บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1015: หนอนไหมสีทอง
ตอนที่ 1015: หนอนไหมสีทอง
……….
ตอนที่ 1015: หนอนไหมสีทอง
จากคำร่ำลือ บันทึกยมโลกนั้นคือวัตถุศักดิ์สิทธิ์อันเกิดขึ้นพร้อมกับที่มาแห่งภูมิมืดมิด มันถูกสลักลวดลายวิถีอันยุ่งเหยิงเกินหยั่งรู้ราวคัมภีร์จากสวรรค์
และยังมีคำเล่าลือว่าบันทึกยมโลกได้สลักประสบการณ์ต่าง ๆ ของมหาเทพมืดมิดแต่ละยุคสมัยเอาไว้ และบรรจุเคล็ดมรดกสูงสุดในภูมิมืดมิดเอาไว้
กล่าวสั้น ๆ ก็คือ คำเล่าลือประเภทเดียวกันนี้มีอยู่มากมาย
ทว่านับแต่การพังทลายของดินแดนปรภพเมื่อบรรพกาล บันทึกยมโลกก็มิได้ปรากฏสู่โลกหล้าอีกเลย
ซูอี้ไม่คาดเลยว่าสมบัตินี้ แท้จริงแล้วอยู่ในมือของผีเฒ่าแบกโลง!
“ในอดีต ไฉนข้าจึงไม่รู้เล่าว่าสมบัตินี้อยู่กับเจ้า?”
ซูอี้แปลกใจ
ผีเฒ่าแบกโลงถอนใจ “ในอดีต เจ้าไม่รู้นี่ว่าข้าคือผู้ปกครองภูมิมืดมิด ‘มหาเทพมืดมิด’ แห่งดินแดนปรภพ”
“ไฉนเจ้าจึงอยากให้ข้าเก็บสมบัติทั้งสองนี้ไว้เล่า?”
เขาถามด้วยความสงสัย
“เผื่อไว้น่ะ”
ผีเฒ่าแบกโลงกล่าวพลางมองประตูเวียนสงสาร “เมื่อเข้าสู่เส้นทางเวียนวัฏ เรื่องราวเกินคาดเดาจะมีมากมายเกินคะเน ต้องเตรียมตัวล่วงหน้า”
เขากล่าวพลางยัดสมบัติทั้งสองชิ้นใส่มือซูอี้ “รับไปสิ ไม่ได้ให้เจ้านะ แค่ฝากเก็บไว้ก่อน”
ซูอี้ไม่ได้ปฏิเสธ และกล่าวว่า “บันทึกยมโลกนี้ซ่อนสิ่งใดไว้กันแน่?”
เขาสนใจมาก ในภูมิมืดมิดนี้ไม่มีสมบัติใดเลื่องชื่อไปกว่าบันทึกยมโลกและเป็นตำนานได้เท่ามันอีกแล้ว
ผีเฒ่าแบกโลงเอ่ยเร่ง “เราจะคุยเรื่องนี้กันทีหลัง ลงมือกันก่อนเถอะ”
ซูอี้ครุ่นคิด ก่อนจะเก็บสมบัติทั้งสองไป และทะยานสู่ประตูเวียนวัฏสงสารก่อนโดยไม่ลังเล
ผีเฒ่าแบกโลงตามไปติด ๆ
เมื่อร่างทั้งสองหายเข้าไปในประตูเวียนวัฏสงสาร มันก็หายไปทันที
…
“นี่หรือเส้นทางเวียนวัฏ? มีบางอย่างผิดปกติแล้ว ไฉนจึงไร้สัมภเวสีวิญญาณร้ายบนเส้นทางนี้กัน?”
ในโลกอันพร่าสลัวราวกับเป็นความว่างเปล่า ไร้ท้องนภา ไร้แดนดิน มีเพียงสุญญะอันเวิ้งว้างว่างเปล่า
แม้แต่การบอกทิศทาง พวกเขาก็ยังทำไม่ได้
ผีเฒ่าแบกโลงงุนงง
เมื่อเขาเข้ามาในเส้นทางเวียนวัฏ เขาระแวดระวังสุดตัว ทว่าใครเล่าจะคิดว่าผ่านไปครึ่งชั่วยาม แต่เขาก็ยังไม่ได้พบอันตรายใด ๆ เลย
“ที่นี่แตกต่างจากยามแรกที่ข้ามาจริง ๆ”
ซูอี้เองก็แปลกใจ
กาลก่อนเมื่อเขาเข้ามาในเส้นทางเวียนวัฏ เขาได้พบกับสัมภเวสีวิญญาณร้ายนับไม่ถ้วนและต้องเปิดศึกฆ่าฟันไร้จุดจบ
ทั้งยังต้องกินและหล่อหลอมวิญญาณร้ายเหล่านั้นเพื่อฟื้นพลังกายที่ตนเสียไป
ทว่ายามนี้เมื่อหวนกลับสู่เส้นทางเวียนวัฏอีกครั้ง ในโลกอันมืดสลัวว่างเปล่านี้ อย่าว่าแต่สัมภเวสีวิญญาณร้ายใด ๆ แค่สิ่งอื่นที่ขยับได้เขายังไม่พบเห็น
ระหว่างทางเงียบสงัด ไร้สุ้มเสียงใด ๆ โดยสิ้นเชิง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงมหันต์บางอย่างขึ้นกับเส้นทางเวียนวัฏนี้แน่แท้ ดังนั้นเหล่าสัมภเวสีบนเส้นทางนี้จึงหายไปหมด!
สิ่งนี้ทำให้ซูอี้ตกตะลึง
“ระวังด้วย”
ซูอี้กล่าวเตือน “หากเกิดอุบัติเหตุใด อย่าลืมปกป้องข้าด้วย”
ผีเฒ่าแบกโลงผงะไปชั่วขณะ “ข้าเนี่ยนะปกป้องเจ้า?”
ซูอี้กล่าวอย่างแน่ใจชัดเจน “ข้าในยามนี้อยู่เพียงขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นต้น หากได้พบอันตรายใด ไม่ใช่เจ้าหรือที่ควรออกหน้า?”
มุมปากของผีเฒ่าแบกโลงกระตุกอย่างรุนแรง
ขณะสนทนา ทั้งสองก็เดินหน้าต่อ
ระหว่างทาง ซูอี้ก็สัมผัสรอบข้างอย่างใจเย็น และหลังผ่านไปเสี้ยวชั่วยาม ในที่สุดเขาก็สัมผัสปราณลึกลับสายหนึ่งได้อย่างเลือนราง
เขากล่าวอย่างใจชื้น “โชคยังดี ต้นวัฏสงสารหมื่นภูมิยังอยู่!”
เขาเร่งฝีเท้าเดินตามสายปราณลึกลับนั้นไปทันที
ผีเฒ่าแบกโลงตามเขาไปติด ๆ
ไม่นานนัก เสียงคำรามแห่งมหาวิถีก็สะท้านสั่นจากความว่างเปล่าที่อยู่ห่างออกไป ทำลายบรรยากาศเงียบงันโดยรอบลง
“หรือนั่นจะเป็นที่ตั้งของที่มาแห่งภูมิมืดมิด?”
ในที่สุด ผีเฒ่าแบกโลงก็เห็นว่ามีคลื่นปราณปั่นป่วนดุจท้องทะเลแผ่ออกมาแต่ไกล และเขาก็กล่าวขึ้นมาอย่างตื่นเต้น
“ถูกต้อง”
ซูอี้ก็รู้สึกตื่นเต้นเช่นกัน
ในคราแรก เขาได้บรรลุจุดประสงค์เวียนวัฏเกิดใหม่ ณ หน้าต้นวัฏสงสารหมื่นภูมิ และยังได้ดูดซับปราณต้นกำเนิดของที่มาแห่งภูมิมืดมิดไปมากมาย ดังนั้นเคล็ดเวียนวัฏสงสารที่เขาบรรลุจึงพัฒนาไปอีกขั้น
น่าเสียดายที่ก่อนเขาจะได้ดูดซับปราณโกลาหลมากขึ้น พลังปราณของเขากลับสั่นพ้องร่วมกับต้นวัฏสงสารหมื่นภูมิ เขาจึงถูกจับเวียนวัฏสงสารมาเกิดใหม่ในชาตินี้
และยามนี้เมื่อหวนคืนถิ่นเก่า และที่มาแห่งภูมิมืดมิดก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาอีกครั้ง!
“ข้ายังคิดอยู่เลยว่าเส้นทางเวียนวัฏนี้จะร้ายกาจเพียงไร ใครเล่าจะคิดว่าท้ายที่สุดจะตื่นตูมไปเอง…”
ผีเฒ่าแบกโลงพึมพำ
ระหว่างทางไร้อันตรายใด ๆ ซึ่งทำให้ผีเฒ่าแบกโลงรู้สึกไม่เชื่อเล็กน้อย
“ข้าหวังจริง ๆ ว่าเราจะตื่นตูมกันไปเอง”
ซูอี้พึมพำกับตนเองขณะทะยานไปสู่พื้นที่อันเต็มไปด้วยปราณโกลาหล
ตู้ม!
ความอลหม่านแผ่ซ่านปกคลุมทั่วสุญญะ ยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขต อำนาจนั้นรุนแรงดุจอสนีบาตมหาวิถี ส่งเสียงครืนครางพลุ่งพล่าน
อำนาจของกฎเกณฑ์ต้นกำเนิดอันไม่อาจหยั่งทราบวนเวียนอยู่ท่ามกลางความโกลาหลดุจเกลียวคลื่น ปราณที่มันแผ่ออกมาแข็งแกร่งดุจแรงกดดันจากสวรรค์ น่าหวาดหวั่นไร้ประมาณ
แรงกดดันที่กดทับผีเฒ่าแบกโลงเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง ร่างของเขาเกร็งแข็ง สภาวะอารมณ์ถูกกระทบจนสะท้านถึงวิญญาณ
เหมือนเช่นที่ปุถุชนเห็นเทพเซียน และผู้ฝึกตนได้พบวิถีแห่งสวรรค์
เพียงปราณสายหนึ่งของมันก็สามารถทำให้ผีเฒ่าแบกโลงรู้สึกอึดอัดได้ เขารู้สึกเหมือนพลังปราณทั่วกายถูกปิดกั้น ร่างยากเคลื่อนไหวราวแบกมหาคีรีบรรพกาลไว้เบื้องหลัง
สีหน้าของเขาวูบไหวไปมา หอบหายใจหนักหน่วง แม้ว่าเขาจะเรียกใช้การฝึกฝนทั้งหมดที่สั่งสมมา ก็ยังรู้สึกเหมือนเขากำลังจะถูกบดขยี้สลายไป และไม่อาจทนได้อีกต่อไป
ฉัวะ!
ซูอี้ผู้เดินนำหน้าขยับมือประทับตรา และกฎเวียนวัฏสงสารก็แปรเปลี่ยนเป็นเปลวเพลิงห้อมล้อมรอบมือของซูอี้ราวกับถือคบเพลิง
สถานที่ซึ่งเพลิงจากคบเพลิงนั้นฉายส่อง ปราณโกลาหลในบริเวณเหล่านั้นอ่อนตัวลงอย่างกะทันหัน
แทบจะในขณะเดียวกัน ผีเฒ่าแบกโลงก็ดูเหมือนได้ปลดเปลื้องมหาคีรีบนหลัง ร่างของเขาจึงผ่อนคลายลง
เขาพึมพำด้วยสีหน้าจริงจัง “พลังของที่มาแห่งภูมิมืดมิดนี้ร้ายกาจจริงแท้ เพียงหนึ่งสายปราณก็เกือบทำลายข้าได้แล้ว! เกรงว่าหากเข้าไปใกล้กว่านี้อีก ข้าคงได้ตายในพริบตาแน่…”
“พลังโกลาหลคือที่มาแห่งภูมิมืดมิด การต่อสู้กับมันก็เหมือนต่อกรกฎเกณฑ์ต้นกำเนิดแห่งภูมิมืดมิด ไม่มีผู้ใดรับได้หรอก”
ซูอี้กล่าวอย่างราบเรียบ “ทว่า ขอเพียงควบคุมกฎเวียนวัฏสงสารได้ เจ้าจะสามารถปลดหายนะนี้และรวมเป็นหนึ่งกับความโกลาหลได้”
“รวมเป็นหนึ่ง?”
“ถูกต้อง เหมือนเช่นสายนทีเวียนบรรจบทะเล ทุกสิ่งเวียนกลับสู่จุดกำเนิด มีเพียงทางนี้เท่านั้นที่เราจะเลี่ยงการสลายเป็นเสี่ยงได้”
ระหว่างสนทนา ซูอี้ก็ได้นำทางไปสู่พื้นที่อันโกลาหลไร้ขอบเขต
ผีเฒ่าแบกโลงตามไปในระยะประชิด
ระหว่างทาง ซูอี้ใช้มือขวาถือคบเพลิงที่จุดขึ้นด้วยกฎเวียนวัฏสงสาร ประกายแสงห่อหุ้มร่างของเขาและผีเฒ่าแบกโลงเอาไว้
เมื่อเข้าไปสู่พื้นที่โกลาหล เขาก็เหมือนวารีเคลื่อนจากธารสู่ทะเล ไร้อันตรายใด ๆ
สิ่งนี้ทำให้ผีเฒ่าแบกโลงค่อย ๆ ผ่อนคลายลง
“เจ้ายังต้องระวังตัวต่อจากนี้ อย่าไปสัมผัสปราณของต้นวัฏสงสารหมื่นภูมิ หาไม่ เป็นไปได้มากว่าเจ้าจะได้เกิดใหม่จริง ๆ”
ซูอี้พลันออกคำเตือน
ปัญหานี้ดูจะไม่ได้มีความหมายนัก
ทว่าซูอี้รู้ดีว่าเมื่อเวียนวัฏสงสารฝึกฝนใหม่ ผลกรรมวิถีที่เขาสั่งสมมาชั่วชีวิตคงได้เสียเปล่าแน่ ในชาติถัดไป ไม่เพียงแต่เขาต้องฝึกฝนใหม่หมด แต่ยังไม่อาจทราบได้ด้วยว่าจะไปเกิดใหม่ ณ โลกภูมิใด
ผีเฒ่าแบกโลงพยักหน้า
เขาย่อมรู้ผลที่ตามมาอยู่แล้ว
วูบ!
ระหว่างเดินไปท่ามกลางความโกลาหล พลังต้นกำเนิดกระเพื่อมไหวดุจสายธาร กฎและพลังอันเก่าแก่ทั้งหลายกำลังพลุ่งพล่านอยู่ภายใน ทำให้ผู้มองรู้สึกดุจจมในภวังค์ราวหวนคืนมาตุภูมิแห่งมหาวิถี
ทันใดนั้น ม่านตาของผีเฒ่าแบกโลงก็ขยายตัว ไกลออกไปในความโกลาหลปรากฏมหาพฤกษาอันลึกลับยิ่ง!
ต้นไม้นี้สูงใหญ่ราวขุนเขาศักดิ์สิทธิ์ กิ่งใหญ่ราวขนดมังกร ก้านสาขาหนาแน่นยืดยาวหายเข้าไปในสุญญะโกลาหล
ปราณโกลาหลพลิ้วลงดุจน้ำตกสู่มหาพฤกษานี้
เมื่อมองจากระยะไกล มันดูราวกับพฤกษาทิพย์จากเก้าชั้นฟ้าอันเชื่อมโยงเป็นตายและภพภูมิต่าง ๆ ไว้ด้วยกัน มองแล้วช่างน่าตกตะลึง
“ต้นวัฏสงสารหมื่นภูมิ… ใช่จริง ๆ ด้วย…”
ผีเฒ่าแบกโลงอ้าปากค้าง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
เขาคือมหาเทพมืดมิดองค์สุดท้ายแห่งดินแดนปรภพ แต่นี่ก็เป็นคราแรกที่เขาได้เข้าสู่ที่มาแห่งภูมิมืดมิด และได้เห็นพฤกษาศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีอยู่ในตำนานนี้!
หลังจากเดินหน้าไปสักพัก ผีเฒ่าแบกโลงก็เห็นใบไม้บนต้นวัฏสงสารหมื่นภูมิต่างฉายภาพโลกภูมิหนึ่ง แปลกประหลาดแตกต่างกันไป
ผีเฒ่าแบกโลงรู้ว่าโลกภูมิเหล่านี้มีอยู่จริง และต้นวัฏสงสารหมื่นภูมินี้ก็สามารถเวียนวัฏสงสารเกิดใหม่ในโลกภูมิเหล่านั้นได้!
“เราเข้าไปใกล้กว่านี้ไม่ได้ หยุดที่นี่ก็ได้นะ”
ซูอี้ชะงักหยุด
เขาสัมผัสได้แล้วว่าปราณที่แผ่ออกมาจากต้นวัฏสงสารหมื่นภูมิที่อยู่ห่างออกไปนั้นยิ่งใหญ่และพลุ่งพล่านดุจทะเลอันน่ากลัว
หากฝืนต่อกรกับมัน คงไม่แคล้วถูกอำนาจพฤกษานี้กวาดออกไป และบังคับให้ ‘เวียนว่ายตายเกิดใหม่’ เป็นแน่
ผีเฒ่าแบกโลงพยักหน้า
เขามายังที่มาแห่งภูมิมืดมิดนี้เพื่อทำความเข้าใจและควบคุมเคล็ดเวียนวัฏสงสาร เพื่อหาว่าเขาจะสามารถนำอำนาจนี้ออกไปซ่อมแซมกฎเวียนวัฏสงสารอันพังทลายของ ‘แดนวัฏสงสาร’ ได้หรือไม่
“หือ? สัตว์ประหลาดเฒ่าซู เจ้าดูสิ ใบไม้นั่นแปลกจัง!”
ทันใดนั้น ผีเฒ่าแบกโลงก็อุทานอย่างแปลกใจ
เมื่อมองตามไป เขาก็เห็นว่าบนกิ่งหนึ่งบนต้นวัฏสงสารหมื่นภูมิที่อยู่ไกลออกไป มีขนาดใหญ่ราวกับบ้านกำลังเรืองแสงสว่างไสว และปรากฏเป็นภาพร่างอันตระการตาของโลกใบหนึ่ง
ทว่าเมื่อมองดี ๆ จะพบว่าใบไม้นั้นสั่นไหวเล็กน้อย
เหนือก้านใบไม้นั้นมีแสงสีทองทอประกาย และหากมองดี ๆ จะพบกับหนอนไหมสีทองตัวหนึ่งที่มีความยาวราวหนึ่งจั้ง กำลังกัดกินใบไม้ใบนี้อยู่!
ม่านตาของซูอี้หดตัว
หนอนไหมสีทองกำลังกัดกินใบต้นวัฏสงสารหมื่นภูมิ!
ควรค่าจดจำว่าพฤกษานี้ปกคลุมด้วยอำนาจต้นกำเนิดของภูมิมืดมิด และพัฒนาเป็นกฎเกณฑ์สารพัด การบดขยี้ตัวตนแข็งแกร่งเยี่ยงผีเฒ่าแบกโลงนั้นแสนง่ายดายสำหรับมัน
ทว่าหนอนไหมสีทองกลับสามารถกัดกินใบของพฤกษานี้ได้!
“นี่มันสัตว์เทพใดกัน?”
ผีเฒ่าแบกโลงเปี่ยมด้วยความฉงน
……….