บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1020: ความเร้นลับของบันทึกยมโลก ..........
ตอนที่ 1020: ความเร้นลับของบันทึกยมโลก
……….
ตอนที่ 1020: ความเร้นลับของบันทึกยมโลก
ครู่ถัดมา อาไฉ่เริ่มสอบถามเกี่ยวกับเรื่องราวของซูอี้
ไม่นานนักหญิงสาวจึงรู้ชื่อและประวัติความเป็นมาของซูอี้
เมื่อรู้ว่าซูอี้เข้ามาในแถบโกลาหลจากดินแดนมืดมิดของ ‘ภูมิดาราฟ้าดิน’ แล้ว อาไฉ่ก็ยังอดรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาไม่ได้ นางคาดเดาความเป็นไปได้อยู่หลายอย่าง
ทว่า เมื่อถามถึง ‘บันทึกยมโลก’ ที่อยู่ในมือของซูอี้ รวมถึงพลังที่สามารถต้านทานและสลายกฎสูงสุดทวิภูมิที่ซูอี้มี อาไฉ่กลับไม่ได้รับคำตอบ
เรื่องนี้ทำให้อาไฉ่รู้สึกไม่พอใจอยู่พอสมควร
นางมีชีวิตผ่านร้อนผ่านหนาวมานานเท่าไรแล้วก็ไม่อาจทราบ ร่วมเป็นสักขีพยานในความเปลี่ยนแปลงของดาราแต่ละยุคสมัย และเคยท่องไปในโลกภูมิต่าง ๆ ในหมู่ดารา พบเจอตัวตนแข็งแกร่งดั่งเทพเซียนผู้ซึ่งมีความยิ่งใหญ่สะเทือนฟ้าดินไม่รู้มากมายแค่ไหน
ส่วนระดับวิถีของนางก็สูงกว่าซูอี้ตั้งไม่รู้เท่าใด
แต่กลับเป็นครั้งแรกที่อาไฉ่ได้เจอตัวตนขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำที่สามารถควบคุมความเร้นลับวัฏสงสาร และใช้กำลังแห่งต้นวัฏสงสารหมื่นภูมิได้
ทั้งหมดนี้เต็มไปด้วยความลึกลับ ทำให้อาไฉ่หวังยิ่งนักว่าจะได้รู้เกี่ยวกับข้อเท็จจริงนี้
แต่ที่น่าเสียดายก็คือ ซูอี้ปิดปากเงียบสนิท ไม่พูดถึงพวกมันเลยแม้แต่น้อย
“ช่วยข้าอย่างหนึ่งได้หรือไม่?”
สุดท้ายอาไฉ่พูดขอร้องออกมา หวังว่าซูอี้จะส่งนางไปจากที่นี่ได้
สาเหตุก็คือในศึกครั้งใหญ่เมื่อก่อนหน้านี้ ใบไม้ที่สะท้อนภาพของ ‘ภูมิดาราหมื่นโฉลก’ ใบนั้นเหี่ยวเฉาไร้ชีวิตชีวา
ซึ่งก็หมายความว่า ‘เส้นทางเวียนวัฏ’ ที่มาสู่โลกแห่งนี้ถูกตัดขาดไปแล้ว!
ถึงแม้อาไฉ่จะมีพรสวรรค์แก่กล้า ซึ่งสามารถข้ามผ่านมิติและทะลุผนังกั้นโลกได้ แต่เมื่อหนทางถูกตัดขาดก็เท่ากับไม่มีวิธีการใดอื่นอีกเช่นกัน
“เจ้ากลับไปตอนนี้ ไม่กลัวเจ้าสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิจะตามฆ่าหรือ?”
ผีเฒ่าแบกโลงอดถามขึ้นมาไม่ได้
“พูดถึงความสามารถ ข้าอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ แต่หากว่าข้าหนี…”
รอยยิ้มบาง ๆ ผุดขึ้นบนริมฝีปากสีชมพูระเรื่อของอาไฉ่ จากนั้นนางก็กล่าวด้วยความมั่นใจอย่างเต็มที่ “ต่อให้เทพเซียนทั้งหลายในแดนดินลงมือพร้อมกัน ก็ไม่อาจขัดขวางข้าได้!”
ซูอี้ร้อง ‘อ้อ’ ออกมาคำหนึ่ง
อาไฉ่ตะลึงไปชั่วครู่ ความไม่พอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวยคมของนาง
เพียงมองแวบเดียว นางก็นึกถึงภาพเมื่อสักครู่ที่ถูกซูอี้ไล่ล่าจนหมดหนทางจะหนี
“ข้าสามารถช่วยเรื่องที่เจ้าร้องขอได้ แต่ต้องเป็นเรื่องที่ข้าสามารถทำได้” ซูอี้รับปาก
อาไฉ่รู้สึกตกใจ เดิมทีนางเข้าใจว่าซูอี้จะฉวยโอกาสเรียกร้องผลประโยชน์ที่มากกว่าจากตัวนาง แต่ทว่ากลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย!
ซูอี้ปฏิบัติลงมือในทันทีโดยไม่พูดพร่ำเพรื่อ
เมื่อมีบันทึกยมโลกอยู่ การซ่อมแซมใบไม้ต้นวัฏสงสารหมื่นภูมิสักใบแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องยากอันใดสำหรับซูอี้
อีกทั้ง เขาก็อยากจะถือโอกาสนี้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเร้นลับของบันทึกยมโลกให้มากขึ้นด้วยเช่นกัน
หลังจากเวลาผ่านไปครึ่งเค่อ
ภายใต้กลิ่นอายโกลาหลอันเกิดจากพลังที่มาแห่งภูมิมืดมิด ใบไม้ที่เหี่ยวเฉาไปในตอนแรกกลับมามีชีวิตชีวา ประกายแสงระยิบระยับ ภาพของ ‘ภูมิดาราหมื่นโฉลก’ ก็ปรากฏอีกครั้ง
ด้วยเหตุนี้ซูอี้จึงรู้สึกตื่นเต้นเป็นยิ่งนัก
ตามความคาดหมาย บันทึกยมโลกชิ้นนี้เป็นสมบัติล้ำค่าที่มีความมหัศจรรย์เหลือคณา มันก็คล้ายกับกุญแจที่สามารถควบคุมพลังที่มาแห่งภูมิมืดมิดได้ ซึ่งมีคุณประโยชน์อันคาดไม่ถึง
แม้กระทั่งผีเฒ่าแบกโลงก็ยังนิ่งตะลึงไปชั่วขณะ ในใจของเขาพลันสั่นสะท้าน
ถึงแม้เขาจะเป็นมหาเทพมืดมิดและก็เป็นครั้งแรกที่เข้าสู่แหล่งต้นกำเนิดมืดมิดแห่งนี้ แต่นึกไม่ถึงเลยสักนิดว่าบันทึกยมโลกจะยังสามารถทำเช่นนี้ได้!
“น้องซูน้อย พี่สาวเชื่อว่า วันข้างหน้าพวกเราทั้งสองจะต้องได้พบกันอีกอย่างแน่นอน”
ดวงตาใสสว่างเป็นมิตรของอาไฉ่หรี่เล็ก ยิ้มกว้าง
นางมาอยู่ตรงหน้าใบไม้ใบนั้นแล้ว เสื้อผ้างดงามสะบัดพลิ้ว ยิ่งคล้ายกับนางฟ้าบนชั้นสวรรค์ งดงามเหนือธรรมดาทั่วไป
น้องซูน้อย?
ผีเฒ่าแบกโลงแทบจะปล่อยหัวเราะออกมา
ผู้หญิงคนนี้ พอได้โอกาสเป็นต้องแสดงตัวอาวุโสกว่าสัตว์ประหลาดเฒ่าซูอี้ทุกที!
มุมปากของซูอี้กระตุกเล็กน้อยเช่นกัน
สวบ!
แสงสีทองกลายเป็นลำแสงอยู่ตรงหน้าซูอี้ จากนั้นกลายเป็นยันต์ลับแผ่นกลมมน
ยันต์ลับชิ้นนี้มีความพิเศษไม่ธรรมดา มีขนาดเท่ากับเหรียญสลึงเล็ก ๆ ถักทอขึ้นจากเส้นไหมสีทองเส้นบาง ๆ หลายเส้น ภายนอกประทับด้วยตราสัญลักษณ์ ‘หนอนไหมสีทองกลืนหางตัวเอง’ อันน่าพิศวง
“นี่เป็น ‘ยันต์อมตะ’ ที่ข้าใช้พลังพรสวรรค์หลอมสกัดขึ้น สามารถบรรเทาภัยพิบัติร้ายแรงถึงชีวิตได้ ถือว่าเป็นของกำนัลที่ข้ามอบให้แก่น้องซูน้อยก็แล้วกัน”
อาไฉ่ยิ้มหวานพลางกล่าว
“พบกันใหม่”
หญิงสาวโบกมือสวย จากนั้นหมุนตัวเดินเข้าไปใน ‘เงาโลกภูมิ’ ที่ผุดขึ้นจากใบไม้ใบนั้น ร่างอันงดงามประดุจนางฟ้าพลันหายลับไป
“ฮ่า ๆๆ เรียกน้องซูน้อยเสียใกล้ชิดเลยเชียว”
ในที่สุดผีเฒ่าแบกโลงก็ทนไม่ไหว และปล่อยหัวเราะออกมา บนใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าหยอกล้อ
ซูอี้ชายตามองผีเฒ่าแบกโลงทีหนึ่ง พลางกล่าว “ข้ารู้สึกว่า เจ้าควรจะดัดนิสัยเสียบ้าง ไม่ได้มีลักษณะของมหาเทพผู้เป็นใหญ่ทั่วภูมิมืดมิดเลยแม้แต่น้อย”
ผีเฒ่าแบกโลงส่ายหน้าติดต่อกัน “มันเป็นสันดาน ดัดไม่ได้!”
“ดัดได้”
ซูอี้กล่าว “ส่งเจ้าไปวัฏสงสารกลับชาติก็ได้แล้ว”
ผีเฒ่าแบกโลง “…”
เขาไอแห้ง ๆ ขึ้นมาทีหนึ่ง ไม่กล้าหยอกล้อซูอี้อีก จากนั้นเปลี่ยนเรื่องคุยในทันใด “สัตว์ประหลาดเฒ่าซู ก่อนหน้านี้เจ้าลงมือไปเสียหนัก ข้ายังเข้าใจว่าเจ้าจะฆ่าผู้หญิงคนนั้นเสียอีก เหตุใดอยู่ ๆ จึงมาเปลี่ยนใจเอาตอนสุดท้าย? อย่าบอกข้านะว่าเพราะฝ่ายตรงข้ามสวย”
ซูอี้ถามย้อน “พวกเรามีความแค้นต่อนางเช่นนั้นหรือ?”
“ไม่มี”
“นางเป็นพวกเดียวกับชิงเซียวเช่นนั้นหรือ?”
“คงจะ… ไม่ใช่”
“ถ้าเช่นนั้นเหตุใดต้องฆ่านางด้วย?”
ซูอี้พูดถึงตรงนี้ สายตาผุดประกายประหลาดขึ้นมา “ในทางกลับกัน ต่อให้ข้าต้องการจะฆ่านาง ก็คงไม่อาจจะฆ่าได้”
ผีเฒ่าแบกโลงร้องขึ้นด้วยความตกใจ “หรือว่าเจ้ามองที่มาของผู้หญิงคนนี้ออกแล้วเช่นนั้นหรือ?”
ซูอี้ตอบ “เมื่อชาติที่แล้ว ข้าเคยอ่านเกี่ยวกับวิญญาณโดยกำเนิดในคัมภีร์โบราณที่ขาดแหว่งไปบางส่วน ตอนนั้นคิดว่าเป็นเรื่องเล่าประหลาดเรื่องหนึ่งเท่านั้น แต่หลังจากที่เจอผู้หญิงคนนี้แล้ว กลับพบว่าวิญญาณโดยกำเนิดเช่นนี้อาจจะเป็นความจริง”
“หมายความว่าอย่างไร?”
ผีเฒ่าแบกโลงก็อยากจะรู้ขึ้นมา
ซูอี้เอ่ยพูดช้า ๆ “ในสมัยโบราณ มีเซียนหนอนไหมอุบัติขึ้นท่ามกลางความโกลาหล มันมีวิญญาณอมตะ ดื่มกินน้ำทิพย์ทองคำและแก่นแท้ของหินเงิน ดำรงอยู่ท่ามกลางความโกลาหล ผ่านร้อนผ่านหนาว เก็บกฎเกณฑ์โดยรอบ… ไม่นานแปลงร่างเป็นผีเสื้อ กระพือปีกก็สามารถท่องไปในมิติกาลเวลา ข้ามผนังกั้นโลก… โบราณเรียกสิ่งนี้ว่า ‘เซียนสวรรค์’”
เมื่อฟังแล้ว ผีเฒ่าแบกโลงถึงกับตาค้าง “ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้โกหก นางเป็น… เซียนหนอนไหมที่อุบัติเกิดขึ้นท่ามกลางความโกลาหลจริง ๆ เช่นนั้นหรือ?”
มีวิญญาณอมตะก็หมายความว่าไม่ตาย
มิน่าเล่า สำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิจึงยกย่องอาไฉ่เป็น “องค์วิญญาณอมตะ”!
“ควรจะเป็นเช่นนั้น”
ซูอี้ถือ ‘ยันต์อมตะ’ สัมผัสกลิ่นอายลึกลับและประหลาดที่แผ่กระจายออกมาจากสมบัติชิ้นนี้ จากนั้นกล่าวขึ้นเบา ๆ “สาเหตุที่พรสวรรค์ของผู้หญิงนางนี้กว้างไกล อาจจะเกี่ยวข้องกับคำว่า ‘อมตะ’ ก็เป็นได้”
ผีเฒ่าแบกโลงอดอุทานขึ้นไม่ได้ “จักรวาลพร่างดาวช่างน่าอัศจรรย์เหลือเกิน”
“ถึงตอนนี้แล้ว เจ้าควรจะเล่าที่มาของบันทึกยมโลกให้ข้าฟังได้แล้วกระมัง?”
ซูอี้เก็บยันต์อมตะพลางถาม
ผีเฒ่าแบกโลงหัวเราะขึ้นมา ก่อนจะกล่าว “ไม่มีปัญหา”
เหมือนดังที่ซูอี้คาดเดาเอาไว้ บันทึกยมโลกชิ้นนี้อุบัติขึ้นจากที่มาแห่งภูมิมืดมิด ภายในหลอมประทับด้วย ‘สัญลักษณ์โกลาหล’ อันเป็นที่สุดแห่งแหล่งกำเนิด ผ่านการขัดเกลาและผลักดันของมหาเทพมืดมิดแต่ละยุคสมัย สุดท้ายจึงมั่นใจได้ว่าสัญลักษณ์โกลาหลเหล่านั้นประกอบด้วยความเร้นลับอันเป็นหัวใจสำคัญของวัฏสงสาร!
ทว่า แม้แต่ผีเฒ่าแบกโลงก็ยังไม่รู้ว่าในที่มาแห่งภูมิมืดมิดแห่งนี้ บันทึกยมโลกจะมีคุณประโยชน์อันคาดไม่ถึงเช่นนี้
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ภายในบันทึกยมโลกนี้ก็อาจจะซ่อนเร้น ‘กฎแห่งจุดจบ’?”
ซูอี้ถาม
ซูอี้ควบคุมกฎเกณฑ์มหาวิถีที่เกี่ยวข้องกับวัฏสงสารเป็นจำนวนมาก เช่น กฎเวียนวัฏสงสาร กฎสุดวิถี กฎแห่งการจม และกฎแห่งสังขาร
มีแต่เพียง ‘กฎแห่งจุดจบ’ เท่านั้นที่ไม่เคยควบคุมมาก่อน
มหาวิถีนี้เป็นถึงหัวใจสำคัญในการประกอบกันเป็นพลังวัฏสงสาร หากไม่กระจ่างในเรื่องนี้ ต่อให้รู้แจ้งในความเร้นลับวัฏสงสารมากสักแค่ไหน สุดท้ายก็ยังคงมีจุดโหว่อยู่ดี
“ควรจะเป็นเช่นนี้”
ผีเฒ่าแบกโลงคิดสักครู่จึงกล่าว “เมื่อก่อน กฎแห่งจุดจบถูกมองว่าเป็นวิถีต้องห้าม แม้กระทั่งตัวตนแข็งแกร่งแต่ละยุคสมัยของดินแดนปรภพก็ยังมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เคยควบคุมวิถีนี้”
“แต่เจ้าสามารถมั่นใจได้ว่าภายในบันทึกยมโลก จะต้องมีบันทึกเบาะแสที่เกี่ยวข้องกับกฎแห่งจุดจบอย่างแน่นอน”
นิ่งเงียบไปสักครู่ เขากล่าวกับซูอี้ “ตอนนี้ พวกเราก็อยู่ในที่มาแห่งภูมิมืดมิดแล้ว และบันทึกยมโลกก็อุบัติขึ้นในที่แห่งนี้ เจ้าควรจะถือโอกาสนี้ทำการรู้แจ้ง บางทีอาจจะสามารถสัมผัสกับความแยบยลบางอย่างของอวสานได้”
ซูอี้พยักหน้า
ลำดับถัดมา เขาพาผีเฒ่าแบกโลงไปจากต้นวัฏสงสารหมื่นภูมิ จากนั้นหยิบบันทึกยมโลกออกมา ลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ
หลังจากนั้นเขากับผีเฒ่าแบกโลงก็เริ่มทำสมาธิสงบใจ
ซูอี้อยากจะถือโอกาสนี้รู้แจ้งและผลักดันกฎแห่งจุดจบที่อยู่ภายในบันทึกยมโลก
ส่วนผีเฒ่าแบกโลงต้องการถือโอกาสนี้เก็บรวบรวมพลังโกลาหลของที่มาแห่งภูมิมืดมิด เพื่อลองนำไปซ่อมแซมพลังลำดับระเบียบที่อยู่ใน ‘แดนวัฏสงสาร’
เวลาผ่านพ้นไปทีละน้อย
จนกระทั่งผ่านพ้นไปเจ็ดวัน
วิ้ว!
บันทึกยมโลกที่ลอยเคว้งอยู่กลางอากาศมาโดยตลอด ปรากฏสะเก็ดแสงขึ้นกลางอากาศราวกับหนังสือที่ถูกเปิดทีละหน้า
อย่างรวดเร็ว เมื่อสัญลักษณ์โกลาหลที่ก่อตัวเป็นแสงสลัว ๆ ปรากฏขึ้นอย่างเงียบ ๆ พื้นที่แถบโกลาหลแห่งนี้เกิดความสั่นสะเทือนขึ้นมาในฉับพลัน ต้นวัฏสงสารหมื่นภูมิที่อยู่ห่างไกลออกไปก็พลอยสั่นสะเทือนตามไปด้วยเช่นกัน
ซูอี้ผู้นั่งสมาธิอย่างสงบพลันลืมตาขึ้น ลึกเข้าไปในลูกนัยน์ตาของเขา ปรากฏสัญลักษณ์โกลาหลในแบบเดียวกัน ส่องประกายลึกลับที่คล้ายกับอาทิตย์ยามอัสดง
“ในที่สุดก็จับเจ้าได้แล้ว” ซูอี้เอื้อมมือออกไปแตะเบา ๆ
วิ้ว!
บันทึกยมโลกสั่นระริกอย่างแรง สัญลักษณ์โกลาหลที่คล้ายกับอาทิตย์ยามอัสดงนั้นก็เลือนหายไป
จากนั้นทั้งหมดทั้งมวลของที่มาแห่งภูมิมืดมิดนี้ก็กลับสู่ความสงบนิ่งอีกครั้ง
“รู้แจ้งแล้วหรือ?”
ผีเฒ่าแบกโลงที่อยู่อีกด้านหนึ่งเอ่ยถามด้วยความคาดไม่ถึง
“ล่วงรู้ความเร้นลับเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ถึงกับเข้าใจ แต่ก็เพียงพอแล้ว”
ดวงตาลุ่มลึกของซูอี้สว่างใสราวกับดวงดาว “กฎแห่งจุดจบนี้เต็มไปด้วยพลังต้องห้ามอันยากจะเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ แต่พลังของมันก็น่ากลัวยิ่ง สมกับเป็นหัวใจสำคัญของวัฏสงสารจริง ๆ”
“ถึงแม้ข้าในตอนนี้จะรู้แจ้งเพียงแค่กระผีก แต่วันข้างหน้าไม่ช้าก็เร็วจะต้องควบคุมวิถีนี้ให้จงได้ ต่อให้ต้องทุ่มเทเวลาอันยาวนานและแรงกายแรงใจเพียงเท่าใดก็ยินดี!”
น้ำเสียงของซูอี้แฝงไว้ซึ่งความมุ่งมั่น
เขารู้สึกได้ว่ากฎแห่งจุดจบนี้มีความแข็งแกร่งเหลือคณา ลำพังเพียงแค่การรู้แจ้งเพียงน้อยนิด แต่ถึงกับชักนำพลังมหาวิถีในตัวเขาให้เดือดพล่านได้ แม้กระทั่งกลิ่นอายดาบเก้าคุมขังที่สงบนิ่งอยู่ในห้วงนึกคิดก็ยังได้รับความสั่นสะเทือนไปด้วย!
เมื่อก่อน ไม่ว่าซูอี้จะควบคุมมหาวิถีขั้นไหน ๆ ก็ยังไม่เคยทำให้ดาบเก้าคุมขังเกิดความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ขึ้นมาได้
และทั้งหมดนี้ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความเร้นลับและแข็งแกร่งของกฎแห่งจุดจบอย่างไม่ต้องสงสัย!
ดังที่เข้าใจกันดีว่ากฎแห่งจุดจบก็เป็นหัวใจสำคัญที่ประกอบเป็นมหาวิถีวัฏสงสารเช่นกัน!
ซูอี้นึกภาพไม่ออกเลยว่าสักวันหนึ่งเมื่อตนเองควบคุมมหาวิถีวัฏสงสารได้ทั้งหมดแล้ว พลังเช่นนั้นจะมีความมหัศจรรย์ถึงเพียงไหน
……….