บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1025: หนีไปซะ!
ตอนที่ 1025: หนีไปซะ!
……….
ตอนที่ 1025: หนีไปซะ!
ภายใต้รัตติกาล
ร่างของซูอี้พลิ้วไสวดุจเส้นแสง ทะลวงผ่านนภากว้างมาปรากฏข้างนอกเขตนครหลวงจิ๋วติ่ง
ยามเห็นนครหลวงจิ๋วติ่งจากไกล ๆ ม่านตาของซูอี้ก็หดตัวอย่างเงียบงัน
ในฐานะนครหลวงแห่งต้าเซี่ย เมื่อนานมาแล้ว เหล่าผู้ฝึกตนในมหาทวีปคังชิงเคยขนานนามที่แห่งนี้ว่า ‘เมืองหลวงแห่งเทพเซียนเดินดิน’ ใจกลางแห่งโลกหล้า รุ่งเรืองจรัสแสง
ทว่ายามนี้ ภายใต้แสงจันทร์สุกสกาว กำแพงเมืองโบราณอันโอ่อ่ากลับพังราบลงกับพื้นราวร่างมังกรที่ผุพัง
อาคารส่วนใหญ่ที่แน่นขนัดทั่วนครเหลือเพียงซากปรักหักพัง
เห็นได้ว่าซากเหล่านั้นมีคราบเลือดแห้งกรังละเลงไปทั่ว ซากศพซุกซ่อนอยู่ในซากอาคาร…
ซูอี้ยืนบนอากาศ ความพังพินาศปรากฏแก่สายตาจากระยะไกล
นี่ยังทำให้ซูอี้รู้สึกหนักอึ้งนัก
มหาสงครามพังทลายนครหลวงจิ๋วติ่งราบเป็นหน้ากลอง!
ซูอี้สาวเท้าไปยังนครหลวงจิ๋วติ่งที่เหลือแต่ซาก
ท่ามกลางราตรีมียอดฝีมือมากมายวนเวียน ราวกำลังหาบางสิ่ง
“โชคร้ายที่เรามาช้าไป ที่แห่งนี้คือหอคอยสมบัติอันดับหนึ่งในนครหลวงจิ๋วติ่ง ที่มีสมบัติมหาศาล ทว่ายามนี้ เหมือนจะมีผู้มากวาดมันไปหมดแล้ว”
บางคนลอบสบถ
“เร็วเข้า หาต่อ ถึงนครหลวงจิ๋วติ่งนี้จะถูกทำลาย แต่ก็ยังมีสมบัติมากมายถูกฝังอยู่ ตลอดมานี้ ไม่รู้มีผู้ใดบ้างที่รวยเละจากที่นี่”
“ซวยชะมัด! ชุดของซากศพนี่ดูดีเหลือเกิน น่าจะเป็นตัวตนในขอบเขตสยายวิญญาณ แต่กลับมีดาบบินหัก ๆ เล่มเดียวติดตัว”
บางคนแบกศพที่ตายมาหลายวันแล้วพลางสบถด่าโชคลาง
…ภาพในลักษณะเดียวกันนี้ปรากฏขึ้นทุกที่ท่ามกลางซากของนครหลวงจิ๋วติ่ง
จากการพังทลายของนครหลวงจิ๋วติ่ง นครหลวงของต้าเซี่ย ผู้ฝึกตนมากมายก็มองที่แห่งนี้เป็นขุมทรัพย์ และกอบโกยผลประโยชน์มากมาย
ซูอี้เมินเรื่องเหล่านี้
เขาสาวเท้าเร็ว ๆ จนไปถึงที่ตั้งของ ‘ชุมชนมังกรเขียว’
ที่นี่ก็กลายเป็นซากปรักหักพังไปเช่นกัน
และเทียบกับที่อื่น ชุมชนมังกรเขียวดูจะถูกโจมตีร้ายแรงกว่า พื้นพิภพเต็มไปด้วยหลุมบ่อ แทบไร้เศษซากอาคารใด ๆ
อกของซูอี้แน่นจนหายใจไม่ออกไปชั่วขณะ
กาลก่อน สวนน้อยนภาเมฆที่เขาเคยอยู่ก็ตั้งอยู่ในชุมชนมังกรเขียว
ในสวนแห่งนี้มีต้นไผ่ ศาลาและบ่อน้ำเล็ก ยามเขาไม่มีสิ่งใดให้ทำ ซูอี้ก็จะนั่งเอ้อระเหยอยู่ข้างบ่อน้ำ ให้อาหารปลาด้วยผีเสื้อจันทรา
ทว่ายามนี้ สวนน้อยนภาเมฆกลับราบเป็นหน้ากลอง ซูอี้ไม่อาจมองเห็นร่องรอยใด ๆ แห่งอดีตอีกต่อไป และซากปรักหักพังก็เต็มไปด้วยความหม่นหมอง
“ทุกท่าน ที่นี่คือสวนน้อยนภาเมฆ! ในอดีตกาล ท่านเทพเซียนซูผู้โด่งดังทั่วโลกหล้าเคยพำนักที่นี่”
ทันใดนั้น เสียงแหบแห้งเสียงหนึ่งก็ดังมาไกล ๆ
กลุ่มผู้ฝึกตนทะยานมา นำมาโดยชายชราร่างผอมในชุดดำผู้หนึ่ง
เมื่อเขาพาคณะมาถึง เขาก็กล่าวด้วยสีหน้าตื่นเต้น “ตลอดมานี้ คนมากมายได้มาสำรวจ ทว่ากลับไม่พบสิ่งใด แต่ข้าไม่เชื่อพวกเขา คืนนี้ ข้าจะขุดพื้นลงไปสามจั้ง ดูซิว่าสวนน้อยแห่งนี้จะยังมีสมบัติใดเหลือหรือไม่?”
“ช่างน่าแปลกที่ท่านเทพเซียนซูไม่ได้ปรากฏตัวยามนครหลวงจิ๋วติ่งประสบภัย ราวกับโลกหล้านี้กำลังจะสลายไป”
“หลังจากนั้น ขุมกำลังโบราณเหลานั้นก็ไม่ได้ปรากฏสู่โลกหล้าอีก ลือกันว่าท่านเทพเซียนซูออกจากมหาทวีปคังชิงไปยังโลกอื่นเพื่อเสาะหาวิถีอันสูงกว่าแล้ว”
“หยุดพล่ามแล้วทำงานเสีย!”
กลุ่มผู้ฝึกตนเริ่มลงมือ โดยใช้สารพัดวิธีขุดคุ้ยซากปรักหักพัง ต่างคนต่างเปี่ยมกำลังวังชา
ซูอี้ยืนเงียบ ๆ มองมาจากในมุมมืด
ไม่นานนัก ซากของสวนน้อยนภาเมฆก็ถูกรื้อเกลี้ยง ขุดลึกลงไปมากกว่าสิบจั้ง
ทว่า นอกจากเศษสิ่งปลูกสร้าง ก็ไร้สมบัติใด ๆ
สิ่งนี้ทำให้ผู้ฝึกตนเหล่านั้นต่างหน้ามืดหมอง
“ที่นี่คือที่พำนักของท่านเทพเซียนซูจริง ๆ หรือ? ไม่มีแม้แต่ขนนกสักเส้น!”
บางคนพึมพำ
“ต้องมีผู้ชิงสมบัติไปก่อนเราแน่แท้!”
บางคนทำหน้าบูดบึ้ง
“แปลกจัง จากข่าวลือ ศึกเมื่อไม่กี่วันก่อน ที่นี่คือศูนย์กลางศึกแท้ ๆ ดังนั้นที่นี่ควรจะมีสมบัติหลงเหลือเยอะที่สุดสิ ทว่าพอมาหากลับไม่เหลือสมบัติใดแม้แต่เศษเสี้ยว!”
บางคนแปลกใจ
“ยิ่งกว่านั้น ที่อื่นก็มีซากศพถูกฝังจมเลือดเต็มไปหมด แต่ในบริเวณสวนน้อยนภาเมฆนี้กลับไร้ศพ กระทั่งคราบเลือดยังไม่มีให้เห็นเลย!”
ผู้ฝึกตนเหล่านี้ยังคงไม่ยากยอมรับและขุดต่อไป ทว่าสุดท้ายก็ยังมิพบสิ่งใด พวกเขาผู้ผิดหวังเศร้าโศกสบถด่าก่อนจากไป
ซูอี้เห็นทุกสิ่งชัดแจ้ง แล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ดูเหมือนว่ามีผู้ใดสักคนมายังสวนน้อยนภาเมฆ ขุดพื้นสามจั้งและนำสมบัติทั้งหมดที่นี่ไปก่อนแล้ว…”
“อีกอย่าง ที่นี่คือใจกลางสงคราม หรือขุมกำลังปริศนาที่มาทำลายนครหลวงจิ๋วติ่งจะหมายปองร้ายเรากัน?”
ซูอี้ครุ่นคิดพลางหันหลังจากไป
ครู่ต่อมา
ตรงหน้าเขาเทียนหมาง
ภูเขาศักดิ์สิทธิ์สูงพันจั้งนี้ เดิมเคยเป็นที่พำนักของราชวงศ์เซี่ย มีราชวังงดงามโอ่อ่ามากมาย เมื่อยืนบนยอดเขานี้ก็จะสามารถมองเห็นทิวทัศน์แทบทั้งหมดของนครหลวงจิ๋วติ่งได้
ทว่ายามนี้ ภูเขาลูกนี้กลับพังทลายเป็นสองเสี่ยง ถล่มลงไร้ชีวิตชีวากับพื้น
เหมือนเช่นซากนครหลวงจิ๋วติ่ง บนซากเขาเทียนหมางก็มีผู้ฝึกตนอยู่แน่นไปหมด พวกเขาเหมือนดั่งฝูงตั๊กแตนที่ควานหาสมบัติไปทั่วทุกซอกมุม
แสงจันทร์สาดลงมาเยี่ยงสายน้ำ ซากปรักหักพังดูวังเวงเยี่ยงประสบภัย
“ราชวงศ์เซี่ยเคยปกครองมหาทวีปคังชิงแล้วกระไร? ไม่ว่าจะทรงพลังเพียงไรก็ถูกลบหายจนเหลือแต่ว่างเปล่าไปในชั่วข้ามคืนอยู่ดี”
บางคนรำพึง
“หยุดพร่ำเพ้อได้แล้ว รีบหาสมบัติเร็วเข้า!”
บางคนกระตุ้นอย่างขุ่นเคือง
ซูอี้ยืนมองจากไกล ๆ และในแววตาลึกล้ำนั้นพลุ่งพล่านไปด้วยเปลวเพลิง
สิ่งที่เขาเห็นมาตลอดทาง ความโกรธและกังวลในใจ ทุกสิ่งล้วนแปรเปลี่ยนเป็นจิตสังหารพลุ่งพล่านในอก
“ไม่ว่าผู้ใดที่ทำเช่นนี้ ต้องชดใช้ด้วยเลือดและชีวิต!”
ซูอี้กล่าวกับตนเอง
เขาดูสงบเงียบขึ้นทุกขณะ
เขากลับมายังมหาทวีปคังชิงครานี้ เมื่อยามหวังได้พบหน้าสหายเก่า ใครเล่าจะคิดว่าเขาจะได้มาเห็นหายนะเสียแทน!
“อาจารย์ ไฉนจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยจึงถูกแขวนกับต้นไม้ล่ะขอรับ?”
“นี่คือการหยามเกียรติจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย และเป็นการลงทัณฑ์อย่างโหดเหี้ยมที่สุด เพื่อให้ทุกคนในโลกหล้าเห็นสภาพน่าเวทนาของจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย และจุดจบอันน่าอดสูของเขาอย่างไรเล่า”
“ชู่ เงียบสิ อยากตายหรือไร!?”
…ในหมู่เสียงสนทนาจากซากภูเขาเทียนหมาง บทสนทนานี้ดึงความสนใจของซูอี้
ร่างของเขาวูบไหวในอากาศ และปรากฏกายในระยะไกลออกไป
มีซากปรักหักพังหนึ่งในช่วงกลางภูเขา เป็นซากอันพังทลายของราชวังแห่งหนึ่ง
มีต้นไม้ไร้ใบหยั่งรากอยู่บนซาก
บนกิ่งล้านเลี่ยนแขวนร่างบุคคลผู้หนึ่ง เชือกรัดผู้รอบสองมือและคอ ห้อยอยู่สูงบนต้นไม้
ใบหน้าของคนผู้นั้นเปรอะด้วยเลือด เส้นผมกระเซิงรุงรัง ร่างเต็มไปด้วยรอยแผล เลือดเนื้อบางส่วนเละเทะ กระดูกหักละเอียด น่าสะเทือนใจยิ่ง
เขาถูกแขวนราวเป็นศพแห้ง นิ่งไม่ไหวติงท่ามกลางแสงจันทร์ราตรี
นาน ๆ ครั้ง เมื่อสายลมพัดผ่าน ร่างของเขาก็จะโยกเอน ดูน่าเวทนาอย่างยิ่ง
เมื่อเขามาเห็นร่างนี้เข้า ซูอี้ก็ตกตะลึงไปราวกับไม่เชื่อสายตาตนเอง
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย!!
ยามนี้ มือขวาของซูอี้กำเข้าหากันอย่างเงียบงัน โทสะในใจถูกจุดขึ้นอย่างสมบูรณ์
สีหน้าของเขาเยือกเย็นลงอีก
“ตลอดมานี้ ชีวิตของจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยสวยงามเพียงไร ไม่เพียงเป็นเจ้าผู้ครองต้าเซี่ย แต่ยังเป็นผู้ทรงอำนาจอันดับหนึ่งในมหาทวีปคังชิงด้วย ทว่ายามนี้… เฮ้อ!”
“นี่คือการลงทัณฑ์หยามเกียรติจากศัตรู ทุกคนในโลกที่ขัดขืนต้องถูกทำโทษ ดูสิว่าจุดจบของจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยอดสูน่าเวทนาเพียงไร!”
“แต่… ไม่มีผู้ใดกล้าช่วยจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยเลยหรือ?”
“ใครจะอยากตายจนกล้าเข้ามายุ่งเรื่องนี้กันเล่า?”
บริเวณใกล้เคียงมีผู้ฝึกตนมากมาย พวกเขาเฝ้ามองขณะพูดคุยกันเสียงเบา บ้างชี้ไปยังจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยผู้ถูกแขวนบนยอดไม้ แต่กลับไร้ผู้ใดกล้าเข้าใกล้เขาเลย
ดูราวกับจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยเปี่ยมด้วยเคราะห์กรรมมากมาย
“หือ”
ทันใดนั้น ใครหลายคนก็สังเกตเห็นว่าจู่ ๆ ชายหนุ่มชุดเขียวผู้หนึ่งก็เดินไปยังต้นไม้ใหญ่นั่น
เขาคือซูอี้
“พ่อหนุ่ม อย่าเลือดร้อนให้โทสะบังตา เรื่องที่นี่ลึกล้ำซับซ้อน ระวังจะถูกฆ่าเอานะ!”
บางคนเอ่ยเตือน
ซูอี้ไม่สนใจ
ภายใต้สายตาของทุกคน มือของเขาขยับ
เป๊าะ!
กิ่งไม้ถูกหัก และทันทีที่ร่างของจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยร่วงลงมาในอ้อมแขนของซูอี้ แล้วมือของซูอี้ก็ออกแรงทำลายเชือกที่มัดร่างของจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยไว้
ภาพนี้ทำให้เกิดเสียงฮือฮาขึ้นทันที
“คนผู้นี้เป็นใครกัน ช่างกล้านัก!”
“นี่… ช่างไร้ค่าจริง ๆ…”
“ในเมื่อขุมกำลังลึกลับกล้าแขวนจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยไว้ที่นี่ ไฉนจึงมิเตรียมระวังผู้มาช่วยชีวิตเขาเล่า?”
ผู้ฝึกตนใกล้เคียงล้วนผละออกจากที่นี่โดยไม่รู้ตัว
ไม่กี่วันก่อน ขุมกำลังปริศนานั้นปรากฏขึ้น ทำลายนครหลวงจิ๋วติ่ง เหยียบย่ำภูเขาเทียนหมาง และแขวนร่างของจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยไว้ที่นี่ในชั่วข้ามคืน
ทว่ายามนี้ ชายหนุ่มผู้หนึ่งได้มาช่วยจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยต่อหน้าต่อตาคนทุกคน!
การกระทำนี้ ในสายตาผู้คนแล้ว ไม่ต่างจากการรนหาที่ตาย
ซูอี้เมินทุกอย่างที่ว่ามา
เขากำลังตรวจสอบบาดแผลของจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย
ร่างของเขาพังทลาย อวัยวะภายในแหลกละเอียด เส้นเลือดปริแตก โลหิตและปราณแทบเหือดหาย กระทั่งวิญญาณยังได้รับบาดเจ็บสาหัส
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยในขณะนี้ นอกจากจะมีพลังชีวิตเหลือเพียงริบหรี่ เขาก็ไม่ต่างจากคนตายเลย
นอกจากนั้น ซูอี้ยังเห็นได้ว่าศัตรูไม่ได้เมตตา ไว้ชีวิตจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยแต่อย่างใด
ในทางกลับกัน เขาจงใจใช้เคล็ดวิชายื้อชีวิตจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยไน้ ทำให้เขาร่อแร่ จะมีชีวิตก็ไม่ ตายก็ไม่เชิง!!
ยามนี้ สภาพจิตใจอันแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้าของซูอี้สั่นไหวเล็กน้อย จิตสังหารและโทสะอัดแน่นในอก มิอาจสะกดกลั้นได้อีก
ยามนี้ ร่างของจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยสั่นเล็กน้อย เขาลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก
เมื่อเขาค่อย ๆ เห็นซูอี้ ดวงตาของเขาพลันเบิกกว้าง
ทันใดนั้น เขาดูจะเค้นพลังทั้งหมดของเขาหลายครั้ง ก่อนจะอ้าปากอันไร้สีเลือดของเขา กล่าวด้วยเสียงอันสั่นเครือว่า
“เร็วเข้า… หนีไปซะ!”
เสียงนั้นแหบแห้งอ่อนแรง เปี่ยมด้วยความกระวนกระวาย
……….