บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1009: ศาสตร์ตบหน้าอย่างสง่างามของทัศนาจารย์
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 1009: ศาสตร์ตบหน้าอย่างสง่างามของทัศนาจารย์
ตอนที่ 1009: ศาสตร์ตบหน้าอย่างสง่างามของทัศนาจารย์
……….
ตอนที่ 1009: ศาสตร์ตบหน้าอย่างสง่างามของทัศนาจารย์
แววตาของซูอี้เหม่อลอยเล็กน้อย
เขาทุ่มพลังทั้งหมดเพื่อเตรียมปลดปล่อยการโจมตีอันแข็งแกร่งที่สุด ลืมสิ้นเป็นตาย
ทว่ายังไม่ทันได้ลงมือ ตัวแปรพลันบังเกิด
ซูอี้แปลกใจเมื่อเห็นว่าปราณดาบยาวหนึ่งจั้งตรงหน้าเขาถูกทำลายสลายไป
จากนั้น เขาก็รู้สึกว่าดาบเก้าคุมขังซึ่งสั่นไหวรุนแรงอยู่ในจิตวิญญาณของเขาค่อย ๆ สงบลง
เหลือเพียงตรวนเส้นหนึ่งซึ่งพันรอบดาบเก้าคุมขังกำลังร่ายรำอย่างรุนแรง ณ ขณะนี้!
วูบ!
ตรวนนั้นลึกลับเกินตรวจสอบ และดูมันจะมีสัญญาณปลดตัวเองจากดาบเก้าคุมขัง
ขณะเดียวกัน อำนาจอันไม่อาจบรรยายก็แผ่ออกมาจากตรวนเส้นนั้น
จากนั้น ซูอี้ก็ได้ยินเสียงถอนหายใจอย่างเดียวดาย
เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย และพลันเงยหน้าขึ้นมอง
ณ ใจกลางสระเวียนวัฏ ที่กราบเรือยมโลกสีดำ ดาบแห่งโลกาซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะนั้นดูจะตื่นขึ้นจากความเงียบงันชั่วกาลนาน และใบดาบของมันค่อย ๆ เผยสู่เวหา!
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
เสียงครวญอันเปี่ยมความรู้สึกแห่งดาบนั้นสนั่นลั่นครึกโครม สะท้อนก้องทั่วฟ้าดิน ภาวะดาบอันเย็นเยียบเกินใดเทียบแผ่ซ่านปกคลุมทั่วแดนวัฏสงสาร สร้างเป็นบรรยากาศชวนอึดอัดใจ
น่ากลัวยิ่งนัก
วิชาดาบอันแข็งแกร่งกดดันนี้ดูราวพร้อมบดขยี้เวหา ทลายวิถีนับพัน ทำให้ซูอี้อ้าปากค้าง
และยามนี้เองที่เขาค้นพบว่าเพลิงดาราศักดิ์สิทธิ์อันปกคลุมทั่วหล้าถูกทำลายสิ้นแล้ว!
“นี่…”
ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานตะลึง
ชุดผ้าของเขาสะบัดโบก ลมหายใจเดือดพล่าน ดวงตาดุจแสงทองจับจ้องดาบแห่งโลกาที่เคลื่อนคล้อยสู่เวหา สีหน้าเยือกเย็นของเขาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว
“เฮอะ!”
ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานแค่นเสียงอย่างเย็นชา จิตสังหารพลุ่งพล่านในแววตา ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือคว้าบางอย่าง
หมู่ดาวอันทรงพลังแปรเปลี่ยนเป็นปราณดาบแผดเผา ฟาดฟันเข้าใส่ซูอี้อีกครั้ง
เขาสังเกตเห็นแล้วว่าการเคลื่อนไหวของดาบแห่งโลกาดูจะเกี่ยวเนื่องกับซูอี้ ซึ่งทำให้เขารู้สึกเกรงกลัว
ตู้ม!
ทั่วฟ้าดินปั่นป่วน
ปราณดาบอันแผดเผาด้วยเพลิงดาราแข็งแกร่งสูงส่งราวจักรวาลพร่างดาว น่ากลัวเสียยิ่งกว่าดาบก่อนหน้า!
ทว่ายามนี้ ปราณดาบสายหนึ่งพลันปรากฏขึ้นและกวาดผ่านท้องนภา ปราณดาบของชายสวมหมวกไม้ไผ่สานถูกฟันระเบิดออกราวกระดาษ แปรเปลี่ยนเป็นท้องนภาประดับดาวมลายสิ้น
ปราณดาบสายนั้นดูราวแสงสว่างจากสวรรค์ เรียบง่ายตรงไปตรงมา
ทว่าหนึ่งการโจมตีกลับเปี่ยมอำนาจไร้เทียมทาน!
ซูอี้ตะลึง ช่างเป็นดาบที่แข็งแกร่งยิ่ง!
ยมบาลสาวตื่นขึ้นจากภวังค์ในยามนี้ และเมื่อนางเห็นภาพดังกล่าว ดวงตาเปี่ยมเสน่ห์ก็อดเบิกกว้างไม่ได้
เป็นดาบแห่งโลกาหรือที่สำแดงฤทธา!?
ม่านตาของชายสวมหมวกไม้ไผ่สานหดตัว เขาไม่เหลือเวลาให้สนใจซูอี้อีก จากนั้นหันไปมองดาบแห่งโลกาซึ่งปรากฏขึ้นสู่เวหา ก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้าไม่แน่ใจ “เจ้า… หรือ?”
ทั่วฟ้าดินเงียบงัน บรรยากาศกดดันและหดหู่ยิ่ง
ปราณดาบสังหารหนักอึ้งแผ่ออกจากดาบแห่งโลกา ปกคลุมทั่วแดนวัฏสงสาร ทำให้ดาบนี้ดูราวเจ้าครองภพ ทำให้ผู้คนมองมันจากระยะไกลรู้สึกยำเกรงขึ้นมา
ทว่าซูอี้กลับขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะในห้วงความนึกคิดของเขา ปราณที่แผ่ออกมาจากตรวนลึกลับกลับสอดคล้องอย่างน่าประหลาดกับปราณของดาบแห่งโลกา!
“หลังผ่านไปแสนนาน เจ้าเฒ่าผู้นี้ก็ยังเอาแต่ตกปลาอยู่ในธารดารา ช่างไร้ประโยชน์นัก”
เสียงนั้นก้องกังวานราววจีวิถี ห่างเหินและสูงส่ง
โลกาอันหนาวเย็นสั่นไหวเล็กน้อย ราวไม่อาจทนพลังของวจีนั้นได้!
เมื่อมันกระทบโสต ผู้ฟังก็สะท้านสั่น วิญญาณถูกสยบปราบ!
ร้ายกาจโดยไม่ต้องสงสัย
เพราะถึงอย่างไร มันก็เป็นเพียงเสียงหนึ่งแว่วมา แต่กลับเป็นกฎเกณฑ์สะท้านใจคน!
ร่างบอบบางของยมบาลสาวสั่นสะท้านเล็กน้อย
นางฟังออกว่าเสียงลึกลับนั่นดังออกมาจากดาบแห่งโลกา
ดวงตาของซูอี้วูบไหว หรือพลังของตรวนรอบดาบเก้าคุมขังจะไปปลุกตัวตนในดาบแห่งโลกาเข้า?
ไร้ประโยชน์!
ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานถูกแดกดันเช่นนี้ ทว่าสีหน้าของเขากลับไร้โทสะ ในทางกลับกัน สีหน้าของเขาก็จริงจังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
“ว่าแล้วเชียวว่าเป็นเจ้า”
ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานกระซิบ เสียงเต็มไปด้วยความจริงจังอัดแน่น “ตลอดมานี้ เจ้า… อยู่ในดาบแห่งโลกามาตลอดหรือ?”
“ทำให้เจ้ากลัวรึ? เฮอะ”
เสียงลึกลับนั้นดังขึ้นอีกครั้ง เผยความดูแคลนออกมา “อย่าห่วงไป ข้าไม่สนใจหรอกว่าในอดีตเจ้าไปทำอันใดมา ยามนี้ข้าเป็นเพียงเจตจำนงที่หลงเหลือในดาบแห่งโลกาเท่านั้น”
เจตจำนง?
ยมบาลตกตะลึงและรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคนโง่
เจตจำนงน่ากลัวได้เพียงนี้เลยหรือ!?
ซูอี้เองก็ตกใจเช่นกัน
ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานดูโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด และกล่าวว่า “ว่าแล้วเชียวว่า ‘ทัศนาจารย์’ อย่างเจ้าน่ะหรือจะทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ซ่อนอยู่ในดาบแห่งโลกาได้?”
ทัศนาจารย์!
ซูอี้และยมบาลต่างตะลึง และในที่สุดก็ตระหนักว่าเจ้าของเสียงนี้คือผู้ใด
เจ้าแห่งโลกา!
ตัวตนร้ายกาจซึ่งครั้งหนึ่งเคยทำลายวิถีเต๋าครึ่งชีวิตที่ชายผู้นี้เพียรสั่งสม ตำนานผู้กล่าวได้ว่า ‘ต่อให้เป็นเทพเซียน ก็ยังต้องนอบน้อมยามพบข้า’!
เมื่อคิดดูแล้ว ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานก็นับว่าแข็งแกร่งไม่น่าเชื่อแล้ว เจ้าแห่ง ‘โลกา’ ผู้ทำลายวิถีเต๋าครึ่งชีวิตของเขาเล่าจะแข็งแกร่งเพียงไร?
“ลับ ๆ ล่อ ๆ? วอนเสียแล้ว!”
เสียงของทัศนาจารย์ดังขึ้น
ตู้ม!
ดาบแห่งโลกาฟาดฟันบนอากาศ
เขากระอักเลือดกบปาก สภาพดูไม่จืดเล็กน้อย
เพียงไม่กี่การโจมตีนี้ ซูอี้ก็ตระหนักได้ว่า ไม่ว่าชายสวมหมวกไม้ไผ่สานผู้นี้จะแข็งแกร่งเพียงไร แต่ก็คงไม่อาจเทียบพลังเจตจำนงของทัศนาจารย์ได้!
ทว่าชายสวมหมวกไม้ไผ่สานกลับไม่ได้หงุดหงิดหรือตกใจ ในทางกลับกัน เขากำลังยิ้มเยาะ “ในเมื่อเป็นพลังเจตจำนง ไม่ช้าก็เร็วก็จะเหือดหาย และ…”
ดวงตาของเขาทอประกายเจิดจ้าเยี่ยงตะวัน “เมื่อใช้พลังของดาบแห่งโลกาเช่นนี้ เกรงว่าการผนึกเรือข้าในภายหน้าจะเป็นเรื่องยากเสียแล้ว และหากไร้พันธนาการเช่นนี้ ข้าจะกลับสู่จักรวาลพร่างดาวไม่ได้เชียวหรือ?”
เขากล่าวพลางแย้มยิ้ม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าย่อมยินดีที่จะปล่อยให้มันเกิด!”
“เรือของคนผู้นี้ถูกดาบแห่งโลกาสะกดไว้ ไม่อาจกลับสู่จักรวาลพร่างดาวได้หรือ?”
ซูอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย ต้องมีปริศนาอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้อีกแน่แท้
เขาจับจ้องเรื่องทั้งหมดเงียบ ๆ ด้วยสายตาเย็นชา ทว่าในหัวใจกลับแตกต่างออกไปเล็กน้อย เพราะตรวนอันรัดพันดาบเก้าคุมขังที่กำลังร่ายระบำบ้าคลั่งนี้สั่นพ้องประสานกับอำนาจของดาบแห่งโลกาพอดิบพอดี
“กลับสู่จักรวาลพร่างดาวแล้วกระไร? คราก่อนเจ้าไม่ใช่ศัตรูข้า แล้วคิดว่าจะเอาชนะข้าได้ภายหน้าหรือ?”
เสียงของทัศนาจารย์ดังขึ้นอีกครั้งอย่างสบายอารมณ์ ไร้การเสียดสีเหน็บแนม ทว่าความหมายในวาจานั้นเต็มไปด้วยความดูแคลน ราวไม่ได้สนใจชายสวมหมวกไม้ไผ่สานเลย
ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานดูแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด “เจ้า… ไม่ได้ลาจากหายไปแล้วหรือ?”
ทัศนาจารย์หัวเราะ “แปลว่าเจ้าคงไม่ได้คิดเลยว่าจะเอาชนะข้า แต่คิดว่าหลังจากข้าตายไป เจ้าจะใช้ชีวิตลำพองไร้กฎเกณฑ์ได้หรือไร?”
ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานเงียบไปชั่วขณะ เขาสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวอย่างจริงจัง “ในเมื่อเจ้ายังมีชีวิต ไฉนจึงหายไปกะทันหันแต่แรกเล่า?”
“ไฉนเจ้าจึงไม่ได้อยู่ที่นั่นยาม ‘จิตรกร’ ปรากฏกาย? อย่าลืมนะว่าเจ้าเคยลั่นวาจาไว้ว่าขอเพียงจิตรกรกล้าโผล่มา เจ้าจะบั่นหัวเขาไปเลี้ยงสุนัข”
“อีกอย่าง ไฉนเจ้าเฒ่าคนขายของเก่าที่เป็นเพื่อนสนิทเจ้าจึงประกาศว่าเจ้าจะไม่มีวันหวนคืนมาเล่า?”
เขาถามคำถามรัวเร็วข้อแล้วข้อเล่า!
เมื่อวาจาเหล่านี้กระทบโสตซูอี้และยมบาลสาว พวกเขาก็ต่างงุนงง
พวกเขาไม่รู้ว่าจิตรกรคือผู้ใด ไฉนทัศนาจารย์จึงกล่าวว่าเขาจะบั่นหัวเขาไปเลี้ยงสุนัข และไม่อาจทราบได้ว่าคนขายของเก่าสหายรักของเขาคือผู้ใด และไฉนจึงประกาศว่าทัศนาจารย์จะไม่กลับมาอีก
ทั้งหมดนี้ฟังดูลึกลับยิ่ง
ดาบแห่งโลกาลอยค้างกลางอากาศ ใบดาบดำสนิทดุจหมึกเต็มไปด้วยอำนาจดาบสูงสุดซึ่งกดดันหัวใจผู้คน
เสียงของทัศนาจารย์กล่าวตอบอย่างปากแข็ง “ถามตั้งมากมาย แต่แค่อยากรู้ว่าข้ายังอยู่หรือไม่ ข้ามิบอกเจ้าหรอก”
ชายสวมหมวกไม้ไผ่สาน “…”
เขาแค่นยิ้ม “ทัศนาจารย์ผู้ทรงเกียรติสะท้านภพ ‘ผู้ประหารเทพ’ ผู้ทำให้ทั่วโลกหล้าและจักรวาลพร่างดาวสั่นสะเทือน ไฉนเล่าจึงไม่กล้าแม้แต่จะเผยความเป็นความตายของตน? ยามใดกันที่ทัศนาจารย์ผู้กล้าดูแคลนเทพเซียน… ตาขาวได้เพียงนี้?”
“แม้จะใช้วิธียั่วโมโห ก็กล่าวได้เพียงว่าเจ้าทำได้แย่จริง ๆ นะ”
ทัศนาจารย์รำพึง
ดาบแห่งโลกาพลันคำรามและหายไปจากอากาศ
อึดใจต่อมา ดาบนั้นก็ฟาดฟันเข้าใส่ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานดุจไม้กางเขน
ฉับ!
หมวกไม้ไผ่สานถูกฉีกกระชากสลายเป็นเถ้า
แม้ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานจะต้านทานสุดกำลัง ทว่าร่างของเขาก็ยังสลายเพราะแรงกระแทกของดาบ โลหิตทะลักไหล กระดูกแตกป่น
และเมื่อดาบแห่งโลกาฟันขวาง มันก็ฟาดฟันเข้าใส่แก้มของชายสวมหมวกไม้ไผ่สานพร้อมเสียงเสียดหู ทำให้กระดูกแก้มของเขาหัก ร่างปลิวกระเด็นไป
ภาพอันรุนแรงนี้ทำให้หัวใจของยมบาลสาวเต้นกระตุก นางอ้าปากค้าง
ก่อนหน้านี้ ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานดูราวนายเหนือแห่งจักรวาลพร่างดาว ช่างแข็งแกร่งไร้ใดเทียบ กระทั่งพูดว่าเขาสามารถสังหารตัวตนในขอบเขตมหาจักรพรรดิได้โดยง่าย
ทว่ายามนี้ เมื่อเผชิญกับพลังจากดาบแห่งโลกาของทัศนาจารย์ เขากลับไม่อาจต้านทานได้เลย
กระทั่งปัดป้องยังทำไม่ได้!
นี่ช่างน่าเหลือเชื่อเหลือเกิน
ซูอี้รำพึงยามเมื่อได้เห็น วิถีเต๋าของทัศนาจารย์ผู้นี้ต้องสูงส่งเพียงไร จึงแข็งแกร่งได้เพียงนี้?
“ช่างน่าขำ ยามเมื่อข้าและเจ้าอยู่ในขอบเขตนี้ ลืมสิ้นซึ่งเกียรติยศและความอับอาย ดูแคลนความเป็นความตาย ไฉนจึงดูหมิ่นข้าเยี่ยงอันธพาลตามตลาดเช่นนี้?”
ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานกล่าวอย่างเย็นชา
เส้นผมของเขากระเซิง ร่างแหลกสลาย โลหิตทะลักไหล ดูไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง
ทว่าสีหน้าของเขากลับเยือกเย็นเช่นกาลเก่าราวไม่รู้จักความเจ็บปวด ริมฝีปากเหยียดยิ้มหยัน “ข้ารังเกียจการกระทำเยี่ยงนี้นัก”
เสียงของทัศนาจารย์ดังออกมาจากดาบแห่งโลกา “ข้ายืนยันแล้วว่าการนำวิธีหมิ่นเกียรติอันหยาบคายที่สุดมาใช้กับเจ้าเฒ่าเช่นเจ้า มักจะได้ผลดีอย่างไม่น่าเชื่อ”
“เพราะถึงอย่างไร ตัวตนอย่างพวกเจ้าอยู่ ณ จุดสูงสุดมานานเกินไป รู้สึกเช่นไรเล่าที่มาถูกตบหน้าอีกครั้ง? เคยถูกผู้ใดเหยียบย่ำใต้เท้าอีกครั้งหรือไม่?”
“โชคร้ายที่เจ้าไม่ได้เห็นที่นี่เป็น ‘มดชั้นต่ำ’ หาไม่ คงน่าสนใจนักหากจะให้พวกเขาตบหน้าเจ้าสักฉาด”
วาจายังไม่สร่าง ดาบแห่งโลกาก็ตบหน้าชายสวมหมวกไม้ไผ่สานอีกครั้ง
ตู้ม!
แก้มอีกข้างของชายสวมหมวกไม้ไผ่สานพังทลายลงเช่นกัน ร่างของเขาโซเซ
ก่อนที่เขาจะทันได้ตั้งหลัก อีกดาบก็ฟาดเข้ามา
ดังนั้นในกาลต่อมา ดาบแห่งโลกายังคงโจมตีไม่หยุด ทุกครั้งที่มันฟาดเข้าใส่ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานมักจะตบไปที่หน้าของเขา เสียงตบหนัก ๆ ดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
ไม่นานนัก ใบหน้าของชายสวมหมวกไม้ไผ่สานก็เละเทะไม่อาจจำได้
สิ่งนี้ทำให้สีหน้าของซูอี้และยมบาลสาวดูพิกล
พวกเขาไม่คาดเลยว่าทัศนาจารย์จะใช้วิธีเช่นนี้มารังแกชายสวมหมวกไม้ไผ่สาน
เมื่อพวกเขาได้เห็นสภาพเละเทะของชายสวมหมวกไม้ไผ่สาน ทั้งสองกระทั่งเหม่อลอยเล็กน้อย นี่… ตัวตนเละเทะนี้หรือคือนายเหนือแห่งจักรวาลพร่างดาวเมื่อครู่?
ท้ายที่สุด ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานดูจะหมดความอดทนและตะโกนอย่างขุ่นเคือง “พอแล้ว!!!”
เสียงอันเปี่ยมโทสะยังไม่ทันสร่าง
ตู้ม!
เจ้าตัวก็โดนตบหน้าอีกครั้ง ร่างของเขาเซล้มลงพื้น ดวงตามืดบอดไปชั่วขณะ
ยามนี้เขาโกรธอย่างแท้จริง หัวใจคล้ายถูกฉีกกระชาก อับอายแทบดับดิ้น!
ตีคนได้ แต่อย่าตีที่หน้า
ทว่าทัศนาจารย์จงใจตบหน้าเขา ตบเสียจนเกินกว่าจดจำได้!
รังแกกันเกินไปแล้ว!
……….