บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1019: องค์วิญญาณอมตะ
ตอนที่ 1019: องค์วิญญาณอมตะ
……….
ตอนที่ 1019: องค์วิญญาณอมตะ
หญิงสาวสงบลงอย่างรวดเร็ว
เมื่อนางเห็นซูอี้กำลังรักษาผีเฒ่าแบกโลง นางก็ลังเลไปชั่วขณะก่อนจะกล่าวว่า “ศรดับสวรรค์ถูกฉาบด้วยอำนาจของ ‘กฎสูงสุดทวิภูมิ’ ซึ่งมีอำนาจเด็ดขาดอย่างยิ่ง หากมันแทงเข้าไปในร่างได้ จะไม่อาจกำจัดได้ด้วยวิธีปกติทั่วไป”
หลังจากชะงักไปเล็กน้อย นางก็เอ่ยเตือน “ยิ่งชักช้า อาการบาดเจ็บของเขาก็ยิ่งร้ายแรง เมื่อโลหิตและจิตวิญญาณถูกกลืนกินเหือดแห้ง เขาก็จะตายทันที”
สีหน้าของผีเฒ่าแบกโลงแปรเปลี่ยน และอดสบถแช่งไม่ได้ “ไอ้สารเลวนามชิงเซียวชั่วช้ายิ่งนัก!”
ใบหน้าของเขาซีดขาว บาดแผลที่อกไม่เคยเลือนหาย เขาสัมผัสได้ว่าพลังจากศรศักดิ์สิทธิ์สีเงินในร่างของเขาแพร่กระจายอย่างอิสระ
สิ่งนี้ทำให้ผีเฒ่าแบกโลงตระหนักว่าหญิงสาวผู้นี้ไม่ได้พูดให้ตกใจเล่น
ซูอี้ครุ่นคิดสักพัก และกล่าวว่า “ช่วยรักษาเขา แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
เขาพยายามแล้ว แต่บาดแผลของผีเฒ่าแบกโลงนั้นยากจะรับมือจริงแท้
เขาคิดว่าการใช้ปราณจากดาบเก้าคุมขังจะสามารถทำลาย ‘กฎสูงสุดทวิภูมิ’ ที่ว่านั่นได้ ทว่าหากทำเช่นนั้น ก็เป็นไปได้สูงมากว่าปราณดาบเก้าคุมขังจะทำอันตรายต่อผีเฒ่าแบกโลง
วาจาของซูอี้ทำให้สตรีผู้โอหังรู้สึกไม่สบายใจจนคิ้วงามขมวดเข้าหากัน
ทว่าท้ายที่สุดนางก็หยุดตนเองไว้
สถานการณ์สำคัญกว่าบุคคล นางต้องก้มหัวลง
“โปรดระวังวาจา แม้ข้าจะเอาชนะเจ้าที่นี่ไม่ได้ แต่หากเจ้าอยากฆ่าข้าก็อาจไม่สามารถทำได้”
หญิงสาวกล่าวพลางยกมือขึ้น ปลายนิ้วขาวกระตุกเล็กน้อย บังเกิดแสงสีทองเปล่งออกมา “เจ้าถอยออกไปก่อน”
ฉึบ!
นางสะบัดข้อมือ
แสงสีทองพุ่งแหวกอากาศเข้าไปในร่างของผีเฒ่าแบกโลง
ไม่นานนัก ร่างของผีเฒ่าแบกโลงก็สั่นกระตุก กระอักโลหิตสีดำออกมาเป็นแอ่ง
“ยอดเยี่ยมเลย เคล็ดวิชาอันใดกันหรือ?”
ผีเฒ่าแบกโลงอุทาน
ซูอี้หันไปมองสตรีโฉมงามในอาภรณ์หลากสีด้วยความประหลาดใจ
หญิงสาวกอดอกกล่าวอย่างเฉยเมย “แค่วิชาพื้น ๆ ไม่ต้องพูดถึงมันหรอก”
ซูอี้และผีเฒ่าแบกโลงมองหน้ากันแล้วระเบิดหัวเราะ ยังจะมาเชิดใส่กันอีก
ซูอี้กล่าวตรง ๆ “ตอบคำถามข้าสักหน่อย แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป”
หญิงสาวกะพริบดวงตาฉ่ำน้ำ วาจาของนางหวานใส “งั้นเจ้าก็ตอบคำถามข้าบ้างสิ?”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสารพัดวิชาเหลือเชื่อที่ซูอี้สำแดงก่อนหน้านี้ดึงความสนใจของหญิงสาวได้สำเร็จ
“แน่นอน”
ซูอี้พยักหน้า
“เจ้าเป็นใคร?”
ซูอี้ถามโดยไม่ลังเล
ที่มาของหญิงสาวผู้นี้ลึกลับไม่ธรรมดา และครั้งหนึ่งนางก็มีร่างเป็นหนอนไหมสีทองผู้กัดกินใบของต้นวัฏสงสารหมื่นภูมิ มองเช่นไรก็น่าอัศจรรย์
หญิงสาวตอบด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเรียกข้าว่าอาไฉ่หรือพี่หญิงไฉ่ก็ได้ ไม่ว่าอย่างไร ว่ากันด้วยอายุ ข้าก็มากกว่าเจ้า และด้านวิถีเต๋าข้าก็สูงส่งกว่าเจ้า เรียกข้าพี่หญิงก็ไม่เสียหาย”
ดวงตาของผีเฒ่าแบกโลงดูพิกล สตรีผู้นี้จงใจพยายามกดสัตว์ประหลาดเฒ่าให้ต่ำด้านความอาวุโส!
“แต่เจ้าเอาชนะข้าไม่ได้”
ซูอี้กล่าวลอย ๆ
รอยยิ้มของหญิงสาวชะงักไปชั่วขณะ จำเรื่องก่อนหน้านี้ที่นางเคยเกือบถูกซูอี้สังหารขึ้นมาได้ ใบหน้าน้อย ๆ จิ้มลิ้มดุจภาพวาดของนางเต็มไปด้วยความเจ็บแค้น
ซูอี้กล่าวเตือน “อีกอย่าง ข้าถามถึงที่มาของเจ้า ไม่ใช่นาม เมื่อตอบคำถามอย่าคิดเล็กคิดน้อยจนเลี่ยงประเด็นสำคัญสิ”
หญิงสาวผู้นี้ทั้งงดงามและแสนกลยิ่ง ซูอี้ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยอมตอบอย่างหมดเปลือก
“ที่มาของข้า…”
หญิงสาวผู้อ้างตนว่าชื่ออาไฉ่มีแววตาซับซ้อนเล็กน้อย “เหมือนที่เจ้าเห็นก่อนหน้านี้ ร่างของข้าคือหนอนไหมสีทองอันเกิดจากที่มาแห่งความโกลาหล และได้เห็นสารพัดมหาวิถีในยามก่อกำเนิดและสูญสลาย ข้าเฝ้ามองการเปลี่ยนแปรของดวงดาวมาตลอดยุคสมัย ก้าวเดินเดียวดายในโลกหล้า คุ้นชินกับการเห็นความสุขและความโศกของสรรพชีวิต และยังเคยหลบหนีไปยังสถานที่นอกโลกพร้อมด้วยแสงสีครามเป็นเวลาหลายพันปี…”
ซูอี้ขัดจังหวะ “หยุด”
อาไฉ่กล่าวอย่างขุ่นเคือง “อันใดอีกเล่า?”
“น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง”
ซูอี้ถูหว่างคิ้ว “บอกข้ามาก็พอว่าตัวเจ้าในยามนี้มาจากหนใด”
อาไฉ่รำคาญใจเล็กน้อย มองซูอี้ตาขวางพลางกล่าว “หากเป็นที่อื่นล่ะก็ แค่เพราะการวางตัวโอหังของเจ้า ข้าคงฆ่าเจ้าไปแล้วไม่รู้กี่หน”
ผีเฒ่าแบกโลงหัวเราะร่า การคุกคามด้วยวาจานั้นมักจะเป็นสิ่งที่อ่อนแอที่สุด
หากมีฝีมือจริง ไฉนเล่าจะมัวมาพูดจาระบายอารมณ์ ลงมือเสียก็จบ
ทว่าเมื่อนึกถึงเรื่องที่อาไฉ่ช่วยรักษาเขาเมื่อครู่ ในที่สุดเขาก็ยั้งปากไม่พูดจาก่อกวน
บางทีอาจเป็นเพราะนางตระหนักว่าซูอี้ไม่ได้หลอกง่ายนัก อาไฉ่จึงไม่ได้พูดจาข่มมากไปกว่านี้
ไม่นานนัก ซูอี้ก็ได้รู้ว่าสตรีผู้นี้มาจากภูมิมหาจักรดาราอันมีนามว่า ‘หมื่นโฉลก’ ซึ่งตั้งอยู่ในส่วนลึกของจักรวาลพร่างดาว
ตลอดกาลนานมา นางฝึกฝนอยู่ใน ‘สำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ’ ขุมกำลังอันดับหนึ่งใน ‘ภูมิดาราหมื่นโฉลก’
สำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิมีภูมิหลังโบราณยิ่ง กล่าวได้ว่าเป็นนายเหนือหนึ่งเดียวแห่งภูมิดาราหมื่นโฉลก
และตัวตนของหญิงสาวในสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมินั้นสูงส่งอย่างยิ่ง นางถูกยกย่องเป็น ‘องค์วิญญาณอมตะ’!
ชายผมขาวผู้เรียกตนเองว่า ‘ชิงเซียว’ เมื่อก่อนหน้านี้คือผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ เขาดูอายุน้อย ทว่าที่จริงกลับเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าผู้ใช้ชีวิตมาไม่อาจนับปีได้
เมื่อสิบปีก่อน ยามชิงเซียวเดินทาง เขาได้พบมหาลาภท้าทายสวรรค์มาหนึ่งสิ่ง และนั่นเกี่ยวข้องกับ ‘เส้นทางอสงไขย’
หลังจากชิงเซียวได้สำรวจอนุมาน เขาก็ตัดสินได้ว่า ‘เส้นทางอสงไขย’ นั้นน่าจะเป็น ‘เส้นทางเวียนวัฏ’ อันนำไปสู่การเกิดใหม่!
ยิ่งกว่านั้น เขายังได้เดินข้ามเส้นทางนั้นด้วยตนเอง และในที่สุดก็ค้นพบต้นวัฏสงสารหมื่นภูมิอันเป็นที่มาของภูมิมืดมิดนี้
ดังนั้นชิงเซียวจึงกลับสำนักเป็นครั้งแรก และบอกเจ้าสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิเกี่ยวกับเรื่องนี้
ท้ายที่สุด ภายใต้คำสั่งของเจ้าสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ ชิงเซียวก็พาหญิงสาวนามอาไฉ่ผู้เป็น ‘องค์วิญญาณอมตะ’ ไป และในที่สุดก็ส่งอาไฉ่สู่ต้นวัฏสงสารหมื่นภูมิผ่าน ‘เส้นทางอสงไขย’ ได้
เมื่อรู้เช่นนี้ ซูอี้ก็อดแปลกใจไม่ได้
ชิงเซียวได้พบ ‘เส้นทางเวียนวัฏ’ อันนำไปสู่ภูมิดาราหมื่นโฉลก และเขาก็ใช้เส้นทางนี้ส่งตัวหญิงสาวนามอาไฉ่มายังต้นวัฏสงสารหมื่นภูมิ!
น่าเหลือเชื่อจริงแท้
“นี่ไม่ใช่ผลงานของชิงเซียว”
อาไฉ่กล่าว “ที่สุดปลายเส้นทางเวียนวัฏมีอสงไขยไร้จำกัด ไม่มีผู้ใดสามารถข้ามผ่านได้ กระทั่งชิงเซียวยังสามารถทำได้เพียงใช้วิชาลบตัวตนออกจากต้นวัฏสงสารหมื่นภูมิ ทำได้เพียงฉายร่างบนใบไม้ แต่ไม่อาจเข้ามาที่นี่ได้”
หลังจากชะงักไปเล็กน้อย นางก็กล่าวอย่างเฉยเมย “แต่ข้าต่างออกไป ข้ามีพรสวรรค์ประจักษ์ซึ่งสามารถเดินทางข้ามอสงไขย เคลื่อนร่างผ่านกำแพงแบ่งเขตแดนได้ แน่นอน สิ่งสำคัญที่สุดคือพลังนี้ของข้าฝืนต้านและสลายอำนาจเวียนวัฏสงสารได้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผีเฒ่าแบกโลงก็รู้สึกตกใจทันที
ดวงตาของซูอี้เบนไปมองตราสีทองที่หว่างคิ้วของหญิงสาวโดยไม่รู้ตัว
ตรานั้นดูเหมือนวงแหวนศักดิ์สิทธิ์อันวนซ้ำไม่รู้จบสิ้น และยังมีเสน่ห์อมตะอันไร้จุดเริ่มจุดจบ ลึกลับพิสดารยิ่ง
ซูอี้สงสัยว่าพรสวรรค์ประจักษ์ที่หญิงสาวว่านี้น่าจะเกี่ยวข้องกับอำนาจที่ตราสีทองนี้สื่อ!
น่าเสียดายที่หญิงสาวไม่ได้อธิบายลงลึกถึงพรสวรรค์ประจักษ์นี้ของนาง เพราะสิ่งนี้คือความลับของนางเอง
“หรือเจ้าจะมาที่นี่เพื่อแปลงร่างเปลี่ยนเป็นผีเสื้อหรือ?”
ซูอี้ถาม
แววตากระจ่างดุจน้ำพุของอาไฉ่ปรากฏจิตสังหารซึ่งมิอาจตรวจพบได้ง่าย ๆ “เปล่า ข้ามาที่นี่เพื่อความอยู่รอด เรื่องนี้เป็นเพียงโชคในคราวเคราะห์ ซึ่งเกิดขึ้นโดยบังเอิญเท่านั้น”
“เพื่อความอยู่รอด? หมายความเช่นไร?”
ซูอี้ถาม
“ว่าไปแล้ว… มันก็เกี่ยวข้องกับพรสวรรค์ประจักษ์ของข้า”
อาไฉ่ดูเศร้าเล็กน้อย “วิถีเต๋าของบุตรสาวเจ้าสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิบาดเจ็บสาหัส ไม่ว่าวิชาใดก็ไม่อาจรักษา และมีทางเดียวที่จะทำให้นางรอดตาย นั่นคือต้องเวียนวัฏสงสาร!”
“และพรสวรรค์ประจักษ์ของข้าสามารถรวบรวมพลังกฎเกณฑ์ทั่วฟ้าดินได้ หลังจากชิงเซียวพบต้นวัฏสงสารหมื่นภูมิที่นี่ เจ้าสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิก็หวังว่าข้าจะสามารถนำ ‘พลังเวียนวัฏ’ กลับไปให้บุตรสาวของเขาได้บรรลุวัตถุประสงค์เวียนวัฏสงสารได้”
กล่าวถึงยามนี้ บนใบหน้าจิ้มลิ้มงดงามของอาไฉ่ก็มิอาจเก็บงำจิตสังหารได้อีกต่อไป “หากเพียงเท่านั้น ข้าจะช่วยก็ย่อมได้ ทว่าข้าไม่คาดเลยว่าเจ้าสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิจะมีจุดประสงค์อื่น เขาวางแผนให้บุตรสาวของเขายึดร่างของข้าหลังจากที่ข้าเก็บ ‘พลังเวียนวัฏ’ เสร็จสิ้น!”
ยึดร่าง!
หัวใจซูอี้และผีเฒ่าแบกโลงหยุดเต้นชั่วขณะ หากเป็นเช่นนี้จริง งั้นเจ้าสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิก็ไร้เมตตาจริงแท้
“หัวใจคนไม่อาจกลืนช้างได้ เจ้าสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิรู้ดีว่าพรสวรรค์ประจักษ์ของข้าแข็งแกร่งเพียงไร และยังรู้ด้วยว่าหากเขาช่วยให้บุตรสาวของนางยึดร่างของข้าได้ ไม่เพียงบุตรสาวของเขาจะหายจากการบาดเจ็บ แต่ยังมีความหวังแปรร่างสู่จุดสูงขึ้นในภายหน้าอีกด้วย!”
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ อาไฉ่ก็แค่นยิ้ม “ชิงเซียวก็รู้เรื่องนี้ พวกเขาคิดว่าแผนของพวกตนสมบูรณ์แบบแล้ว แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่ายามพวกเขาไม่อยู่สำนัก ข้าซึ่งอยู่ในสำนักได้ลอบพบบุตรสาวเจ้าสำนักเป็นการส่วนตัว”
“ขณะนั้น เดิมข้าอยากตรวจสอบการบาดเจ็บวิถีเต๋าของนาง แต่ใครเล่าจะคิดว่าข้าจะได้พบแผนสมคบคิดนี้จากวิญญาณของบุตรสาวผู้นั้น!”
“ดังนั้นข้าจึงทำเป็นไม่รู้ ออกเดินทางกับชิงเซียว ทว่าที่จริงข้ารู้แก่ใจแล้วว่าเมื่อข้ากลับจากที่นี่ ข้าคงตายแน่แท้ ดังนั้นข้าจึงจงใจอ้อยอิ่งอยู่ที่นี่มาโดยตลอด”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ อาไฉ่ก็มองซูอี้พลางรำพัน “แต่ข้าไม่คิดเลยว่าจะได้มาพบพวกเจ้าที่นี่”
แต่จากนั้น นางก็แย้มยิ้มหวานอีกครั้ง “ทว่าการพบพวกเจ้าก็นับเป็นโชคในคราวเคราะห์ ทำให้ข้าสามารถพัฒนาตนเองท่ามกลางความเสื่อมสลาย ทิ้งตรวนเก่าที่พันธนาการข้ามาแสนนานและเดินทางสู่วิถีใหม่ที่เปลี่ยนแปลงแตกต่างไปจากเดิมโดยสมบูรณ์ได้!”
นางดีใจมาก ดวงตาทอประกายเจิดจรัส
ยามนี้ ในที่สุดซูอี้และผีเฒ่าแบกโลงก็เข้าใจ
มิน่าเล่า เมื่อคราก่อนที่พวกเขาต่อสู้กับชิงเซียว อาไฉ่จึงไม่เคยสนใจช่วยเหลือ
และเมื่อพวกเขาลงมือโจมตีอาไฉ่ในร่างหนอนไหมสีทอง ชิงเซียวจึงโมโหกระวนกระวายนัก
ที่แท้เหตุผลก็เป็นเช่นนี้!
……….