บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1022: คนดีกลับไปแล้ว
ตอนที่ 1022: คนดีกลับไปแล้ว
……….
ตอนที่ 1022: คนดีกลับไปแล้ว
วันเวลาผันผ่าน เพียงแค่ดีดนิ้วก็ผ่านไปแล้วสามเดือน
ณ ยอดเขาแท่นบัวแห่งเมืองเทียนหยา
ยามราตรี
ภายในหอไม้ไผ่ที่ปกคลุมไปด้วยกลต้องห้าม
แสงเทียนเล็ดลอดออกมาจากลายฉลุบนหน้าต่าง อบอุ่นอ่อนละมุน
“พี่ซู ระยะนี้พวกเรา… หมกมุ่นเกินไปหรือไม่?”
“หมกมุ่นเช่นนั้นหรือ? เช่นนี้เรียกว่าขยันฝึกฝน ต้องเข้าใจว่าการฝึกฝนสำเร็จได้เพราะขยัน ไม่จริงจังจะเสียงานได้”
บนเตียงภายในห้องนอน ผมยาวสลวยของเย่อวี๋ปล่อยสยาย ดวงตางดงามประดุจภาพวาด ใบหน้าคมคายสวยแฉล้มเปล่งประกายแห่งเสน่ห์
ดวงตาของนางใสประดุจหยดน้ำ แฝงด้วยความเขินอาย
ในสายตาคนภูมิมืดมิด ในฐานะที่เป็นจักรพรรดิวิญญาณหยาดสวรรค์แห่งเผ่าปีศาจงู เย่อวี๋จึงเป็นคนที่เข้าหาได้ยาก นางจะอยู่แต่ในบ้าน ราวกับเทพนางฟ้าบนสวรรค์ คนทั้งหลายได้แต่ชะเง้อคอมองด้วยความยำเกรง ไม่มีความคิดจาบจ้วงเลยแม้แต่น้อย
ทว่านางในเวลานี้ ไม่เหมือนช่วงเวลาปกติเลยสักนิด
“มีแต่การฝึกบำเพ็ญคู่กับคนที่มีจิตใจให้กันเท่านั้น จิตวิญญาณของทั้งสองจึงจะประสาน พลังหลอมรวม จึงสามารถปีนป่ายถึงยอดเมฆาลอยละล่องประดุจขึ้นสู่สรวงสวรรค์ได้ในช่วงสุดท้าย”
ซูอี้นอนเอนกายอยู่บนเตียงด้วยความสบายตัว ดวงตาของเขาใสสว่าง มองไม่เห็นความเหนื่อยล้า
ในช่วงเวลาสามเดือนมานี้ เขาขลุกอยู่กับเย่อวี๋แทบจะตลอดเวลา ไม่สนใจสิ่งอื่น อยู่อย่างสุขกายสบายใจ
แน่นอนว่า เขาไม่เคยละทิ้งการฝึกตน
อีกด้านหนึ่ง เย่อวี๋ผู้มีรูปโฉมดังสาวน้อย นอนเอนกายอยู่ตรงนั้น ขาเรียวยาวขดงอ ผ้าห่มผืนบางคลุมเรือนร่าง ผมยาวสีดำขลับกระเซอะกระเซิง ใบหน้าแดงระเรื่อ
สายตาของนางที่มองดูชายหนุ่มข้างกายนั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและหวานหยดย้อย
“พี่ซู มีผู้ใดเขาเอาแต่ร่วมรักจนไร้ขอบเขตอย่างพี่กัน”
เย่อวี๋บ่นพึมพำเบา ๆ ด้วยความตัดพ้อ
ซูอี้หัวเราะขึ้นมา ก่อนจะโอบไหล่น้อย ๆ ของหญิงสาว ลูบไล้ใบหน้าของสาวน้อยเบา ๆ พลางกล่าวขึ้นมา “นี่ไม่ใช่การทำเพื่อตัวเอง แต่เราทั้งสองฝึกฝนมหาวิถีร่วมกัน ฝึกตนร่วมกัน เป็นการฝึกมหาวิถีอย่างจริงจัง จะบอกว่าข้าเอาแต่ได้ได้เช่นใด?”
ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ระดับฝึกตนของเขาบรรลุถึงขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นกลางแล้ว!
นอกจากนี้ เขายังนำเอา ‘แก่นแท้เอกกะ’ ที่สำเร็จมาฝึกฝนจนกลายเป็นกฎเกณฑ์วิถีลึกล้ำแล้ว
แม้กระทั่งการรู้แจ้งต่อกฎแห่งจุดจบก็พัฒนาก้าวหน้าไปอีกขั้นด้วยเช่นกัน เขาจึงเริ่มเข้าใจมันได้ราง ๆ แล้ว
ต้องยอมรับว่ากฎแห่งจุดจบนั้นเข้าใจยากเสียเหลือเกิน กระทั่งซูอี้ผู้ได้รับสมญาว่าเป็น ‘ปรมาจารย์หมื่นวิถี’ ก็ยังรู้สึกว่าการจะรู้แจ้งในกฎนี้ยากลำบากเหลือแสน
และจนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่อาจบรรลุจนครบถ้วนสมบูรณ์พร้อม!
ทว่ามันก็ยังมีความก้าวหน้า เช่นนี้ซูอี้ก็พึงพอใจมากแล้ว
นอกเหนือจากการฝึกตน ซูอี้เคยออกไปข้างนอกสองครั้ง
ครั้งหนึ่ง เขาเดินทางไปเมืองตาข่ายม่วง ได้ดื่มกับชุยหลงเซี่ยงและชุยฉางอันจนเมามาย ก่อนจะกลับ ยังนำดาบเงากระจ่างที่เป็นหมุดยึดซากโบราณกองตัดสินกลับมาด้วย
ด้วยระดับวิถีของเขาในตอนนี้ ถึงแม้จะสามารถใช้อานุภาพของดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์ได้ ทว่าต้องสูญเสียกำลังในตัวไปมาก
ในทางกลับกัน ดาบเงากระจ่างเหมาะกับขอบเขตพลังของเขาในตอนนี้ที่สุด
พูดให้กระจ่างคือ ดาบวิถีไม่ได้ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ แต่ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมกับระดับวิถีในตัว
ดาบคู่ใจที่เหมาะสม ไม่เพียงแต่สามารถผ่อนแรงกำลังได้เท่านั้น ทว่ายังสามารถสำแดงระดับวิถีในตัวเองได้อย่างเต็มที่ด้วย
ยามนี้ ดาบนิลกาฬบริสุทธิ์ได้รับความเสียหายอย่างหนัก จึงไม่อาจนำมาใช้งานได้อีก
แต่ซูอี้ก็ไม่ได้ทิ้งมันไป แต่นำกลับมาซ่อมแซม และเก็บรักษาไว้เป็นของที่ระลึก เพื่อจดจำหนทางวิถีที่เคยผ่านมา
ครั้งที่สอง เขาเดินทางไปยังมหาภูผา เพื่อไปเอา ‘ร่มแคล้วคลาด’ ที่เก็บไว้กับหงส์เพลิงเล่มนั้นกลับคืนมา
แม้ว่าเดิมทีซูอี้ตั้งใจจะให้หงส์เพลิงมาฝึกตนอยู่ข้างกาย ทว่าหงส์ผู้ทะนงตนนี้กลับปฏิเสธ
ซูอี้จึงคร้านจะหว่านล้อมอีก
ส่วนร่มแคล้วคลาดคันนั้น ซูอี้ได้มอบให้แก่เย่อวี๋
“วันพรุ่งนี้ข้าต้องไปแล้ว”
จู่ ๆ ซูอี้ก็เอ่ยพูดขึ้น
เย่อวี๋นิ่งเงียบไปชั่วครู่ เห็นได้ชัดว่าไม่ทันได้ตั้งตัว นางจึงยังคงนิ่งตะลึงอยู่ตรงนั้น
สักพักใหญ่ ๆ ขนตางอนงามของนางสั่นระริก ขณะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา “พี่… ต้องกลับมหาแดนดินแล้วเช่นนั้นหรือ? ข้าคาดการณ์ไว้แล้วว่าต้องมีวันนี้ เพียงแต่ไม่คิดว่ามันจะเร็วถึงเพียงนี้”
ซูอี้ส่ายหน้าน้อย ๆ พลางกล่าว “ข้าต้องกลับไปมหาทวีปคังชิงก่อน จากนั้นจึงค่อยเดินทางกลับไปยังมหาแดนดิน”
เย่อวี๋นิ่งอึ้งไปเพราะความคาดไม่ถึง ความหม่นหมองในหัวใจลดน้อยลงไปไม่น้อยด้วยเช่นกัน “เหตุใดจึงต้องไปมหาทวีปคังชิงด้วย?”
“ไปพบสหายบางคนในชาตินี้ เพื่อจัดการกับเรื่องอื่น ๆ ที่ตามมาให้เรียบร้อย”
ซูอี้ตอบเสียงเบาราวกับเสียงกระซิบ
เขารับปากกับสหายเหล่านั้นเอาไว้ตอนที่มายังภูมิมืดมิด จึงไม่อาจผิดคำพูดได้
“ถ้าเช่นนั้น… ให้ข้าไปกับพี่ด้วยได้หรือไม่?”
เย่อวี๋กล่าวขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ดวงตากระจ่างใสราวกับน้ำเต็มไปด้วยความหวัง
“คนมีใจให้กัน ใช่ว่าต้องอยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืน”
ซูอี้กล่าวอ่อนโยน “วันข้างหน้ายังมีเวลาได้อยู่ด้วยกันอีกมาก”
สายตาของเย่อวี๋หม่นหมองลงด้วยความผิดหวัง
สักครู่ใหญ่ ๆ จู่ ๆ นางก็กัดหัวไหล่ของซูอี้อย่างแรง
ซูอี้เจ็บจนสูดปากร้องซี้ด
เหตุใดอยู่ดี ๆ จึงกัดขึ้นมา!?
ไม่เข็ดเสียแล้ว!
ซูอี้พลิกตัวโถมเข้าใส่
รุ่งเช้าวันถัดมา
เมื่อเย่อวี๋ตื่นขึ้นจากฝันหวาน นางก็หันไปมองยังข้างกายโดยสัญชาตญาณ ทว่ากลับพบว่าข้างหมอนนั้นมีแต่ความว่างเปล่า
นางนิ่งตะลึง ฉับพลันนึกอะไรขึ้นได้จึงลุกพรวดพราดขึ้นนั่ง
จากนั้นจึงเห็นแผ่นหยกชิ้นหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งข้างเตียง
นางลุกพรวดลงจากเตียง ไม่สนใจว่าจะแต่งตัวเรียบร้อยหรือไม่ ขณะเดินเท้าเปล่าไปหยิบแผ่นหยกชิ้นนั้น ปลายนิ้วสั่นระริก
‘เย่น้อย เมื่อข้ายุติบุญคุณความแค้นในมหาแดนดินแล้ว จะกลับมารับเจ้าไปอยู่ด้วยกัน’
ประโยคสั้น ๆ เพียงประโยคเดียว ไม่มีคำพร่ำเพรื่อใด ๆ มากนัก ก็เหมือนกับนิสัยของซูอี้ ไม่เคยลังเล หรือพิรี้พิไรเวลาที่จะจากกันไป
หญิงสาวนิ่งตะลึง
ผมของนางยุ่งเหยิง ผิวขาวยิ่งกว่าหิมะ สวมเพียงชุดชั้นในเท่านั้น เรือนร่างอวบอัดสะท้อนลงบนคันฉ่องทองเหลืองบนโต๊ะเครื่องแป้ง
สักพักใหญ่ ๆ เย่อวี๋ก็หยิบหยกชิ้นนั้นขึ้นมาแนบอก พลางพึมพำเบา ๆ “ซูเสวียนจวิน ข้าจะรอเจ้าไปตลอด”
คำพูดประโยคนี้ นางเคยพูดไว้ในครั้งนั้น
เพียงแต่ว่า ตอนนั้นนางกลัดกลุ้มเศร้าใจ น้ำตาไหลพราก
เพราะว่าในครั้งนั้น ซูอี้ไม่ได้กลับมารับนาง
ทว่าตอนนี้ ถึงแม้ในใจเย่อวี๋ตอนนี้จะกลัดกลุ้ม ทว่ายังคงมีความหวัง
…
หนึ่งวันให้หลัง
ซูอี้มาถึงเมืองตาข่ายม่วงของตระกูลชุย
“ขอเพียงเจ้าพูดมาแค่ประโยคเดียว เมื่อเจ้ากลับไปยังมหาแดนดินแล้ว ข้าจะรีบเดินทางไปช่วยเจ้ากำราบศัตรูในทันที”
ในห้องโถงแห่งหนึ่ง ชุยหลงเซี่ยงให้สัตย์ปฏิญาณด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง
ซูอี้หัวเราะขึ้นมา “เจ้ามันจิ้งจอกเฒ่า ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าข้าไม่ให้เจ้าช่วย ยังจะมาพูดเช่นนี้อีก เสแสร้งเสียจริง ๆ”
ชุยหลงเซี่ยงอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ “ผู้รู้ใจข้าก็มีแต่เจ้า สัตว์ประหลาดเฒ่าซู!”
อีกด้านหนึ่ง ชุยฉางอันหัวเราะร่าพลางกล่าว “ท่านลุงซู หลานเตรียมของฝากแห่งภูมิมืดมิดกับสุราดีที่หมักมานานไว้จำนวนหนึ่ง ท่านยังต้องการอะไรเพิ่มเติมอีกหรือไม่?”
ถึงแม้เขาจะเป็นผู้นำตระกูล ทว่าเวลาอยู่ต่อหน้าซูอี้ ชุยฉางอันก็ยังคงแสดงความเคารพยำเกรง แม้เมื่อรู้ว่าซูอี้จะจากไปแล้ว เขาก็ยังตัดใจไม่ได้
ซูอี้เอ่ยขึ้นมา “ไม่อย่างนั้น… ให้ผอซัวเดินทางไปกับข้าได้หรือไม่?”
“ไม่ได้!”
ชุยหลงเซี่ยงกับชุยฉางอัน พ่อลูกคู่นี้ส่งเสียงร้องพร้อมกัน พวกเขานั่งไม่ติดที่อีก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งชุยหลงเซี่ยง เขารู้มาตั้งนานแล้วว่า ซูอี้หมายปอง ‘ใต้เท้าผอซัว’ จิตโดยกำเนิดของพฤกษาหมื่นวิถีแห่งตระกูลชุยของพวกเขา
พอเห็นว่าซูอี้พูดเช่นนี้ออกมาอีก พวกเขาจึงสั่นสะท้านขึ้นมาทั้งตัว
หากว่าพฤกษาหมื่นวิถีไม่มีใต้เท้าผอซัวปกปักรักษา ยังจะเรียกว่าพฤกษาหมื่นวิถีได้อีกหรือ?
“สัตว์ประหลาดเฒ่าซู เรื่องอื่น ๆ เจ้าสามารถขอได้ มีแต่ใต้เท้าผอซัวเท่านั้นที่เจ้าอย่าคาดหวัง!”
ชุยหลงเซี่ยงพูดเตือนพร้อมตั้งท่าเตรียมตัว
ซูอี้หัวเราะขึ้นมา “ตื่นเต้นอะไรไป ข้าเพียงแค่พูดขึ้นมาเฉย ๆ เท่านั้น”
พูดจบ เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ “ไปพบผอซัวกันเถอะ”
ชุยหลงเซี่ยงกล่าวด้วยความร้อนใจ “เจ้าพูดขึ้นมาเฉย ๆ ไม่ใช่หรือ เหตุใดต้องพบใต้เท้าผอซัวด้วย?”
“เข้าจะกลับไปยังมหาทวีปคังชิง หากไม่ให้ผอซัวช่วย แล้วข้าจะกลับไปได้อย่างไร?”
ซูอี้กล่าวอย่างไม่พอใจ
ครั้งนั้น เป็นเพราะชุยหลงเซี่ยงใช้พลังของพฤกษาหมื่นวิถี ส่งเสวียนหนิงไปยังมหาทวีปคังชิง
ทว่าตอนนั้นคนที่ลงมือจริง ๆ ก็คือผอซัว
แต่ครั้งนี้ ซูอี้ตั้งใจจะใช้วิธีการนี้เช่นกัน
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี”
ชุยหลงเซี่ยงทำท่าโล่งใจ จากนั้นจึงรีบพาซูอี้ไปด้วยกัน
หน้าพฤกษาหมื่นวิถี
“สหายเต๋าซูไปในครั้งนี้ ยังไม่รู้ว่าจะได้พบกันอีกเวลาใด ต้องระวังดูแลตัวเองให้ดี ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่า วันข้างหน้าจะได้ฟังเรื่องราวความยิ่งใหญ่ของสหายเต๋าหลังจากที่กลับไปสู่มหาแดนดิน”
ผอซัวพูดพลางอมยิ้ม น้ำเสียงใสกังวานดุจเสียงสวรรค์
ผมของนางขาวสะอาดประดุจหิมะ กลางหน้าผากมีรอยแต้มประทับสีแดง ร่างเลือนราง เงียบสงบเหนือธรรมชาติ ราวกับเซียนหญิงผู้อยู่เหนือสรรพชีวิต
ซูอี้ยิ้มพลางกล่าว “ฟังเรื่องเหล่านี้ อย่างไรเสียก็ไม่สู้เห็นกับตาตัวเอง หากว่าเจ้ายินดี ก็สามารถเดินทางไปพร้อมกับข้าได้”
ชุยหลงเซี่ยงส่งเสียงกระแอมขึ้นมาดัง ๆ อยากจะปิดปากซูอี้นัก
ผอซัวได้แต่ยิ้ม ก่อนจะกล่าวคำออกมา “ข้าหวังเหลือเกินว่าจะได้ไปมหาแดนดิน แต่ไม่ใช่ตอนนี้ สหายเต๋าอย่าได้ทำให้ข้าต้องลำบากใจเลย”
ชุยหลงเซี่ยงโล่งใจขึ้นมาในทันใด เขายิ้มพลางกล่าว “สัตว์ประหลาดเฒ่าซู เจ้าก็ได้ยินแล้ว ข้าว่าเจ้าควรสงบใจได้แล้ว อย่าได้คิดเรื่องฟุ้งซ่านเหล่านั้นอีก!”
ซูอี้กล่าวด้วยสีหน้าปั้นยาก “เรื่องฟุ้งซ่านอะไร?”
ชุยหลงเซี่ยงไม่อยากจะร่ำไรเสียเวลาอีก จากนั้นเขาก็รีบส่งตัวชายหนุ่มไปอีกด้านหนึ่ง “ใต้เท้าผอซัว โปรดเบิกช่องทางมิติให้แก่เขาด้วยขอรับ”
ผอซัวพยักหน้า
วูบ!
พฤกษาหมื่นวิถีสั่นคลอน แสงสว่างผุดขึ้น พุ่งไปยังเมฆสูงราวกับความฝัน
ประตูบานหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศอย่างรวดเร็ว
“ข้าไปแล้วนะ”
จากนั้นเขาก็เดินไปยังช่องทางมิติเบื้องหน้า
“สัตว์ประหลาดเฒ่าซู รักษาตัวด้วย!”
ชุยหลงเซี่ยงร้องตะโกนเสียงดัง
“สหายเต๋า รักษาตัว”
ผอซัวพูดพลางอมยิ้ม
ขาข้างหนึ่งของซูอี้ก้าวเข้าไปในประตูมิติ จากนั้นนึกอะไรขึ้นได้ จึงหันหน้ากลับไปมองผอซัว ยิ้มพลางกล่าว “หากว่าวันใดเจ้าต้องการจะไปยังเก้ามหาแดนดิน อย่าลืมมาหาข้า”
ชุยหลงเซี่ยงหน้าถมึงทึงขึ้นมา เขาลอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ไม่รอให้ทั้งสองได้พูดความ ซูอี้หัวเราะพร้อมกับโบกมือ ขาอีกข้างก้าวเข้าไปในประตูมิติ
วิ้ว!
จากนั้นร่างสูงโปร่งของซูอี้ก็หายลับไปในชั่วพริบตา
ชุยหลงเซี่ยงราวกับยกหินออกจากอก บ่นพึมพำ “ในที่สุดก็ส่งเขาไปแล้วจนได้…”
ผอซัวยิ้มพลางกล่าว “ถึงแม้เขาจะไปแล้ว แต่เรื่องเล่าเกี่ยวกับเขาในวันข้างหน้าจะต้องเป็นที่กล่าวขานกันในมหาแดนดินอย่างแน่นอน และจะเล่ากันจนถึงภูมิมืดมิดแห่งนี้”
ชุยหลงเซี่ยงก็เข้าใจแบบเดียวกัน เขาเชื่อมั่นมากว่าหลังจากที่กลับไปสู่มหาแดนดินแล้ว ด้วยนิสัยของสัตว์ประหลาดเฒ่าซู จะต้องลงมือกวาดล้างครั้งใหญ่ในใต้หล้ามหาแดนดินอย่างแน่นอน!
วันนี้ ซูอี้เดินทางออกจากภูมิมืดมิดเพียงลำพัง และย้อนกลับไปยังมหาทวีปคังชิง
เป็นเวลาหนึ่งปีกว่าแล้วที่เขาจากภูมิมืดมิดไปในครั้งนั้น
ปุ่มที่ 4 ใน 4 ตอนถัดไป
ปุ่มที่ 2 ใน 4 ความคิดเห็น
ปุ่มที่ 3 ใน 4 ตอนก่อนหน้า
0
……….
……….