บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1008 ดาราปลิดปลิวดุจภาพวาด ดาบขับวจีก้องหล้า
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 1008 ดาราปลิดปลิวดุจภาพวาด ดาบขับวจีก้องหล้า
ตอนที่ 1008 ดาราปลิดปลิวดุจภาพวาด ดาบขับวจีก้องหล้า
……….
ตอนที่ 1008 ดาราปลิดปลิวดุจภาพวาด ดาบขับวจีก้องหล้า
ตู้ม!
เพลิงดาราศักดิ์สิทธิ์ระเบิดดุจแส้ทิพย์ร่ายรำในมือเทพเจ้า ฟาดลงมาอย่างรุนแรง
ท้องนภาถูกฉีกกระชาก ทุกสิ่งกลายเป็นเถ้าถ่าน
เพียงหนึ่งชั่วขณะ ซูอี้รู้สึกราวกับตนอยู่ท่ามกลางหมู่ดาวอันไร้ขอบเขต ทุกสถานล้วนเต็มไปด้วยแส้เพลิงดาราคลั่ง ฟาดเข้าใส่เขาจากทุกทิศอย่างดุดัน
ภัยถึงตายนี้ทำให้ซูอี้เคลื่อนไหวสุดแรงอย่างไร้ลังเล
ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!
ปราณดาบสายแล้วสายเล่าพุ่งทะยานดุจเส้นสายไขว้ แต่ละเส้นล้วนเจือปราณจากดาบเก้าคุมขัง
ตามมาด้วยเสียงระเบิดสะท้านแดนดิน
สายเพลิงดาราศักดิ์สิทธิ์แผ่บรรยากาศร้ายกาจถล่มโลกาสะเทือนสวรรค์ถล่มลง และถูกปราณดาบทลายเป็นชิ้น ๆ สาดแสงเจิดจ้าพลุ่งพล่าน
“ว่าแล้วเชียว มันปราบกฎวิเวกดาราได้… ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน เป็นสิ่งประหลาดที่ข้าไม่เคยได้เห็นจากหนใด ดูเหมือนข้าจะประเมินภูมิดาราฟ้าดินที่กลายเป็นปิตุภูมิเวิ้งดาราต่ำเกินไปเสียแล้ว…”
ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานรำพึงกับตนเอง
ดวงตาของเขากระจ่างดุจทารก ในขณะที่เพลิงศักดิ์สิทธิ์หลอมรวมกับแสงแห่งวิถี ยามนั้นท่ามกลางทุกสายตา เขาดูราวกับเทพผู้มองลงมายังโลกหล้า มีพลังไร้ประมาณ
เขาเองก็รู้ดีว่าภูมิดาราฟ้าดินแต่เดิมนั้นงดงามเจิดจรัส สะท้านสะเทือนทั่วจักรวาลพร่างดาวอันเป็นนิรันดร์ และถูกมองเป็นที่มาของจักรวาลพร่างดาวรวมถึงสารพัดวิถี
ทว่า นั่นเป็นเรื่องเมื่อนานแสนนานมาแล้ว
นานเสียจนในจักรวาลพร่างดาวทุกวันนี้ น้อยคนนักจะรู้ชื่อของ ‘ภูมิดาราฟ้าดิน’!
ตัวชายสวมหมวกไม้ไผ่สานเอง ยามเมื่อเขามาถึงโลกใบนี้อย่างแท้จริง เขาก็ตระหนักถ่องแท้ว่าภูมิหลังแห่งโลกนี้สำคัญเพียงไร
อย่าว่าแต่สิ่งอื่นใด เพียงเคล็ดเวียนวัฏสงสารก็เพียงพอจะทำให้เขาผู้อยู่ในห้วงลึกในจักรวาลพร่างดาวแสนนานสะท้านสั่น หัวใจตะลึงงันได้
ยามนี้ เมื่อได้ประจักษ์แก่พลังที่ซูอี้ครอบครองซึ่งสามารถสยบกฎวิเวกดาราได้ ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานยิ่งไม่อาจสงบใจได้ยิ่งขึ้นอีก
“โชคดีที่ไม่สายไป สำหรับข้า ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดเวียนวัฏสงสารหรือพลังลึกลับที่ซูเสวียนจวินถือครอง ขอเพียงมีมันในมือ ไฉนเลยจึงไม่อาจครอบครอง ‘ดาบแห่งโลกา’ นั้นได้?”
ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานเหลือบมองดาบแห่งโลกาบนเรือสีดำบนสระเวียนวัฏ จากนั้นสีหน้าของเขาก็ดูแน่วแน่
ไม่ว่าจะเคล็ดเวียนวัฏสงสารหรืออำนาจลึกลับนั้น ครั้งนี้… เขาตั้งใจว่าจะได้มันมา!!
“น้ำและไฟต่อต้านซึ่งกันและกันโดยเนื้อแท้ ทว่าเมื่อเพลิงแข็งแกร่งเยี่ยงตะวันเดือดพล่าน มันก็แผดเผาแม่น้ำลำธาร หรือกระทั่งมหาสมุทรแห่งโลกหล้าได้”
ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานกล่าวอย่างเฉยชา
ขณะเสียงนั้นกล่าวขึ้น มวลดาราทั่วนภาต่างแผดเผาส่งเพลิงพรั่งพรูดุจน้ำตก กวาดเข้าใส่ซูอี้ราววารีทะลักปฐพีทลาย
และซูอี้ผู้เทียบทำลายวงล้อมได้พลันตกสู่สถานการณ์ลักลั่นอีกครั้ง เขาดูเล็กจ้อยไปถนัดตา
สีหน้าของซูอี้ยังคงเฉยเมยเช่นก่อน มีเพียงคิ้วที่ขมวดหากัน
เขารู้ดีมากว่าหากไม่ใช่เพราะพลังของดาบเก้าคุมขัง เขาคงพ่ายแพ้ไปแล้ว
สิ่งที่ยิ่งอันตรายก็คือ หากเขายังใช้พลังของดาบเก้าคุมขังต่อไป พลังมหาวิถีของเขาก็จะถูกกลืนกินไปเรื่อย ๆ หากไม่อาจทะลวงผ่านไปได้ ไม่ช้าก็เร็วเขาก็จะแพ้!
“หากเป็นตอนที่ข้ายังอยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อม เมื่อใช้อำนาจประหลาดนี้ เจ้าก็คงทำได้ดีกว่า ทว่ายามนี้… สุดท้ายเจ้าก็อ่อนแอเกินไป”
ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานรำพึงเบา ๆ “วิถีเต๋าในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นต้น ในสายตาข้าไม่คู่ควรแม้เพียงหนึ่งฝ่ามือ ข้าจะพลิกสถานการณ์ได้เช่นไร?”
เขากล่าวพลางสะบัดแขน ฝ่ามือและห้านิ้วแปรเปลี่ยนประทับตรา และบางคราก็แปรเปลี่ยนเป็นคมดาบ
เพลิงดาราศักดิ์สิทธิ์อันทรงพลังเจิดจ้าราวธารดาราจากสวรรค์ชั้นเก้า อำนาจของมันอันตรายขึ้นทุกขณะ และสถานการณ์ของซูอี้ก็ยิ่งย่ำแย่
ใบหน้าของชายหนุ่มซีดขาวเล็กน้อย ร่างของเขาถูกผลักถอยไปเป็นครั้งคราว โลหิตปั่นป่วน และมีสัญญาณแห่งการพังทลายเบาบาง
กระทั่งต่อมา ผิวกายของเขาก็ถูกเพลิงดาราศักดิ์สิทธิ์ลามเลีย แผดเผาจนเกรียมดำ เลือดเนื้อแปรเป็นเถ้าถ่านโปรยปราย
น่าตกใจยิ่ง!!
สภาพบาดเจ็บสาหัสนี้ทำให้หัวใจของยมบาลบีบแน่น ใบหน้างามดุจหยกเปี่ยมกังวล ริมฝีปากสีกุหลาบถูกกัดแทบนองเลือด
นางรู้ว่าสิ่งที่ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานพูดนั้นไม่ผิด สำหรับซูอี้ผู้เวียนวัฏสงสารมาฝึกฝนใหม่ การฝึกฝนของเขานับว่าเป็นจุดบอดใหญ่หลวงที่สุด ณ ขณะนี้จริง ๆ!
แต่เดิม อำนาจลึกลับที่ซูอี้ครอบครองนั้นสามารถสยบกฎวิเวกดาราได้ แต่การฝึกฝนของเขาต่างจากชายสวมหมวกไม้ไผ่สานมากเสียจนตกอยู่ในสภาพสิ้นหวังเช่นนี้!
แต่แม้ว่าซูอี้จะบาดเจ็บสาหัส แต่สีหน้าของเขาก็ยังคงเฉยเมย
ในอดีตชาติ เขาผ่านศึกชี้วัดเป็นตายมานับไม่ถ้วน หัวใจวิถีหนักแน่นเยี่ยงเหล็กกล้า และเขาจะไม่ยอมแพ้โดยง่าย
นักดาบที่แท้จริงล้วนยินยอมเป็นหยกที่แหลกสลายดีกว่าเป็นกระเบื้องสมบูรณ์!
นักดาบนั้น แม้ตายในสนามรบ ก็จะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้!
เหตุผลที่เขา ซูเสวียนจวินสามารถเป็นหนึ่งในเก้ามหาแดนดินได้ ก็เพราะหัวใจวิถีอมตะอันไม่อาจถูกทำลายได้!
ทว่าการยืนหยัดถึงจุดนี้ของซูอี้ ไม่ต่างจากการดิ้นรนอย่างเสียเปล่าในสายตาของชายสวมหมวกไม้ไผ่สานเลย
“เจ้าภาคภูมิในตนเองจริงแท้ หากเปลี่ยนเจ้าเป็นตัวตนใด ๆ ในขอบเขตมหาจักรพรรดิ เจ้าคงถูกแผดเผาเป็นธุลีไปนานแล้ว และวิญญาณก็จะระเหยหาย ไร้โอกาสรอดชีวิต ข้าแน่ใจว่าหากให้เวลาเจ้าเรืองอำนาจขึ้นสักหน่อย เจ้าจะก้าวข้ามตัวตนอันแข็งแกร่งที่สุดในอดีตชาติได้”
ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานกล่าวด้วยแววตาเสียดาย “โชคร้ายที่เจ้ามาพบข้า และเจ้าก็ถูกลิขิตให้ต้องตายวันนี้ บางที… นี่คงเรียกได้ว่าเป็นชะตา”
ขณะกล่าว มือของเขายังคงเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง
หมู่เพลิงดาราสุกสกาวทะลักไหลราวคลื่นยักษ์ แทบโถมทับใส่ร่างของซูอี้จนจมสิ้น
ทว่าชายสวมหมวกไม้ไผ่สานก็ต้องแปลกใจ แม้ชายหนุ่มจะลงมือโจมตีไม่หยุด หรือตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย เขาก็สามารถแปรเปลี่ยนอันตรายสู่ความปลอดภัยได้ทุกครั้ง รอดจากภัยได้ครั้งแล้วครั้งเล่า!
สิ่งนี้ทำให้ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานประหลาดใจ “วิชาดาบของเจ้าน่าเหลื่อเชื่อจริงแท้ ข้าอดเปิดหูเปิดตาไม่ได้เลย ไม่เคยคาดคิดจริง ๆ ว่าในภูมิดาราฟ้าดินอันรกร้างมาแสนนานจะยังมีตัวตนเช่นเจ้าอยู่”
“พล่ามพอแล้ว!”
ซูอี้ผู้เงียบมาสักพักในที่สุดก็หมดความอดทน “มองดี ๆ เจ้ายังไม่ชนะ!”
เส้นผมยาวสยาย ร่างแหลกสลาย ใบหน้าซีดขาว โลหิตโซมอาภรณ์ ทว่าสีหน้าของเขายังคงเยือกเย็นเช่นกาลก่อน ดวงตาลึกล้ำไร้คลื่นกระเพื่อมใด ๆ
“ลนลานไม่ไหวแล้วหรือ?”
ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานหัวเราะอย่างทึ่มทื่อพลางส่ายหน้า “เอาล่ะ ข้าจะไม่ทรมานเจ้าแล้ว ข้าจะให้เจ้าตายอย่างมีเกียรติด้วยอำนาจที่แท้จริงของข้า”
เขายื่นมือขวาออกคว้าไปในอากาศ
ฉัวะ!
หมู่ดาวอันลุกโชนปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา แปรเปลี่ยนเป็นปราณดาบยาวเกือบสิบจั้ง
ทันทีที่ปราณดาบนี้ปรากฏขึ้น ทั่วฟ้าดินพลันสั่นไหว พฤกษาเทพเวียนวัฏซึ่งอยู่ห่างออกไปถูกโจมตีอย่างร้ายแรง จนมันสั่นสะเทือน ส่งเสียงใบไม้เสียดสีซอกแซก
น้ำในสระเวียนวัฏที่แปลร่างมาจากกฎแห่งการจมพลันเดือดพล่านขึ้น
ม่านตาของซูอี้พลันหดตัวราวกับแท่งเข็ม ทั้งกายใจสัมผัสถึงอันตรายอย่างล้ำลึกทุกอณู!
เขาถูกเพลิงดาราศักดิ์สิทธิ์ห้อมล้อมอยู่นานแล้ว และเมื่อเห็นปราณดาบในมือชายสวมหมวกไม้ไผ่สาน ชายหนุ่มก็ตระหนักถ่องแท้ว่าแย่แล้ว
ขณะเดียวกัน หัวใจของยมบาลสาวก็รู้สึกราวกับถูกมือใหญ่ข้างหนึ่งบีบแน่น ใบหน้าซีดขาว ใจไม่อาจทนไหว นางทะยานเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง บังคับใช้ตราประทับพุทธะเป็นตายหมายสังหารชายสวมหมวกไม้ไผ่สาน
สิ่งที่ทำให้นางแทบบ้าคือ แม้จะใช้พลังสุดตัวเพื่อโจมตี นางกลับไม่อาจทะลวงอำนาจของเพลิงดาราศักดิ์สิทธิ์อันปกคลุมทั่วโลกหล้าได้
อย่าว่าแต่ไปสะท้านสะเทือนใด ๆ ต่อชายสวมหมวกไม้ไผ่สานเลย!
มันให้ความรู้สึกเหมือนมดตะนอยเขย่าต้นไม้ แม้ใบไม้สักใบยังไม่อาจกระเพื่อม มันจะไปเขย่าต้นไม้สูงตระหง่านได้เช่นไร?
“เป็นไปได้เช่นไร…”
แววตาของยมบาลดูอับแสงและจนปัญญา ใบหน้าของนางก็ซีดขาว
ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานย่อมสังเกตเห็นภาพนี้ ก่อนจะส่ายหน้าน้อย ๆ และเมินมันไป
“เพลงดาบนี้มีนามว่า ‘ดาราปลิดปลิวดุจภาพวาด’ ข้าใช้เวลาทั้งชีวิตพยายามสร้างมันขึ้นมา และนี่จะเป็นดาบที่ฆ่าเจ้า”
เสียงอบอุ่นของชายสวมหมวกไม้ไผ่สานยังไม่ทันเลือนหาย เขาพลันโบกมือ
วูบ!
ปราณดาบยาวราวหนึ่งจั้งปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ
ไร้หนทางใดจะบรรยายความน่ากลัวของปราณดาบนี้ได้ เมื่อมันทะยานสู่ฟ้า ทั่วโลกเร้นลับแห่งแดนวัฏสงสารก็สะท้านสั่นรุนแรง ทั่วหล้าในแดนลี้ลับล้วนพังทลาย
ด้วยหนึ่งดาบ ทลายสิ้นโลกา!
“เร็วเข้า!”
เสียงกรีดร้องของยมบาลสาวสนั่นลั่น เผยความรู้สึกลนลานสิ้นหวังอย่างรุนแรง
ทว่าซูอี้ไม่ได้หลบเร้น
เพราะไร้หนทางใด ๆ ให้หนี
ยามเมื่อดาบนี้ฟาดฟัน หัวใจของเขากลับนิ่งสงบเยือกเย็นอย่างน่าประหลาดใจ ร่างวิถีของเขาร้อนรุ่มดุจเปลวเพลิง พลังทั้งหมดถูกดึงมาใช้
จิตวิญญาณ การฝึกฝน ร่างวิถี และกระทั่งดาบเก้าคุมขังในจิตวิญญาณของเขาต่างถูกใช้ออกมา ณ ยามนี้
และนี่ยังเป็นครั้งแรกที่ซูอี้จนมุมเพียงนี้นับแต่เวียนวัฏสงสารฝึกฝนใหม่อีกด้วย
และยังเป็นครั้งแรกที่เขาทุ่มสุดตัว!
ภายใต้อำนาจยิ่งใหญ่ที่ทะลักเข้ามา ดาบเก้าคุมขังดูจะตื่นขึ้นโดยสมบูรณ์
ยามนี้เอง ณ ใจกลางสระเวียนวัฏ ที่กราบเรือสีดำ ดาบแห่งโลกาอันมีรูปลักษณ์ไม่เหมือนผู้ใดสั่นไหวน้อย ๆ ราวกับสัมผัสบางสิ่งได้
จากนั้น หนึ่งดาบขับวจีก้องหล้า
เสียงครวญดาบนี้ดูจะส่งตรงจากสรวงสวรรค์ เผยความตื่นเต้นยินดีอย่างมิอาจบรรยาย
ตู้ม!
ตามมาด้วยจิตสังหารน่าสะพรึงกลัวอันทำให้โลกหล้าสะเทือน
ยามนั้นเอง…
เพลิงดาราศักดิ์สิทธิ์อันปกคลุมทั่วฟ้าดินเหล่านั้นพังทลายลงราวถูกพายุคลั่งกวาดสิ้น ผุพังไปราวดอกไม้ไฟอันเบ่งบานเพียงชั่วประเดี๋ยว
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
ซูอี้คำรามลั่น จากนั้นปราณดาบยาวหนึ่งจั้งพลันปรากฏขึ้นห่างจากเขาสามจั้ง ทว่าครานี้มันกลับไม่อาจขยับเข้ามาใกล้ได้อีกราวกับถูกผนึกไว้!
ทันใดนั้น ปราณดาบที่ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานเรียกว่า ‘ดาราปลิดปลิวดุจภาพวาด’ ก็พังทลายลงทีละน้อย สลายไปต่อหน้าซูอี้
จักรวาลพลิกกลับชั่วพริบตา สถานการณ์ตาลปัตร!
โลกหล้าในโลกเร้นลับแห่งแดนวัฏสงสารถูกปกคลุมด้วยความหนาวเย็นเสียดแทง บรรยากาศมืดหม่นหนาวสั่นเข้าปกคลุมกะทันหัน
ยมบาลสาวตัวสั่น หัวใจที่ตื่นตระหนกของนางพลันหยุดนิ่งไป แววตาว่างเปล่า นี่… เกิดอันใดขึ้น?
ชายสวมหมวกไม้ไผ่สานซึ่งยืนอยู่ไกล ๆ พลันหันไปมอง ณ ใจกลางสระเวียนวัฏ
ทันใดนั้น สีหน้าอบอุ่นสงบนิ่งของเขาก็ดูแปลกใจ
เขาเห็น ‘ดาบแห่งโลกา’ ณ กราบเรือสีดำซึ่งแต่เดิมหยุดนิ่งดูจะถูกมือที่มองไม่เห็นบรรจงชักออกมา!
……….