บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 370 หมาป่าเข้าคิว
ฟางเจิ้งพาหมาป่าเดียวดายเดินเข้าไปโดยไม่รู้ตัว เดินไปพลางมองไปพลาง ตอนนี้เอง นักเรียนชายสองคนเดินผ่านข้างกายไป ฟางเจิ้งได้ยินคนหนึ่งพูดแว่วๆ ว่า “รถชนเมื่อคราวก่อนน่ากลัวชะมัด ได้ยินว่านักเรียนโรงเรียนเราถูกจนชนพิการด้วย”
“ใช่ ตอนนั้นถ้าไม่ได้พวกคนขับรถที่ผ่านมาส่งเขาไปโรงพยาบาลละก็ คงอนาถกว่านี้อีก…”
……
ฟางเจิ้งได้ยินแบบนั้นก็ประนมสองมือ สวดไปบทหนึ่ง “อมิตาพุทธ หวังว่าจากนี้จะไม่เกิดเรื่องแบบนี้อีก”
พอฟางเจิ้งจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ก็พบว่าข้างกายเหมือนมีบางสิ่งหายไป เมื่อหันไปมอง หมาป่าเดียวดายหายไปแล้ว!
‘หมาโง่นี่ไปไหน?’ ฟางเจิ้งร้อนใจแล้ว หมาป่าเดียวดายไม่เคยลงเขามา พูดได้ว่าเป็นพวกบ้านนอกและทึ่มทื่ออันดับต้นๆ แต่เจ้านี่ดันมีพละกำลังไม่มีจำกัด วิ่งเร็วจนน่ากลัว ถ้ามันก่อเรื่องจริงๆ พลังทำลายล้างก็หน้อยกว่าเด็กแดงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ฟางเจิ้งร้อนใจนิดๆ มองไปรอบๆ ผลที่ได้คือ…
เห็นตรงทางเข้าร้านขายของเล็กแห่งหนึ่งมีเครื่องทำไอศกรีมวางอยู่ หญิงชราคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เครื่องนั้น นักเรียนสามคนยืนเรียงเป็นหนึ่งแถว เหมือนกำลังต่อคิวซื้อไอศกรีม พูดไปแล้วก็แปลก ในบรรดาร้านเล็กๆ มากมาย มีแต่หน้าร้านไอศกรีมของหญิงชราที่มีคนต่อคิว ของร้านอื่นๆ จะล้อมกันเป็นผึ้งรัง
ส่วนหมาป่าเดียวดายยืนอยู่ข้างหลังนักเรียนสามคน กำลังส่ายหาง อ้าปากน้ำลายยืด รู้เลยว่าเจ้านี่ตะกละอีกแล้ว!
นักเรียนข้างหน้าจ่ายเงินซื้อไอศกรีมแล้วเดินออกไป ไม่นานก็ถึงคิวของหมาป่าเดียวดาย มันแลบลิ้น เลียริมฝีปาก มองหญิงชราด้วยดวงตาแวววาว
ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นก็ปิดหน้า เขาเข้าใจแล้ว เจ้าโง่นี่คิดว่าต่อคิวแล้วจะได้ไอศกรีม กะจะเข้าไปขอกิน! ฟางเจิ้งรีบเดินเข้าไป เตรียมจะลากหมาป่าเดียวดายออกมา ตลกแล้ว ถ้าคุณยายให้มันจริงๆ แล้วเขาไม่ได้จ่ายเงิน! นั่นก็น่าขายหน้ามาก!
แต่ฟางเจิ้งยังไปไม่ถึง หญิงชรายื่นมือมาตบๆ หมาป่าเดียวดาย ก่อนตักไอศกรีมส่งให้มันเสียแล้ว
หมาป่าเดียวดายไม่รู้จักความเกรงใจ มันงับใส่ปากแล้วส่ายหางอย่างมีความสุข กินได้ฟินเป็นพิเศษ!
ฟางเจิ้งหมดคำจะพูดแล้ว รีบวิ่งเข้าไปเคาะหัวหมาป่าเดียวดายทีหนึ่ง “เจ้าโง่ อันนี้ต้องจ่ายเงินซื้อ นายมาขอเขากินมีเงินจ่ายเรอะ?”
หมาป่าเดียวดายย่อมรู้ว่าเงินคืออะไร เพียงแต่ไม่รู้ว่ามีประโยชน์อะไร ถึงอย่างไรก็ไม่เคยเห็นฟางเจิ้งใช้เงินทำอย่างอื่นเลยนอกจากโยนไว้บนเตียง…มันไม่เข้าใจมาตลอดว่ากระดาษเก่าๆ สีสันสวยงามแถมสกปรกพวกนั้นมีประโยชน์อะไร ตอนนี้ฟางเจิ้งว่ามาแบบนี้ มันเหมือนจะเข้าใจแล้ว
แต่หมาป่าเดียวดายเจ้าเล่ห์ รู้ว่าตัวเองทำผิด อาจจะรักษาไอศกรีมไว้ไม่ได้ จึงอ้าปากกว้างกินไอศกรีมเข้าไปในคำเดียว! มันพบว่าเจ้าสิ่งนี้อร่อย แต่เย็นจริงๆ! กลืนไอศกรีมใหญ่ขนาดนั้นเข้าไป ทั้งตัวก็รู้สึกไม่ดีนัก! รู้สึกแต่ว่าเย็นในท้อง หนาวจี๊ดขึ้นมาข้างบนจนปวดสมอง! ลิ้นชานิดๆ…สองตาเหลือกขึ้น โอนเอนไปมากับที่…
ฟางเจิ้งเห็นแบบนั้นก็บ่นว่าสั่งสอนศิษย์ไม่ดี อยากจะตบเจ้านี่ที่ไม่ยอมใครให้ตายนัก
กินก็กินไปแล้ว ฟางเจิ้งล้วงออกมาอีกไม่ได้ด้วย ได้แต่เดินไปหน้าคุณยาย ประนมสองมือกล่าวว่า “อมิตาพุทธ สีกา ไอศกรีมนี่เท่าไรเหรอ?”
แต่คุณยายหัวเราะเบาๆ “เขาต่อแถวด้วยตัวเขาเอง ฉันจะไปเก็บเงินได้ยังไง”
ฟางเจิ้งอึ้งงันก่อนยิ้มตาม ประนมสองมือบอก “อมิตาพุทธ ขอบคุณสีกามาก” แต่คิดในใจว่า ‘สมกับเป็นคนเฒ่าคนแก่ในเมือง ดูฝีมือระดับนี้ แค่พูดก็มีศิลปะแล้ว…ยอม!’
ตอนนี้เอง ฟางเจิ้งถึงเห็นว่าข้างๆ คุณยายยังมีป้ายเล็กอยู่ ด้านบนเขียนว่า ‘ต่อแถวซื้อ ไม่อย่างนั้นไม่ขาย!’
ฟางเจิ้งพูดไม่ออก เป็นคนเฒ่าคนแก่ที่มีเอกลักษณ์คนหนึ่งจริงๆ
คุณยายพูดยิ้มๆ ว่า “หลวงจีนหนุ่ม ท่านเป็นนักบวชจริงๆ เหรอ”
ฟางเจิ้งยิ้ม “ใช่แล้ว”
“ดูจากท่าทางท่านแล้วไม่เหมือนเณรพวกนั้นเลย มา กินไอศกรีมเถอะ ฉันเลี้ยงเอง” คุณยายพูดจบก็ตักไอศกรีมส่งให้ฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งไม่เกรงใจ รับมาอย่างใจกว้าง “ขอบคุณสีกามาก”
“ไม่เป็นไร ไม่ได้เห็นนักบวชหนุ่มขนาดนี้มานานโขแล้ว” คุณยายพูด
ฟางเจิ้งกำลังจะเอ่ยต่อ แต่หมาป่าเดียวดายวิ่งไปอีกแล้ว ครั้งนี้เจ้านี่ทำเกินไปหน่อย วิ่งไปต่อแถวซุ้มขายข้าวกล่อง
ฟางเจิ้งมองหมาป่าเดียวดายแล้วจึงมองคุณยาย คุณยายยิ้มบอก “รีบไปเถอะ หมานี่น่าสนใจมากเลย”
ฟางเจิ้งยิ้มด้วยความจนปัญญา เอ่ยลาหญิงชราแล้วจึงรีบวิ่งไป คว้าหางหมาป่าเดียวดายแล้วลากออกมา
หมาป่าเดียวดายยังไม่ยอม ร้องโวยวาย “อาจารย์ ท่านจะทำอะไร?”
“อาจารย์จะทำอะไรเหรอ นายน่ะจะทำอะไร?” ฟางเจิ้งโกรธนิดๆ แล้ว เจ้านี่ให้เขาสบายใจหน่อยไม่ได้รึไง?
“นี่จะเที่ยงแล้ว ศิษย์จะต่อแถวกินข้าว ถ้าไม่อย่างนั้นพวกเราก็หิวสิ?” หมาป่าเดียวดายตอบอย่างมีเหตุผล
ฟางเจิ้งมองบนอย่างหมดคำจะพูด “เจ้าโง่ บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอ? ต้องใช้เงินซื้อ!”
“ศิษย์ใช้ความสามารถในการต่อแถว ทำไมต้องจ่ายเงินด้วย” หมาป่าเดียวดายถามกลับ
ฟางเจิ้งพูดไม่ออก
หลังจากพูดสอนอยู่ครึ่งชั่วโมง ในที่สุดหมาป่าเดียวดายก็เข้าใจถึงประโยชน์และความสำคัญของเงิน จากนั้นเงยหน้ามองฟางเจิ้ง “อาจารย์ ท่านพูดมาซะเยอะ แล้วพวกเรามีเงินไหม?”
ฟางเจิ้งมองฟ้าด้วยความจนปัญญา ก่อนตบๆ หัวหมาป่าเดียวดาย “ถ้าไม่พูดถึงเงิน นายยังเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์”
“ถ้าพูดถึงล่ะ?” หมาป่าเดียวดายถามอย่างมีความหวัง
“จากนี้นายต้องรับผิดชอบวัด” ฟางเจิ้งตอบด้วยมาดขรึม
หมาป่าเดียวดายพูดทันที “อาจารย์ ถ้าอย่างนั้นศิษย์ไม่พูดถึงเงินดีกว่า แต่ว่า…กลางวันนี้จะกินอะไร?”
จ๊อกๆ…
ฟางเจิ้งท้องร้องแล้วเช่นกัน เอ่ยต่อว่า “ถ้าไม่พูดถึงอาหาร นายจะยังเป็นศิษย์ของอาจารย์”
“ถ้า…ช่างเถอะ ไม่มีถ้าแล้ว อาจารย์ เอ่อ…พวกเรา…จะอยู่กันแบบนี้เหรอ?” หมาป่าเดียวดายมองร้านอาหารเล็กต่างๆ ตามสองข้างถนน มองผู้คนที่นั่งเคี้ยวอาหารอย่างมีความสุขบนโต๊ะ อดไม่ไหวกลืนน้ำลายไปหลายอึก
ฟางเจิ้งไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร ก่อนหน้านี้เขาลงเขามาก็แก้ปัญหาได้เร็วมาก ต่อให้ไปหมู่บ้านไต้หลี่ก็ยังมีชาวบ้านต้อนรับอย่างเป็นมิตร ไม่เคยกลุ้มใจเรื่องอาหารเลย แต่ตอนนี้…
หนึ่งคนกับหมาป่านั่งเหม่ออยู่ริมถนน
ผ่านไปนาน หมาป่าเดียวดายนอนหมอบบนพื้น พูดว่า “อาจารย์ ศิษย์หิวแล้ว”
“ไม่เป็นไร นายเป็นหมาป่า” ฟางเจิ้งกล่าว
“หมาป่าก็หิวเป็นนะ” หมาป่าเดียวดายร้องโวย
ฟางเจิ้งเอ่ยด้วยมาดจริงจัง “ในตำราบอกว่าหมาป่าไม่กินอาหารหนึ่งสัปดาห์ก็ไม่เป็นไร นายอ้วนขนาดนี้แล้ว ถือโอกาสลดน้ำหนักแล้วกัน”
หมาป่าเดียวดาย “…”
ฟางเจิ้งมองร้านอาหารรอบๆ อยากเข้าไปบิณฑบาตเหมือนกัน แต่เขาไม่ค่อยได้ลงเขามาเท่าไรนัก ถึงจะเคยบิณฑบาตที่หมู่บ้านเอกดรรชนี แต่ในมุมมองเขา หมู่บ้านเอกดรรชนีไม่ต่างอะไรกับบ้านตัวเอง ดังนั้นเลยหน้าด้านขอบิณฑบาตได้ ทว่าเดินในเมืองที่แปลกตายิ่งนี้ เจอกับคนแปลกหน้า เขาเลยกระดากอายที่จะขอรับบิณฑบาต