บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1021: กระจายเป็นดาวเต็มฟ้า
ตอนที่ 1021: กระจายเป็นดาวเต็มฟ้า
……….
ตอนที่ 1021: กระจายเป็นดาวเต็มฟ้า
ผีเฒ่าแบกโลงนิ่งเงียบไปชั่วครู่ จึงรำพึงรำพัน “เสียดาย ดินแดนปรภพได้สิ้นสลายไปนานแล้ว หากไม่ใช่เช่นนั้น ข้าจะมอบตำแหน่ง ‘มหาเทพมืดมิด’ นี้ให้แก่เจ้า สัตว์ประหลาดเฒ่าซู”
เขาเข้าใจดีว่า หลังจากที่ควบคุมกฎแห่งจุดจบแล้ว วันข้างหน้าไม่ช้าก็เร็วซูอี้จะควบคุมมหาวิถีวัฏสงสารได้ทั้งหมด!
ตัวตนเช่นนี้ หากว่าเป็นสมัยบรรพกาล รับตำแหน่งเป็นมหาเทพมืดมิดได้อย่างสบายมาก
ซูอี้กล่าว “อย่าท้อแท้ใจไป ตามที่ข้ามอง ด้วยความสามารถของเจ้า วันข้างหน้าไม่ช้าก็เร็วจะต้องสร้างดินแดนปรภพได้ใหม่อีกครั้ง และวัฏสงสารก็จะปรากฏทั่วใต้หล้าภูมิมืดมิดอีกครั้ง”
ผีเฒ่าแบกโลงฉีกยิ้มหัวเราะขึ้นมา “ข้าต้องทำให้ได้”
“ข้าต้องไปแล้ว”
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาอีก ซูอี้ก็ลุกขึ้นเตรียมตัวจากไป
ผ่านไปเจ็ดวันแล้ว พวกของเย่ลั่วกับไก่แจ้เฒ่ายังคอยอยู่ที่ภูเขาหมื่นกระแส
ผีเฒ่าแบกโลงตัดสินใจจะอยู่ที่นี่ต่อ เขาต้องการจะฟื้นฟูซ่อมแซม ‘ดินแดนวัฏสงสาร’ และไม่อยากจะละทิ้งไปกลางคัน
ซูอี้ไม่ขัดเจตนาของอีกฝ่าย
ก่อนจะไป เดิมทีเขาตั้งใจจะคืนกระดานหกวิถีกับบันทึกยมโลกให้แก่ผีเฒ่าแบกโลง แต่ผีเฒ่าแบกโลงรับไว้เพียงแค่บันทึกยมโลกเท่านั้น ยังคงมอบกระดานหกวิถีให้ซูอี้เก็บรักษา
…
ณ ภูเขาหมื่นกระแส
เมื่อซูอี้ย้อนกลับมาถึง พวกของเย่ลั่ว ไก่แจ้เฒ่า กับชุยหลงเซี่ยงที่คอยอยู่จึงพากันโล่งใจ
ทว่า เมื่อรู้ว่าผีเฒ่าแบกโลงยังอยู่ในดินแดนวัฏสงสารต่อและตั้งใจจะฟื้นฟูซ่อมแซมพลังกฎเกณฑ์ของโลกแห่งดินแดนลึกลับนั้นแล้ว เฒ่าบอดจึงตัดสินใจจะอยู่ต่อด้วย
เขาขอให้ซูอี้ส่งเขาไป
ซูอี้ไม่ปฏิเสธ จากนั้นเขาก็รอส่งเฒ่าบอดไปยังดินแดนวัฏสงสาร ทั้งยังพูดกำชับด้วยว่าให้อีกฝ่ายรอที่สระวัฏสงสาร ไม่ช้าก็เร็วผีเฒ่าแบกโลงผู้เป็นอาจารย์ของเขาจะต้องกลับมาแน่
วันเดียวกัน ซูอี้กับคนอื่น ๆ จึงออกจากพิภพยมราชฝังวิถี
…
ณ เมืองรัตติกาลนิรันดร์
สหายที่รู้จักกลับมาพบกัน ก็ต้องดื่ม ไม่เมาไม่เลิกรา
ซูอี้ ไก่แจ้เฒ่า ชุยหลงเซี่ยง ซึ่งเป็นสหายสนิทพากันไปดื่มกันอย่างเต็มที่ในสวนของยามบอกเวลา แต่ละคนดื่มจนเมาหัวราน้ำ ไม่รู้เรื่องรู้ราว
รุ่งเช้าวันถัดมา คนทั้งหมดก็ออกเดินทาง ต่างคนต่างแยกย้ายกันไป
ชุยหลงเซี่ยงหายตัวไปนานหลายปี เป็นห่วงญาติมิตรในตระกูล
ไก่แจ้เฒ่าก็เป็นห่วงเย่เจินผู้เป็นศิษย์เช่นกัน กลัวว่าจะถูกคนอื่นรังแก จึงจากไปพร้อมกับชุยหลงเซี่ยง ข้ามทะเลทุกข์ย้อนกลับไปยังดินแดนแห่งภูมิมืดมิด
เทพมารฝังอบายกับหวังถิงศิษย์อาจารย์คู่นี้อยู่ในเมืองรัตติกาลนิรันดร์ต่อ โดยมียามบอกเวลาคอยปกป้องคุ้มครอง
สาเหตุก็เพราะหวังถิงพิสูจน์เต๋าเป็นจักรพรรดิ ย่างก้าวสู่หนทางแห่งยมราชที่หายสาบสูญไปเป็นเวลานานมากแล้ว!
และก็เป็นวันเดียวกัน ซูอี้ขับเรือไร้อับปางพายมบาลกับเย่ลั่วล่องลมฝ่าคลื่นเดินทางไปยังดินแดนแห่งภูมิมืดมิด
…
หลังจากนั้นสองวัน
ณ ชายทะเลทุกข์
ยามสายัณห์ อาทิตย์อัสดงสาดส่องผิวทะเล ส่งประกายระยิบระยับ
เมืองตังกุยคึกคักเสียงดังเหมือนแต่ก่อน
เมื่อเดินเข้าประตูเมืองไปก็มองเห็นรถม้าวิ่งขวักไขว่เต็มท้องถนน ผู้คนแออัดเบียดเสียด ดวงตาเย้ายวนคู่นั้นของยมบาลสาวส่องสว่างขึ้นมาเล็กน้อย
นางรำพึงขึ้นมาด้วยความสุขใจ “ถึงตอนนี้ พอนึกถึงเรื่องราวทั้งหมดที่ประสบพบเจอในทะเลทุกข์ขึ้นมา ข้ารู้สึกเหมือนกับผ่านไปนานมากแล้ว”
เย่ลั่วยังคงนิ่งเงียบ
เขาจับทางไม่ได้ว่าผู้หญิงหน้าตาสวยมีเสน่ห์คนนี้ แท้จริงแล้วมีความสัมพันธ์อันใดกับอาจารย์ ด้วยเหตุนี้จึงไม่ค่อยพูดกับอีกฝ่ายมากนัก
“เหมือนผ่านไปนานมากจริง ๆ”
ซูอี้รำพึง
บนถนนหนทาง ฝูงคนแออัดยัดเยียด เสียงโหวกเหวกดังก้องอยู่ทั่วไป ภาพชีวิตชีวาของบรรดาสรรพชีวิตแสดงให้เห็นอยู่ตรงหน้า
ความคึกคักเช่นนั้นทำให้รู้สึกผ่อนคลายสบายใจไปด้วยโดยไม่รู้ตัว
คืนวันนั้น พวกของซูอี้เข้าพักในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในเมืองตังกุย
รุ่งเช้าของวันที่สอง นอกเมืองตังกุย
“สหายเต๋า ภายในสามปี ข้าจะไปหาเจ้า”
ยมบาลสาวตัดสินใจที่จะจากไปในที่สุด
นางสวมชุดกระโปรงสีดำราวกับน้ำหมึก ผิวขาวยิ่งกว่าหิมะ อกผายไหล่ผึ่งหน้าเชิด ใบหน้าที่งดงามเลอเลิศเปล่งประกายสดใสภายใต้แสงอรุณ
ความสวยของนางเป็นความรัญจวนใจแบบกระชากจิตวิญญาณ ถึงขั้นสร้างความล่มจมแก่แคว้นรัฐ นำภัยสู่ชาวประชาได้เลย
“สามปี?”
ซูอี้ตะลึง “เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่า ต้องใช้เวลาสิบปีจึงจะสามารถหลุดออกจากเมืองมรณะได้?”
ยมบาลกะพริบตาปริบ ๆ ริมฝีปากแดงเฉิดฉายเผยอรอยยิ้มซึ่งแฝงอาการหยอกเย้า “เช่นนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นข้าคงจะจำผิดไป”
ซูอี้นวดหัวคิ้ว นี่ก็คือผู้หญิง ยิ่งสวยก็ยิ่งพูดโกหกเก่ง กระทั่งผีก็ยังไม่รู้ว่าคำที่พวกนางเคยพูดไว้เหล่านั้น เมื่อไรจึงจะเป็นความจริง และเมื่อไรเป็นคำโกหก
“สิ่งนี้ มอบให้เจ้า”
ยมบาลสาวหยิบแผ่นหยกชิ้นหนึ่งออกมา พลันยื่นให้ซูอี้ “ถือว่าเป็นสินน้ำใจจากข้า”
“สิ่งนี้คืออะไร?” ซูอี้ถาม
“เรื่องที่เจ้าต้องการอยากจะรู้” นางพูดพร้อมกับยิ้มแย้ม
ซูอี้พอจะเดาคำตอบได้แล้ว
ทว่าเขาไม่ได้เปิดอ่านดูในทันที แต่กล่าวขึ้นมา “หลังจากสามปี ข้าคงจะกลับไปยังมหาแดนดินแล้ว ถึงเวลานั้น เจ้าสามารถไปหาข้าที่ถ้ำเสวียนจวินได้”
เย่ลั่วสะดุ้งเฮือก
หลายร้อยปีที่ผ่านมา ถ้ำเสวียนจวินอยู่ในความปกครองของชิงถังมาโดยตลอด
แต่ตอนนี้ อาจารย์กลับเอ่ยเช่นนี้ออกมา เช่นนี้หมายความว่าอาจารย์ต้องการจะยุติบุญคุณความแค้นที่ผ่านมาเหล่านั้นในระยะเวลาสามปีเช่นนั้นหรือ?
“ได้!”
ยมบาลรับปากรวดเร็ว
จากนั้นนางก็หมุนตัวลาจากไป
เมื่อเห็นร่างของนางหายไปจากท้องฟ้าที่ห่างไกลแล้ว ในที่สุดเย่ลั่วก็ยังคงทนไม่ไหว จึงถามลองเชิงขึ้นมาด้วยความระมัดระวัง “อาจารย์ วันข้างหน้าข้าจะมี… อาจารย์แม่เพิ่มขึ้นมาอีกคนใช่หรือไม่?”
เพียะ!
เสียงยังดังก้องไม่หาย เย่ลั่วก็โดนตบกะโหลกไปหนึ่งฉาด
“ในสมองของเจ้ามัวคิดเรื่องอะไรอยู่ ชั่วชีวิตน้อย ๆ ของเจ้าไม่มีวันมีอาจารย์แม่หรอก”
ซูอี้ดุ
เย่ลั่วเข้าใจได้ในทันใด หากว่าอาจารย์มีคู่วิถี หญิงงามรู้ใจไม่รู้กี่คนต่อกี่คนต้องโศกเศร้าเสียใจมากอย่างแน่นอน
อีกทั้ง วันข้างหน้ายังจะมีหญิงงามนางฟ้าคนไหนตามจีบอาจารย์อีก?
ยิ่งไปกว่านั้น มีครอบครัวแล้วไปยุ่งกับดอกไม้ข้างทาง เป็นการสร้างความเสื่อมเสียให้แก่อาจารย์
ดังนั้น ขอเพียงอาจารย์ไม่สมรส ปัญหาทั้งหมดนี้ล้วนไม่ใช่ปัญหาอีก!
เมื่อนึกถึงตรงนี้แล้ว เย่ลั่วก็ทำหน้าละอายใจออกมา ก่อนจะกล่าวด้วยความนับถือ “ศิษย์คิดตื้น ไม่รู้จักมองการณ์ไกล”
ซูอี้ขบคิดสักครู่จึงเข้าใจความหมายของเย่ลั่ว สายตาของเขาเปลี่ยนไปดูแปลกประหลาดขึ้นมา เจ้าเด็กคนนี้… จินตนาการเก่งจริง ๆ!
“เจ้าจะรู้อะไร ชั่วชีวิตนี้ของข้าตั้งใจแสวงหาวิถีดาบ ไหนเลยจะปล่อยให้ผู้หญิงมาเป็นภาระได้”
ซูอี้ส่ายหน้าพลางกล่าว
เย่ลั่วพยักหน้าติด ๆ กันหลายที “อาจารย์กล่าวถูกต้อง”
เขาชูนิ้วโป้งให้ในใจ เยี่ยมยอด!
ขอเพียงอาจารย์เอาคำว่าตั้งใจแสวงหาวิถีดาบมาเป็นข้ออ้าง ผู้หญิงคนไหนจะกล้าบีบให้อาจารย์สมรส?
หากเสียเวลาการฝึกตนของอาจารย์เข้าจะทำเช่นใด?
เยี่ยมยอดมากจริง ๆ!
ซูอี้ไม่รู้หรอกว่าในสมองของเย่ลั่วคิดไปมากมายถึงเพียงนี้
หรือต่อให้รู้ เขาก็คร้านจะอธิบาย
“ไปเมืองเทียนหยากัน”
หลังจากกล่าวจบ ซูอี้ก็ทะยานขึ้นฟ้าไป
“เมืองเทียนหยา… นั่นไม่ใช่สถานที่ตั้งพำนักของเย่อวี๋ จักรพรรดิวิญญาณหยาดสวรรค์หรอกหรือ?”
สายตาของเย่ลั่วประหลาดไป
แน่นอน เย่ลั่วไม่กล้าแอบต่อว่าและล่วงละเมิดอาจารย์
เพียงแต่เขายิ่งคิดก็ยิ่งเข้าใจได้ว่า…
ผู้ชายที่มีหญิงงามรู้ใจมากมาย ต้องการจะมีชีวิตอยู่อย่างอิสระ อยู่อย่างสบาย เดินท่องไปในหมู่พฤกษาอย่างโลดแล่น ก็ควรจะเป็นเหมือนอาจารย์ ตลอดชีวิตไม่สมรส ไม่มีคู่ครอง จึงไม่ต้องมีปัญหาวุ่นวายหลังบ้านเป็นธรรมดา
…
แผ่นหยกที่ยมบาลมอบให้ บันทึกหนทางวิถีที่สูงส่งกว่าหนทางแห่งวิถีลึกล้ำ!
หนทางวิถีเส้นนี้ ส่วนลึกหมู่ดาราเรียกว่า ‘วิถีสู่สวรรค์’ มีด้วยกันทั้งสิ้นสามขอบเขตใหญ่ ๆ
แบ่งได้เป็น ขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยง ขอบเขตคืนสู่สามัญ และขอบเขตไร้ขีดจำกัด
ที่จักรวาลพร่างดาว ผู้ใดก็ตามที่มุ่งหน้าสู่วิถีสู่สวรรค์ ล้วนถูกมองว่าเป็น ‘ราชันย์แห่งภูมิ’
ซึ่งคล้ายกับขอบเขตจักรพรรดิ ใครก็ตามที่ย่างก้าวสู่หนทางแห่งวิถีลึกล้ำ ล้วนถูกมองว่าเป็นจักรพรรดิทั้งสิ้น
ขอบเขตราชันย์แห่งภูมิก็เป็นเช่นนี้
อย่างตัวตนในระดับเช่นนี้ถือเป็นผู้สามารถระดับสุดยอดของโลกหมู่ดารา มีอานุภาพสยบโลกหมู่ดาราได้ ยิ่งใหญ่เหลือคณา
เหมือนดั่งภูมิดาราวอนสวรรค์ ภายในหอเก้าสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ราวกับผู้ชี้ชะตานั้น ผู้บวงสรวงสวรรค์ทั้งสามคือตัวตนขอบเขตราชันย์แห่งภูมิอย่างแท้จริง
โดยเฉพาะอย่างผู้บวงสรวงสวรรค์ที่หนึ่ง ย่างก้าวสู่ ‘ขอบเขตคืนสู่สามัญ’ ตั้งแต่เมื่อนานมาแล้ว!
ดังเช่นลัทธิทางช้างเผือก จ้าวตำหนักทั้งสามแห่งตำหนักสุริยัน ตำหนักจันทรา และตำหนักดารา ล้วนเป็นตัวตนขอบเขตราชันย์แห่งภูมิเช่นเดียวกัน
ทว่าในแผ่นหยกของยมบาล ไม่ได้กล่าวถึงความลึกล้ำของสามขอบเขตใหญ่นี้ สาเหตุก็เพราะตัวนางเองไม่เคยย่างก้าวสู่ ‘วิถีสู่สวรรค์’ จึงไม่อาจรู้ในสิ่งเหล่านี้ได้เป็นธรรมดา
“วิถีสู่สวรรค์ สามขอบเขตใหญ่…”
เมื่อเข้าใจในเรื่องเหล่านี้แล้ว หัวใจของซูอี้อดที่จะตั้งความหวังขึ้นมาไม่ได้
เขาเชื่อมานานแล้วว่า ในโลกนี้มีหนทางวิถีที่สูงส่งกว่าหนทางแห่งวิถีลึกล้ำ! ด้วยเหตุนี้ในตอนนั้นจึงเลือกที่จะกลับชาติมาฝึกตนใหม่อีกครั้ง
แต่ที่เสียดายก็คือ ในภูมิดาราฟ้าดินที่ตกอยู่ในสภาพดั่งที่เห็น ณ ปัจจุบันนี้ การสืบทอดที่เกี่ยวข้องกับ ‘วิถีสู่สวรรค์’ ถูกตัดขาดไปหมดตั้งนานแล้ว
จึงเป็นเหตุทำให้ซูอี้เพิ่งรับรู้เรื่องสามขอบเขตใหญ่ของวิถีสู่สวรรค์ในตอนนี้
“สามจ้าวตำหนักใหญ่ของลัทธิทางช้างเผือกล้วนเป็นราชันย์แห่งภูมิกันหมดแล้ว ชาวประมงเฒ่าซึ่งเป็นเจ้าลัทธิก็ต้องก้าวสู่วิถีสู่สวรรค์ไปนานแล้วเช่นกัน เขาควรจะอยู่ในขอบเขตใดกัน?”
“ทัศนาจารย์เล่า ที่เลือกเข้าสู่วัฏสงสารกลับชาติเมื่อครั้งนั้น จะหมายความว่า เขาได้เดินถึงปลายทางของวิถีสู่สวรรค์แล้วใช่หรือไม่? หรือว่า หนทางวิถีของเขาสูงส่งกว่าสามขอบเขตสู่สวรรค์?”
ซูอี้คิดไปต่าง ๆ นานา
เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนว่าการฝึกตนของตัวเองนั้นต่ำต้อย
ระดับวิถีในช่วงสูงสุดเมื่อในชาติก่อนของเขา หากว่าอยู่ในจักรวาลพร่างดาวเป็นรองเพียงแค่ขอบเขตราชันย์แห่งภูมิเท่านั้น!
ทว่าชาตินี้ เขาใช้ระดับการฝึกตนขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำก็สามารถฆ่าตัวตนขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำได้อย่างง่ายดาย จึงไม่มีทางดูแคลนระดับการฝึกของตัวเองต่ำต้อยเป็นธรรมดา
ยิ่งไปกว่านั้น หากพูดกันในบางแง่มุม ทัศนาจารย์เป็นหนึ่งใน… อดีตชาติของเขาด้วยเหมือนกัน!
ถึงที่สุดแล้ว ในสายตาของซูอี้ เวลาที่แสวงหาหนทางวิถี ความสูงต่ำของขอบเขตการฝึกตนนั้นไม่สำคัญ
สิ่งที่สำคัญก็คือ สามารถแสวงหาหนทางวิถีที่สูงส่งยิ่งกว่ากว้างไกลยิ่งกว่าได้หรือไม่!
หลังจากนั้นสองวัน
ซูอี้กับศิษย์เย่ลั่วสองคนก็เดินทางไปถึงเมืองเทียนหยา
“เอาล่ะ เจ้าส่งถึงตรงนี้ก็พอแล้ว”
หน้าประตูเมืองเทียนหยา ซูอี้กล่าวกำชับ “ครั้งนี้ หลังจากที่เจ้ากลับไปสู่ภูมิมืดมิดแล้ว คงต้องอยู่นิ่ง ๆ สักระยะหนึ่ง และไปสืบเบาะแสของจิ่งหังศิษย์พี่รอง หวังเชวี่ยศิษย์พี่ห้า กับไป๋อี้ศิษย์น้องแปดของเจ้ามา”
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิษย์พี่ห้าของเจ้า ถึงแม้โคมชะตาวิญญาณที่เขาเก็บไว้ที่ตระกูลหวังจะดับไปแล้ว แต่หากว่ายังสืบหาความจริงทั้งหมดไม่พบ ข้าไม่มีทางเชื่อว่าเขาตายในหุบเขาแสนปีศาจอย่างแน่นอน”
เย่ลั่วรับคำแข็งขัน “น้อมรับบัญชาของอาจารย์!”
“อีกอย่าง สมบัติล้ำค่า เช่น ดาบเมฆาแดง กระสวยพรางสวรรค์ เจ้าจงเก็บรักษาไว้เพื่อใช้ป้องกันตัว อย่าได้ผัดผ่อน”
ซูอี้พูดจบก็โบกมือ “กลับไปเถอะ เมื่อข้ากลับไปถึงมหาแดนดินแล้ว จะไปหาเจ้าเอง”
เย่ลั่วพยักหน้า แสดงความเคารพต่อซูอี้พลางกล่าว “อาจารย์ ศิษย์อยู่รอท่านที่มหาแดนดิน รอท่านกลับมา!”
พูดจบ เขาก็หมุนตัวเดินออกไป
เห็นร่างผอมบางของเขาจากไปแล้ว ซูอี้จึงเดินเข้าสู่ประตูเมืองเทียนหยา
วันเดียวกัน ซูอี้พบกับเย่อวี๋ และพักค้างแรมที่เผ่าปีศาจงูชั่วคราว
เขาตั้งใจว่าจะฝึกตนอยู่ที่เผ่าปีศาจงูสักระยะหนึ่งเพื่อเพิ่มพูนระดับการฝึกตน ฝึกซ้อมศาสตราวิถี และจัดแจงหนทางวิถีของตนเอง
……….