเล่นสนุกกับชีวิตของข้า คนแซ่ซูผู้นี้หรือ?”
หนึ่งประโยคเสียดแทงใจหลี่หานเติง
หลังจากเข้าสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ การมาเผชิญหน้าซูอี้ ณ ยามนี้ทำให้เขาสังเกตเห็นว่าสภาพจิตใจของตนเองได้เปลี่ยนไปแล้ว เขาไม่ได้กลัวอีกฝ่ายเช่นก่อน!
กลับกัน เขากลับมีสภาพจิตใจในเชิงดูถูกระดับขอบเขตของซูอี้ด้วยซ้ำ!
เขาคิดว่าความคิดของตนถูกซ่อนดีแล้ว ทว่าไม่เคยคิดเลยว่ามองปราดเดียว ซูอี้จะเห็นผ่านตัวเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง!
“ข้าไม่ได้เห็นมันเป็นเรื่องเล่นสนุก เพียงคิดว่าหากสหายเต๋าซูไม่เตรียมการไว้ก่อน เมื่อพบหวนเฉ่าโหยวก็อาจเกิดอุบัติเหตุอื่นใดได้”
หลี่หานเติงสงบจิตใจกล่าวว่า “แน่นอน ข้าก็แค่กล่าวเตือนสหายเต๋าซูด้วยปรารถนาดี อย่าได้คิดมากไป”
ซูอี้หัวเราะ พลางกล่าวว่า “ครั้งหนึ่งข้าเคยสังหารลี่เมี่ยวหงจากสำนักเต๋าชิงอี่ของพวกเจ้า ซ้ำยังสังหารผู้ฝึกตนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณอีกสองคน เล่อเฟิงและทิงเฮ่อ เจ้าคือผู้นำศิษย์แห่งสำนักเต๋าชิงอี่ซึ่งก้าวสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณเป็นที่เรียบร้อย ทว่ากลับไม่ได้มาล้างแค้นให้ชนรุ่นก่อน กลับเตือนให้ข้าระวังหวนเฉ่าโหยวอย่างใจดีเสียแทน…”
กล่าวถึงตรงนี้ ซูอี้ก็พูดอย่างเปี่ยมอารมณ์ “ข้าต้องบอกว่าความเมตตาตอบแทนความทุกข์ของเจ้าโดยไม่สนความแค้นเก่าก่อนนั้นช่างทำให้ข้าตื้นตันนัก”
วาจาเหล่านี้เต็มไปด้วยคำประชดประชัน
สีหน้าของเหวินซินจ้าวและเยว่ซือฉานต่างเปลี่ยนเป็นแปลกพิกล
เก๋อเฉียนอดเดาะลิ้นไม่ได้
ส่วนสีหน้าของหลี่หานเติงกลับมัวหมอง ใบหน้าหล่อเหลาบูดบึ้งเล็กน้อย
อู๋ซุ่นและกู่หานชิวยิ่งขัดข้องใจ
“ซูอี้ อย่าสามหาวให้มากนัก!”
อู๋ซุ่นกล่าวเสียงแข็ง “วันนี้หาใช่อดีต เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าด้วยการฝึกฝนแค่วิถีต้นกำเนิด เจ้าจะทำตามแต่ใจเจ้าต้องการได้เช่นเก่า?”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “ในเกาะเซียนพระสุเมรุนี้ ข้าคนแซ่ซูย่อมทำสิ่งใดก็ได้ตามใจต้องการ”
อู๋ซุ่น “…”
กู่หานชิว “…”
มุมปากของหลี่หานเติงกระตุกอย่างอดไม่ได้
เขาไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเหตุใดซูอี้จึงกล้าทำตัวโอหังถึงขั้นนี้!