บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1024: ขออภัย ปม และข่าวร้าย
ตอนที่ 1024: ขออภัย ปม และข่าวร้าย
……….
ตอนที่ 1024: ขออภัย ปม และข่าวร้าย
ณ ต้าโจว เขตปกครองอวิ๋นเหอ เมืองกว่างหลิง
สวนด้านหลังสำนักแพทย์ซิ่งหวง
ในยามพลบค่ำกลางวสันตฤดู กิ่งก้านของต้นพืชในสวนล้วนเขียวชอุ่ม
สตรีผู้หนึ่งในชุดกระโปรงเรียบ ๆ กำลังฝึกฝนวิชาดาบอยู่ในสวน ประกายดาบสะท้อนรับแสงอัสดงที่กำลังเลือนลับ
สตรีผู้นี้ฝึกฝนดาบซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับไม่รู้จักเหนื่อย
จนกระทั่งเมื่อกายล้าเต็มทน นางจึงหยุดเคลื่อนไหวและนั่งลงใต้ต้นไม้ใหญ่โบราณ
“ไม่รู้ว่าน้องสาวข้า จวบจนยามนี้เป็นเช่นไรบ้าง นางเคยส่งจดหมายมาทุกครึ่งเดือน แต่ยามนี้สายไปสี่วันแล้ว”
สตรีผู้นั้นกระซิบกับตนเอง ราวกับกำลังพูดคุยกับพฤกษาใหญ่
“แต่น้องสาวข้าอยู่ในนครหลวงจิ๋วติ่ง เมืองหลวงแห่งต้าเซี่ย และยังมียอดฝีมือมากมายดูแลนางอยู่ คงมิตกอยู่ในอันตรายหรอกกระมัง”
“โลกนี้ร้ายกาจขึ้นทุกขณะ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าหายนะจะก่อเกิดยามใด แต่ไม่ว่าเช่นไร ข้าก็จะดูแลพ่อแม่และคนในตระกูลข้าเป็นอย่างดี”
“เฮ้อ คงดีไม่น้อยหากจะหาผู้ใดคุยด้วย…”
สตรีผู้นั้นกล่าวขึ้นด้วยอารมณ์หดหู่เล็กน้อย แววตาเศร้าหมอง
นามของนางคือเหวินหลิงเจา
ครั้งหนึ่ง นางเคยเป็นบุคคลอันดับหนึ่งในหมู่คนรุ่นเยาว์แห่งเมืองกว่างหลิง นางมีความสามารถเลิศล้ำ และยังเคยเข้าฝึกฝนในตำหนักเทียนหยวน ซึ่งเป็นสำนักใหญ่แห่งเมืองกว่างหลิงอีกด้วย
ทว่าทั้งหมดนี้คือกาลก่อน
ทุกวันนี้ นางอาศัยในเมืองกว่างหลิง ดูแลบิดามารดาและคนในตระกูลขณะที่ฝึกฝนอย่างหนัก
ทว่านาน ๆ ครั้ง มันก็เคว้งคว้างจนน่าผิดหวัง
เพราะถึงอย่างไร เมืองกว่างหลิงก็เป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ อันห่างไกลในต้าโจว
กระทั่งยามแสงสว่างแห่งโลกกว้างปรากฏ มันก็ยังไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเมืองกว่างหลิงมากนัก
ที่นี่มีทรัพยากรในการฝึกฝนไม่มากนัก และไร้อาจารย์สอนสั่งวิชาร้ายกาจ
ทุกสิ่งล้วนขึ้นกับตน
หากเป็นเพียงเช่นนั้นก็แล้วไป
สิ่งที่ทำให้เหวินหลิงเจาผิดหวังหดหู่อย่างแท้จริงก็คือ นางในยามนี้ไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งเหนือนภาอีกต่อไป แต่กลายเป็นตัวตลกประจำเมืองกว่างหลิง
เหตุผลนั้นเป็นเพราะชายผู้หนึ่ง
ชายผู้นั้น ครั้งหนึ่งเคยเป็นศิษย์ผู้ถูกทอดทิ้งของสำนักดาบชิงเหอ คนไร้ค่าผู้ไม่อาจฝึกฝน ลูกเขยซึ่งถูกทุกคนในเมืองกว่างหลิงเยาะเย้ย และเขาก็คือคู่หมั้นของนาง
ทว่ากาลเวลาแปรเปลี่ยน คนผู้นั้นได้กลายเป็นตำนานแห่งมหาทวีปคังชิงแสนนานแล้ว
แม้ชายผู้นั้นจะหายตัวไปจากโลกหล้าปีกว่า แต่สารพัดตำนานเกี่ยวกับเขาก็ยังคงวนเวียนอยู่ในมหาทวีปคังชิง
โดยเฉพาะในโลกผู้ฝึกตนในต้าโจว ชายผู้นั้นถูกมองว่าเป็นตัวตนเสมือนเทพ!
ยิ่งชายผู้นั้นเจิดจรัส นางก็ยิ่งดูมืดหมอง
เหตุเป็นเพราะกาลก่อน นางปฏิเสธการแต่งงานกับเขาทุกวิถีทาง!
จวบจนยามนี้ ในเมืองกว่างหลิงแห่งนี้ ทุกคนล้วนเยาะเย้ยถากถางนางว่าตาบอด
เหวินหลิงเจาเองก็เศร้าใจด้วยเหตุนี้เช่นกัน
ทว่ายามนี้ นางชาชินทนได้แล้ว
ผู้คนบนโลกล้วนไม่รู้ความ เมื่อคิดย้อนกลับไป ไม่ใช่ว่าชายผู้นั้นก็ถูกพวกเขาถากถางมองข้ามเช่นกันหรือ?
“ยามนี้ ข้าตระหนักแล้วว่าสถานการณ์ที่เขาประสบยามเข้าร่วมตระกูลเหวินของข้าในกาลก่อน น่าอับอายอัปยศเพียงไร หากไม่โดนกับตัวก็ไม่อาจเห็นใจได้อย่างแท้จริง”
เหวินหลิงเจาวางมือลงบนเข่า สายตามองอาทิตย์อัสดงพลางกล่าวเบา ๆ “กาลก่อน ข้าสะเทือนใจมากและหลบเขาตลอด เลี่ยงทุกสิ่งที่เกี่ยวกับเขา ทว่ายามนี้… หากมีโอกาสใด ข้าจะขออภัยเขาอย่างจริงจัง ถึงไม่ได้ทำให้เขาเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับข้า แต่เป็นการวอนขอ… เพื่อให้ข้าสบายใจได้อย่างแท้จริง…”
แซ่ก~
ทันใดนั้น กิ่งก้านบนต้นไม้เก่าแก่พลันสะท้านเสียดสี ดูยินดีตื่นเต้น
ทว่าก็ไม่อาจมองเห็นสิ่งใด
“ผู้เฒ่าพฤกษา ท่านเข้าใจความคิดข้าหรือ?”
เหวินหลิงเจาหัวเราะ พลางลูบไปบนกิ่งไม้เบา ๆ
จากนั้น นางก็ลุกขึ้นและเตรียมฝึกดาบต่อ
ทันใดนั้น กิ่งไม้เขียวกิ่งหนึ่งก็ร่วงลงตรงหน้านาง โดยมีข้อความบรรทัดหนึ่งสลักอยู่บนใบไม้ใบหนึ่ง
‘ท่านเทพเซียนกล่าวว่า เขารู้แล้ว’
ดวงตาของเหวินหลิงเจาเบิกกว้าง ร่างอรชรสั่นสะท้านเล็กน้อย
หรือเมื่อครู่… ชายผู้นั้นจะปรากฏขึ้น?
เนิ่นนานจากนั้น เหวินหลิงเจาก็สูดหายใจลึก ๆ สงบใจตน มองไปรอบ ๆ ใบหน้างดงามอันผอมซูบเล็กน้อยของนางปรากฏเค้าความขอบคุณ และกล่าวเบา ๆ ว่า “ขอบคุณ”
เมฆาเรียงดุจเกลียวคลื่น ตะวันอัสดงห่างไกลแผดแสงเจิดจ้าดุจเปลวเพลิง
เหวินหลิงเจาพลันรู้สึกเหมือนปมหนึ่งในใจตนแตกสลายลง หัวใจเป็นสุขอย่างไม่อาจบรรยาย ทำให้เกิดรอยยิ้มโล่งใจขึ้นบนใบหน้า
…
อาภรณ์ของซูอี้พลิ้วไสวยามเดินจากท่ามกลางแสงอัสดง
เขาไม่เคยคิดเกลียดเหวินหลิงเจา
ไม่ใช่เพราะเขาใจกว้าง แต่เป็นเพราะเขาไม่สนใจเรื่องเล็กน้อยนี้เลย
เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลยนับแต่ถอนหมั้นหมายกับเหวินหลิงเจา
แต่เขาเพิ่งมารู้ยามกลับสู่ต้าโจวและเดินเล่นรอบเมืองกว่างหลิงครั้งนี้เอง ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในกาลก่อนได้กลายเป็นปมในใจเหวินหลิงเจาไปเสียแล้ว
สิ่งนี้ทำให้ซูอี้สะเทือนใจเอาการ
สถานการณ์ของคนเราแตกต่าง พวกเขามักเปลี่ยนมุมมองอยู่เสมอ และอารมณ์เองก็เปลี่ยนได้เงียบ ๆ
จากมุมมองนี้ เหวินหลิงเจาไม่ใช่คนไม่ดีแต่อย่างใด
โชคร้าย แม้ว่าทั้งคู่จะมีสัญญาสมรส ทว่าชะตาถูกกำหนดไม่ให้เกี่ยวพันใด ๆ
ครึ่งวันต่อมา
ซูอี้มาถึงนครหลวงอวี้จิง เมืองหลวงแห่งอาณาจักรต้าโจว
เขาเหลือบมองโจวจือหลีผู้กำลังง่วนกับเรื่องในตระกูลจากไกล ๆ ก่อนจะจากไปอย่างเงียบงัน
มิตรเก่ายังอยู่ก็เพียงพอแล้ว
ซูอี้ไม่ได้โอ้เอ้อีกต่อไป และทะยานไปยังอาณาจักรต้าเซี่ยด้วยความเร็วสูง
แม้เขาจะห่างหายไปมากกว่าปี แต่ซูอี้ก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ามหาทวีปคังชิงยามนี้แปรเปลี่ยนทวีคูณ
ยามแรก มหาทวีปคังชิงนั้นถูกปกคลุมด้วยการจองจำแห่งยุคมืด จึงยากจะได้เห็นผู้ฝึกตนท่ามกลางโลกแห่งสามัญชนกระจัดกระจายไปยังทั่วหล้า
ทว่ายามนี้ ขณะซูอี้ออกเดินทาง เขาก็เห็นผู้ฝึกตนทั่วไปหมด!
ทั่วป่าเขามีสัตว์ปีศาจอาละวาดมากมาย วิหคอัปมงคลครองน่านฟ้า
ทว่า เป็นไปตามซูอี้คาดเดาเอาไว้ มหาทวีปคังชิง ณ ขณะนี้ไม่อาจรับพลังแห่งขอบเขตจักรพรรดิได้
และยังหมายความเช่นกันว่าการเกิดของจักรพรรดิ ณ ปัจจุบันก็ยังทำไม่ได้
วันถัดมา
ซูอี้ก็มาถึงอาณาจักรต้าเซี่ย
จากนั้นเขาก็ทะยานไปทางนครหลวงจิ๋วติ่งโดยไม่รอช้า
ยามเขาจากไป เขาเคยหาที่อยู่ให้เหวินหลิงเสวี่ย ฉาจิ่น ชิงหว่านและสหายคนอื่น ๆ ในนครหลวงจิ๋วติ่ง นอกจากจะได้รับอารักขาจากจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยแล้ว ยังมีจิตวิญญาณต้นกำเนิด ‘อาคัง’ ผู้ก่อเกิดจากที่มาแห่งคังชิงลอบปกป้องพวกเขาอยู่ด้วย
ยามนี้ ทันทีที่เขามาถึงนครหลวงจิ๋วติ่ง ซูอี้ก็ยิ่งรอคอยจะได้พบ
เส้นทางฝึกฝนไร้ปรานี ผู้คนยากสัมพันธ์
นับแต่เวียนวัฏสงสารมาฝึกฝนใหม่ มีผู้คนเพียงหยิบมือในมหาทวีปคังชิงที่เขาใส่ใจ
ขณะผ่านขุนเขานอกเมือง จู่ ๆ เสียงพูดคุยของผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่งก็ดึงความสนใจของซูอี้ไป
เขาชะลอความเร็วลงมาฟังเงียบ ๆ ทันที
“ช่างน่าเวทนา ใครเล่าจะเดาได้ว่าราชวงศ์เซี่ยผู้เป็นดุจเทพสวรรค์จะถูกทำลายแทบสิ้นซากในชั่วข้ามคืน?”
“ว่ากันว่าเก้าหม้อหลอมพิทักษ์นครหลวงจิ๋วติ่งถูกปล้นชิงไปหมดเลย!”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ใดทำ?”
“สงสัยกันว่าเป็นขุมกำลังจากต่างโลกที่ลงมือ ว่ากันว่ามียอดฝีมือในขอบเขตจักรพรรดิโผล่มาที่เขาเทียนหมางในคืนนั้นด้วยนะ”
“ขอบเขตจักรพรรดิหรือ!?”
“ใช่ หากไม่ใช่ตัวตนดุจเทพเช่นนั้น จะทำลายค่ายกลของนครหลวงจิ๋วติ่งและทำลายภูเขาเทียนหมางได้เช่นไร?”
“สวรรค์!!”
…เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูอี้ก็รู้สึกราวถูกถังน้ำแข็งสาดใส่ ความกระตือรือร้นในใจหายวับ
“สหายเต๋า เล่าเรื่องนี้โดยละเอียดได้หรือไม่?”
ซูอี้โพล่งถามกลุ่มผู้ฝึกตนเหล่านั้นขณะร่อนตัวลงมายังพื้น
ผู้ฝึกตนกลุ่มนั้นต่างสะดุ้งโหยง
ทว่า เมื่อพวกเขาสังเกตเห็นปราณของตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณแผ่ออกมาจากร่างของซูอี้ หัวใจของพวกเขาต่างตะลึงและแสดงความเกรงขาม
แม้แสงสว่างแห่งโลกกว้างจะเกิดขึ้นมาสองปีกว่าแล้ว แต่มหาทวีปคังชิงทุกวันนี้ ขอบเขตวงล้อวิญญาณก็ยังนับเป็นคนใหญ่คนโตบนจุดสูงสุดอยู่ดี
ชายวัยกลางคนชุดเทาไม่กล้าละเลย เขาเผยทุกข้อมูลที่รับรู้มาในทันที
ที่แท้ เมื่อคืนของห้าวันก่อน หายนะก็ปรากฏสู่นครหลวงจิ๋วติ่ง
คืนนั้นขุมกำลังผู้ฝึกตนลึกลับได้ปรากฏกายขึ้น พวกเขาทำลายค่ายกลของนครหลวงจิ๋วติ่ง และเข้าสู่เขาเทียนหมาง พลางสังหารเข่นฆ่าผู้คน หมอกควันทำลายล้างคุกรุ่น
เช้าตรู่รุ่งขึ้น ผู้คนก็พบว่าราชวงศ์ต้าเซี่ยซึ่งดูราวเจ้าสวรรค์ในโลกหล้าทุกวันนี้พังทลายลงโดยสมบูรณ์ กระทั่งเขาเทียนหมางซึ่งเป็นถิ่นอาศัยของพวกเขายังถูกผ่าเป็นสองเสี้ยว ทลายลงกับพื้น!
กล่าวกันว่ามียอดฝีมือในขอบเขตจักรพรรดิปรากฏขึ้นในศึกนี้ และราชวงศ์เซี่ยก็ดับดิ้นในพริบตา!
ทันทีที่เรื่องนี้ถูกเผย ทั่วต้าเซี่ยก็เกิดการจลาจลอันสะเทือนไปทั่วขุมกำลังผู้ฝึกตนมากมาย
เพราะอำนาจในมือราชวงศ์เซี่ยแทบสื่อถึงพลังสูงสุดในโลกหล้าทุกวันนี้ ใครเล่าจะคิดได้ว่ามหาอำนาจเช่นนี้จะพังทลายลงชั่วข้ามคืน?
สิ่งที่ยิ่งกวนใจคือ นับแต่ต้นจนจบ ไม่มีผู้ใดทราบเลยว่าขุมกำลังลึกลับนี้เป็นผู้ใดมาจากที่ใด
เมื่อรู้ข่าวนี้ ซูอี้ก็ขมวดคิ้วแน่น ดวงตายากหยั่งถึง
เขาพลันจำเรื่องหนึ่งขึ้นได้
ยามเขามาถึงเมืองกว่างหลิงในต้าโจมเมื่อวานนี้ เหวินหลิงเจาเคยพึมพำกับตนเองว่า
“ไม่รู้ว่าน้องสาวข้า จวบจนยามนี้เป็นเช่นไรบ้าง นางเคยส่งจดหมายมาทุกครึ่งเดือน แต่ยามนี้สายไปสี่วันแล้ว”
เมื่อคิดเช่นนี้ หัวใจของซูอี้ก็ดิ่งวูบ
น้องสาวของเหวินหลิงเจาย่อมเป็นเหวินหลิงเสวี่ย!
จากวาจาของเหวินหลิงเจา เหวินหลิงเสวี่ยจะส่งจดหมายมาให้นางทุกครึ่งเดือน ทว่ายามนี้กลับสายไปสี่วัน!
และวันนี้ ไม่นานหลังมาถึงต้าเซี่ย เขาก็มาได้ยินข่าวร้ายเช่นนี้
นี่หมายความว่าหายนะที่เกิดขึ้นกับราชวงศ์ต้าเซี่ยอาจแผ่ลามไปถึงเหวินหลิงเสวี่ย ฉาจิ่น ชิงหว่านและคนอื่น ๆ ด้วย!!
เมื่อคิดเช่นนี้ แววตาของซูอี้ก็แผ่จิตสังหารอันรุนแรงออกมา
ใครกันที่ทำเช่นนั้น?
ตามที่เขาได้ฟังเมื่อครู่ ยอดฝีมือขอบเขตจักรพรรดิที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน… หรือขุมกำลังผู้ฝึกตนลึกลับนั้นจะมาจากภูมิอื่น?
เขาต้องไปยังนครหลวงจิ๋วติ่งโดยเร็วที่สุด!
เมื่อคิดเช่นนี้ ซูอี้ก็ไม่อาจยั้งใจได้อีก จากนั้นร่างของเขาก็หายลับนภากว้างไปในพริบตา
กลุ่มผู้ฝึกตนตัวสั่นสะท้านยามได้เห็นภาพนี้
“เป็นจิตสังหารที่น่ากลัวยิ่งนัก!”
บางคนตัวสั่นงันงกราวตกสู่ถ้ำน้ำแข็ง จิตสังหารที่ซูอี้เผยโดยไม่ต้องใจเมื่อครู่แทบทำเขาร่างแข็งทื่อ
“คนผู้นี้เป็นใครกัน? ไฉนจึงรู้สึกคุ้น ๆ?”
บางคนแปลกใจ
“อายุน้อย สวมชุดเขียว และยังมีการฝึกฝนในขอบเขตวงล้อวิญญาณ หรือว่า…”
บางผู้พึมพำกับตนเอง และทันใดนั้นก็เหมือนตระหนักบางสิ่งได้ จึงอุทานขึ้นทันที “เขาคือท่านเทพเซียนซู!?”
……….