บทละครของคนหลังฉาก - ตอนที่ 2.4
ราว ๆ 20 นาทีหลังจากที่บทสนทนาระหว่างเขากับชายหน่วยภาคสนามจบลง อากิโตะก็เดินกลับมาถึงอาคารของหน่วยซ่อมบำรุงยุทโธปกรณ์ที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวในมุมทางด้านตะวันตกของพื้นที่องค์กร
ในตอนนี้เขากำลังยืนอยู่ตรงหน้าประตูไม้บานหนึ่งที่ตั้งอยู่ภายในทางเดินของตัวอาคารที่ไร้ซึ่งการสัญจรไปมาของผู้คน ซึ่งบนกำแพงที่อยู่ข้าง ๆ ประตูบานนั้นก็มีป้ายชื่อที่มีชื่อของเขาเขียนกำกับเอาไว้ด้วย
‘เอ่อ… เอาไงต่อดีล่ะทีนี้…’
อากิโตะคิดกับตัวเอง
‘มือซ้ายเปียกโชก ต้องขอบคุณขวดสเปรย์พวกนี้ ส่วนพวกสมุดในมือขวานี่ มั่นใจได้เลยว่า ถ้าวางลงตรงนี้ คงจะหยิบกลับขึ้นมาถือโดยใช้มือข้างเดียวไม่ได้แน่ ๆ’
เขาวิเคราะห์สถานการณ์กับตัวเอง
‘แล้วจะหยิบกุญแจมาเปิดห้องยังไงล่ะเนี่ย?’
ก็วางหนังสือลงก่อน หยิบกุญแจไขเปิดเข้าไปในห้อง เอาขวดน้ำที่รั่วทั้ง 2 ขวดไปวางที่ไหนสักที่ก่อน แล้วก็ไปเช็ดมือให้แห้ง จากนั้นก็ค่อยกลับมาหยิบหนังสือที่วางไว้หน้าห้อง หรือไม่ก็ทำอะไรทำนองนั้นสิ
‘ทางนี้จะต้องทำยังไงเพื่อไม่ได้ตัวเองดูเหมือนพวกงั่งที่ต้องเดินไปมา 2 รอบเพื่อเข้าห้องทำงานของตัวเองล่ะเนี่ย?’
อ้าว เฮ้ย!? พูดแบบนี้หมายความว่าไง?
‘ลองวางสมุดพวกนี้ลง แล้วใช้เท้าช่วยเขี่ยพวกมันเข้าไปในห้องหลังจากที่เปิดประตูได้แล้วดีไหมหว่า?’
ใช้เท้าเขี่ยสมุดเข้าห้อง? ใครกันแน่ที่เป็นไอ้งั่ง?
แต่ก่อนที่อากิโตะจะได้เริ่มลงมือกระทำสิ่งที่ทำจะทำให้ภาพลักษณ์ของเขาแย่ลง ก็มีเสียงอันแสนคุ้นเคยเสียงหนึ่งก้องดังขึ้น ซึ่งในคราวนี้ มันไม่ได้เกิดขึ้นในโสตประสาทของเขาอย่างไม่มีที่มาที่ไปแต่อย่างใด
“สักครู่นะคะ กำลังไปค่ะ”
มันเสียงใส ๆ ของหญิงสาวที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับความสดใสของสายลมแรกพัดในเช้าวันใหม่ ที่มีแหล่งกำเนิดอย่างชัดเจนมาจากด้านหลังบานประตูตรงหน้าเขา
นอกเหนือความรู้สึกอุ่นสบายที่ก่อตัวขึ้นภายในใจของใครก็ตามที่ได้รับฟังเสียงของเธอแล้ว ในตอนนี้ภายในใจของอากิโตะก็กำลังมีความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งอยู่ด้วย
มันคือความรู้สึกสนิทคุ้นเคยที่สั่งสมมาเรื่อย ๆ ตลอดเวลาหลายปีที่เขากับเจ้าของเสียงนั้นรู้จักกันมา
เมื่อรู้ตัวอีกที ความไว้ใจของเขาที่มีต่อเจ้าของเสียงนั้นก็ทำให้เขาสามารถรับฟังคำพูดของเธอที่ผุดขึ้นในโสตประสาทอย่างที่ไม่มีที่มาที่ไปได้ โดยที่ไม่มีอาการตื่นหรือว่าหวาดกลัวใด ๆ แล้ว
“ยินดีต้อนรับกลับมาค่ะ อากิโตะ”
หญิงสาวร่างเล็กคนหนึ่งที่ยืนอยู่ภายในห้องด้วยท่าทีสำรวมกล่าวทักทายด้วยหน้าตาที่ยิ้มแย้มแจ่มใสเมื่อบานประตูนั้นถูกเปิดหมุนเข้าในห้องจนสุด
“สวัสดีอีกครั้ง ฮินะ”
อากิโตะกล่าวทักทายกลับไปยังหญิงสาวตรงหน้าที่เพิ่งเปิดประตูให้เขา
ชื่อเต็ม ๆ ของเธอคือ คุไรชิ ฮินะ อายุ 21 ปี
เส้นผมสีดำเงางามที่ไว้ยาวและปล่อยตรงลงมาถึงกลางหลังของเธอนั้นกำลังไหวไปมาเบา ๆ ตามกระแสลมที่พัดออกมาจากภายในห้อง
หน้าผากของเธอนั้นถูกปกคลุมโดยผมม้ายาวที่ตัดเป็นเส้นโค้งที่ช่วยเน้นให้ใบหน้าที่มีผิวเรียบเนียนสะอาดกับแววตาสีน้ำตาลอ่อนที่กลมโตของเธอนั้นดูสดใสและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
ในขณะเดียวกัน ริมฝีปากสีซากุระของเธอก็ทำให้รอยยิ้มที่สดใสเบิกบานนั้นดูน่าดึงดูดและมีเสน่ห์ราวกับมีมนต์สะกด จนทำให้รอยยิ้มของเธอนั้นกลายเป็นที่จดจำของใคร ๆ ก็ตามที่ได้พบเห็นในทันที
เธอสวมชุดสูทกระโปรงมีจีบสีเนวีบลูที่เป็นเครื่องแบบทางการสำหรับพนักงานเพศหญิงของ SEAR
ร่างกายท่อนบนของเธอนั้นกำลังถูกปกคลุมโดยเสื้อนอกแขนยาวกระดุม 2 เม็ดที่ตัดเข้าทรงพอดีตัว และที่อยู่ภายใต้นั้น ก็คือเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ติดกระดุมทุกเม็ดยันคอเสื้อที่ถูกผูกปิดด้วยโบว์เชือกสีดำหางยาว
ถัดลงมาก็เป็นกระโปรงมีจีบสีเนวีบลูเช่นเดียวกับเสื้อนอก ซึ่งก็มีความยาวของชายกระโปรงลงไปจนถึงระดับเหนือหัวเข่าเล็กน้อย เพื่อปกคลุมส่วนหน้าขาที่สวมถุงน่องสีขาวอย่างสุภาพเรียบร้อย
โดยหลักการแล้ว ชุดเครื่องแบบชุดนี้ก็ถูกสั่งตัดอย่างพอดีตัวเน้นความสะดวกสบายของผู้สวมใส่เป็นหลัก แต่ร่างกายผอมบางของฮินะนั้นก็มีการเติบโตมากเป็นพิเศษในบางจุด เลยเป็นผลให้ตรงบริเวณอกเสื้อนั้นดูโค้งนูนออกมาอย่างเด่นชัดเต็มไม้เต็มมือ
ในขณะเดียวกัน เอวที่บอบบางของเธอก็ทำให้เส้นทรงของสะโพกที่ผายโค้งกว้างออกนั้นสามารถถูกสังเกตเห็นได้แม้ว่าจะอยู่ภายใต้การปกคลุมของกระโปรงจีบที่ไม่ได้ขึ้นเชื่อเรื่องการเปิดเผยรูปร่างนัก
เรียกได้ว่าเธอคนนั้นเป็นหนึ่งในคนญี่ปุ่นที่มีรูปร่างสัดส่วนดีคนหนึ่งเลย
สิ่งเดียวที่อาจเป็นอุปสรรคขัดขวางเธอจากการเป็นนางแบบขึ้นปกนิตยสารต่าง ๆ ได้นั้น ก็คงจะเป็นส่วนสูงที่อยู่ในช่วง 150 เซนติเมตรกลาง ๆ ที่ทำให้เธอนั้นดูค่อนข้างจะตัวเล็กเมื่อเทียบกับผู้หญิงชาวญี่ปุ่นในช่วงวัยเดียวกัน
“แล้วเซย์จิล่ะคะ?”
ฮินะลองพยายามมองดูด้านซ้ายและขวารอบ ๆ ตัวอากิโตะเพื่อค้นหาเพื่อนอีกคนหนึ่งของเธอ แต่ด้วยส่วนสูงของเธอ แม้ว่าจะมีรองเท้าส้นสูงช่วยแล้วนั้น เธอก็ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้มากนัก
“หมอนั่นน่าจะอยู่ที่โรงพยาบาลแหละนะ ในตอนนี้”
อากิโตะตอบด้วยน้ำเสียงและสีหน้าราบเรียบ
“พอดีทางนี้โดนสั่งให้ไปรับของพวกนี้มา เลยต้องปล่อยให้หมอนั่นไปคนเดียวน่ะ”
เขายกชูของที่ถืออยู่ในมือทั้ง 2 ข้างขึ้นมาให้เห็นง่าย ๆ ในระดับหัวไหล่ ซึ่งนั่นก็ทำให้ฮินะแสดงสีหน้ากังวลปนสงสัยออกมา
“เข้ามาคุยต่อข้างในน่าจะดีกว่านะคะ”
เธอถอยตัวห่างออกไปจากบานประตูเพื่อให้อากิโตะที่ถือของเต็ม 2 มือเดินเข้าไปภายในห้องได้สะดวก
และหลังจากที่เขาเดินเข้าไปในห้องแล้ว เธอก็ปิดประตูลงเบา ๆ อย่างสุภาพ
ส่วนทางด้านของอากิโตะนั้น หลังจากที่เขาเดินเข้ามาในห้องทำงานของเขา เขาก็เดินตรงไปยังโต๊ะทำงานที่อยู่ลึกเข้าไปภายใน แล้วก็วางสมุดทั้ง 2 เล่มลงบนนั้น
จากนั้นเขาก็เดินไปหยิบผ้าออกมาจากลิ้นชักที่อยู่ติดกำแพงข้างหลังโต๊ะอีกที แล้วก็พับทบมันลงบนโต๊ะตัวเดิม แล้วก็ใช้มันเป็นฐานรองขวดสเปรย์ที่รั่วซึมอยู่เรื่อย ๆ
หลังจากที่เสร็จสิ้นกับการวางสิ่งของที่ถือถือมาเต็ม 2 มือ อากิโตะก็สะบัดมือทั้ง 2 ข้างของเขาไปมาเพื่อยืดเส้นยืดสาย
“ขออนุญาตพูดต่อจากเมื่อครู่เลยนะคะ”
ฮินะที่เดินตามมาอยู่ข้างหลังอากิโตะก็กล่าวขึ้นหลังจากที่เขาสะบัดมือไปมาได้ 2-3 ครั้ง
“อ่า ว่ามาสิ”
สีหน้ายิ้มแย้มอย่างสุภาพของฮินะเปลี่ยนไปเป็นการแสดงความกังวลออกมา
“เซย์จิเขาเป็นอะไรมากไหมคะ?”
“ก็เป็นอย่างที่เธอ ‘เห็น’ ในอุโมงค์นั่นแหละ แผลแค่นั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกสำหรับหมอนั่น”
อากิโตะตอบด้วยน้ำเสียงที่นิ่งและเรียบเฉย
“แต่เพื่อความปลอดภัยไว้ก่อน ทางนี้ก็โทรไปคุยกับอันโดตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว ป่านนี้เธอน่าจะไปนั่งรอดูอาการหมอนั่นอยู่ที่โรงพยาบาลแล้วแหละ”
“เอ๊ะ? ไปบอกคุณอันโดที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับหลังฉากจะดีรึคะ?”
“ก็ไม่ได้เสียหายอะไรนี่นะ ใช่ว่าเธอคนนั้นเหลืออะไรเกี่ยวกับ Back ให้รู้มากไปกว่านี้เสียหน่อย และนอกจากพวกเราแล้ว เธอคนนั้นก็เป็นคนที่สนิทกับเซย์จิที่สุดในองค์กรนี้แล้วแหละนะ”
“เป็นแบบนั้นสินะคะ”
ฮินะพึมพำกับตัวเอง
“แล้วของทั้งหลายที่คุณถือมานี่… ”
ฮินะเหลือบไปมองสิ่งของที่อากิโตะเพิ่งจะวางลงบนโต๊ะทำงานของเขา
“คุณเอาพวกมันมาทำไมรึคะ อากิโตะ?”
“เป็นคำถามที่ดี ทางนี้ก็อยากรู้เหมือนกัน และก็น่าเศร้าที่คนที่เรียกทางนี้ไปรับของคือคนคนนั้น ทำให้ในตอนนี้ ทางนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเอาของพวกนี้มาทำไม”
หน้าตาของอากิโตะนั้นยังคงเรียบนิ่ง แต่น้ำเสียงนั้นก็มีความรู้สึกรำคาญปะปนอยู่อย่างชัดเจน
“คนคนนั้นก็ยังไม่ยอมบอกอะไรใครตามเดิมสินะคะ ฮะ ๆ”
ฮินะหัวเราะแห้ง ๆ ให้กับท่าทีของอากิโตะ ราวกับว่าเธอนั้นเข้าใจว่าเขากำลังพูดถึงใคร และกำลังหัวเสียด้วยสาเหตุใดอย่างแจ่มแจ้ง
“ว่าแต่เธอไม่ต้องรีบกลับไปที่ตึกของหน่วยของเธอรึ ฮินะ?”
อากิโตะเป็นฝ่ายถามบ้าง
“ฉันจัดการงานส่วนของวันนี้เสร็จตั้งแต่ก่อนที่จะมาช่วยงานพวกคุณแล้วค่ะ เลยไม่มีเหตุผลให้รีบกลับไปที่ตึกของหน่วยประชาสัมพันธ์หรอกนะคะ”
ฮินะกล่าวตอบอย่างได้ใจความ
“ที่สำคัญ ฉันว่าฉันควรจะอยู่ช่วยพวกคุณดูแลพวกเธอ 2 คนนี้มากกว่าแหละนะคะ”
ฮินะผายแบมือซ้ายของเธอไปยังโซฟาขนาดใหญ่ที่วางอยู่ติดผนังของห้อง ที่ถูกวางในแบบที่ทำให้มันหันด้านข้างให้กับโต๊ะทำงานที่อากิโตะฮินะกำลังยืนอยู่ข้างหลัง
โซฟาตัวนั้นอยู่ในสภาพที่ถูกกางออกมาเป็นเตียงนอนขนาดย่อม ๆ โดยที่บนเบาะผ้ายาว 2 เมตรกว่า ๆ ที่ถูกกางออกมานั้น ก็มีหญิงสาว 2 คนในชุดเดรสวันพีชสีขาวและดำนอนหลับใหลอยู่อย่างเงียบสงบ
“ฉันก็เข้าใจนะคะ ว่าพวกเราคงปล่อยพวกเธอ 2 คนทิ้งไว้ในอุโมงค์ไม่ได้ เลยไม่ได้พูดอะไรในตอนที่พวกคุณตัดสินใจจะพาพวกเธอกลับมาด้วย แต่การนำพวกเธอมานอนพักในห้องทำงานของคุณแบบนี้นี่ จำเป็นต้องทำเช่นนี้จริง ๆ รึคะ อากิโตะ?”
ฮินะหันไปมองหญิงสาวทั้ง 2 คนที่นอนหลับอยู่ ก่อนที่จะหันกลับมาจ้องมองหน้าอากิโตะด้วยความสงสัยอย่างเต็มรูปแบบ
“ก็อย่างที่เห็น ทางนี้พยายามปลุกทั้ง 2 คนเต็มที่แล้วตอนที่อยู่ในอุโมงค์ ซึ่งก็ไม่ได้ผลแม้แต่น้อย เลยต้องกลับมาด้วยทั้งที่ยังอยู่ในสภาพแบบนี้แหละนะ”
อากิโตะอธิบายพร้อมใช้นิ้วมือชี้ไปมาเป็นภาษากายช่วยประกอบ
“แล้วทีนี้ จะให้ทางนี้กับเซย์จิแบก 2 คนนี้ไปด้วยในตอนที่เดินอ้อมกลับเข้าไปในเมืองในตอนที่พวกเราออกไปกลบเกลื่อนร่องรอยนี่ ทางนี้คิดว่ามันจะดูเด่นและล่อความสนใจไปหน่อยน่ะนะ”
“ก็จริงแหละนะคะ”
“และที่สำคัญ ทั้ง 2 คนนี้เกือบจะโดนลักพาตัวไปโดยผู้มาเยือนด้วยน่ะนะ ฉะนั้นก็คงเอาตัว 2 คนนี้ไปฝากไว้กับคลินิกหรือสถานีตำรวจสักแห่งไม่ได้หรอก”
“ตรงนั้นฉันก็เข้าใจแหละค่ะ ว่าทางเลือกที่ดีที่สุดของพวกเราในตอนนี้ ก็คือพาพวกเธอมาอยู่ภายใต้การสอดส่องดูแล แต่ทำไมถึงต้องพาพวกเธอมานอนพักที่ห้องทำงานของคุณแบบนี้ล่ะคะ?”
“ก็จากลานจอดรถใต้ดินที่จอดรถตู้เอาไว้ ก็สามารถเดินมาถึงห้องนี้ได้โดยที่ไม่มีใครเห็นน่ะนะ ซึ่งในตอนนั้นเธอก็อยู่ที่ห้องนี้ด้วย เลยทำให้จังหวะเวลาพอเหมาะพอเจาะพอดีเลย”
“คุณก็เลยให้ฉันดูแลพวกเธออยู่คนเดียว ในขณะคุณกับเซย์จิออกไปเดินกลบเกลื่อนร่องรอยสินะคะ?”
“ก็นะ จะให้ทิ้งพวกเธอไว้โดยไม่มีคนดูมันก็กระไรอยู่ แต่เอาจริง ๆ ต่อให้เธอไม่อยู่ทีนี้ ทางนี้ก็คงยังเลือกที่จะพาพวกเธอมาที่นี้อยู่ดีแหละนะ”
“เห ยังไงก็คุณจะพาพวกเธอทั้ง 2 คนมาที่นี้สินะคะ?”
แม้ว่าฮินะนั้นจะไม่มีท่าทีปฏิเสธคำอธิบายของอากิโตะ แต่ในขณะเดียวกันท่าทีและน้ำเสียงของเธอนั้นก็แสดงความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน
“จะให้พาไปที่แลปของเซย์จิ แล้วให้อันโดช่วยดูแลพวกเธอก็ได้ แต่ที่แลปนั้นก็มีคนนอกคนอื่น ๆ สังกัดอยู่ด้วย เลยไม่เหมาะที่จะพา 2 คนนี้ไปอยู่ตรงนั้นเท่าไหร่ ส่วนห้องของพวก Back คนอื่น… ลืมซะเถอะ”
อากิโตะอธิบายตามเหตุและผลอย่างตรงไปตรงมาโดยที่ไม่มีการเปลี่ยนสีหน้าแต่อย่างใด ซึ่งนั่นก็ทำให้ฮินะจ้องหน้าของเขาอย่างเขม็งอยู่หลายวินาทีโดยปราศจากคำพูดใด ๆ ก่อนที่ปรับสีหน้ากลับไปเป็นรอยยิ้มอย่างแจ่มใส่อีกครั้ง และก็เริ่มพูดต่อ
“ก็ช่วยไม่ได้สินะคะ ที่ต้องลงเอยแบบนี้”
“ก็ขอโทษด้วยแล้วกัน ที่ใช้งานเธอแบบนั้นน่ะนะ พอตื่นมาจากหลับลึก แล้วก็ต้องมาทำงานดูแลคนอื่นต่อในทันทีนี่ ก็เข้าใจได้แหละนะ ว่าทำไมเธอถึงจะไม่พอใจ”
อากิโตะไม่ได้ก้มศีรษะลงเมื่อกล่าวขอโทษแต่อย่างใด แต่น้ำเสียงของเขาก็อ่อนลงจนทำให้รู้สึกได้ถึงความจริงใจในคำพูดของเขา
“เธอเองก็ลำบากเหมือนกันแหละนะ เพราะพอต้องใช้ภูติเหล่านั้นทีไร เธอก็มักจะสลบไปอยู่เสมอเลย ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม ฮินะ?”
“ถ้าเป็นภูติจินตภาพไม่กี่ตน ฉันก็สามารถรังสรรค์และควบคุมได้โดยที่ยังมีสติอยู่ค่ะ แต่ในกรณีที่ต้องใช้ภูติจำนวนมากแบบตอนก่อนหน้านี้ ฉันก็จะไม่สามารถคงสติให้ตื่นอยู่ได้ เลยเป็นผลให้ต้องนอนหลับลึกเพื่อลดภาระของสมองลงค่ะ แต่โดยรวม นอกความเหนื่อยล้าเล็กน้อยแล้ว ก็ไม่มีผลกระทบอื่น ๆ ค่ะ”
อากิโตะรู้สึกโล่งใจเมื่อได้เห็นท่าทีของฮินะที่กำลังพยายามอธิบายอย่างกระฉับกระเฉง เพราะว่าท่าทางแบบนั้นก็ช่วยเป็นเครื่องยืนยันถึงสภาพของเธอให้กับเขาได้เป็นอย่างดี
“เอาจริง ๆ วันหลังเธอก็ไปขอยืมห้องสักห้องในองค์กรก็ได้นะ ห้องพวกนั้นน่าจะเป็นส่วนตัวพอให้เธออยู่ในสภาวะที่ไม่ถูกรบกวนได้อยู่ ทางนี้ก็เดินเรื่องไว้ให้นานแล้ว แค่เธอโผล่ไปที่ห้องเก็บกุญแจ พวกเขาก็พร้อมจะยื่นพวกมันให้เธอในทันทีเลย จะได้ไม่ต้องถ่อสังขารเดินไกลอ้อมโลกมาที่ห้องนี้ด้วยน่ะนะ”
“ขอปฏิเสธค่ะ”
“หา?”
“ขอ-ป-ฏิ-เสธ-ค่ะ”
การตอบแบบแจกแจงที่ฟังดูสุภาพ แต่ก็รู้สึกก้าวร้าวไปพร้อม ๆ กับของฮินะก็ทำให้อากิโตะนิ่งเงียบทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ
“ยังไงก็มีแค่ที่นี่แหละค่ะ ที่ฉันรู้สึกว่าสงบและปลอดภัยที่สุดภายในพื้นที่องค์กรนี้นะคะ”
“ตึกนี้มันอยู่ข้าง ๆ สนามยิงปืนเลยนะ มันคือทุกอย่างที่ตรงข้ามกับคำว่าสงบกับปลอดภัยเลยนะ”
เนื่องจากว่าในตอนก่อนและหลังจากการซ่อมบำรุงอาวุธนั้น ช่างก็มักจะต้องทำการทดสอบอาวุธปืนกระบอกนั้น ๆ อยู่เสมอ ๆ ทำให้ด้านข้างของตัวอาคารนั้นต้องมีสนามยิงปืนไว้สำหรับทดสอบอาวุธด้วย ซึ่งนั่นก็เป็นสำเหตุหลักที่ทำให้อาคารของหน่วยนี้ต้องมาตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวห่างไกลผู้คนเช่นนี้
“ฉันก็มีเหตุผลของฉันแล้วกันค่ะ”
ฮินะยิ้มหวานให้อากิโตะอย่างเต็มใจ และไม่มีการพูดอธิบายใด ๆ เพิ่มเติม
“ว่าแต่ พวกคุณพอหาข้อมูลอะไรเกี่ยวกับพวกเธอทั้ง 2 คนได้ไหมคะ?”
“ทางนี้กับเซย์จิช่วยกันค้นหาฐานข้อมูลของ Back ดูแล้ว และด้วยความสามารถของ Back 2 คนกับโทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง สิ่งที่พวกเราค้นพบก็คือ พวกเราไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับทั้ง 2 คนนี้เลยแม้แต่น้อย”
อากิโตะที่ยังคงทำสีหน้าราบเรียบนิ่งเฉยชูนิ้วโป้งทั้ง 2 ข้างขึ้นให้กับฮินะเพื่อแสดงถึงความมั่นใจในความไม่รู้และความจนปัญญาของเขา
“ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับพวกเธอเลยอย่างงั้นรึคะ?”
ฮินะทำสีหน้าประหลาดใจออกมาให้อากิโตะเห็น ก่อนที่จะหันหน้ากลับไปมองที่หญิงสาวทั้ง 2 คนที่กำลังหลับใหลอยู่บนโซฟา
“น่าประหลาดใจจริง ๆ นะคะ ทั้ง ๆ ที่พวกเธอทั้ง 2 คนนั้นดูโดดเด่นขนาดนี้แท้ ๆ”
“ฐานข้อมูลของ Back นี่ บทจะมีข้อมูล มันก็มีละเอียดจนน่าขนลุกเลยน่ะนะ อย่างเช่น ข้อมูลว่าปีที่แล้วหลบเลี่ยงการจ่ายภาษีไปกี่เยน แต่บทมันจะไม่มีข้อมูล มันก็จะไม่มีแม้แต่ชื่อน่ะนะ”
อากิโตะกล่าวไปพร้อม ๆ กับการถอนหายใจออกมาอย่างไม่ค่อยพอใจ ก่อนที่จะขยับสายตาตามฮินะไปยังทั้ง 2 ชีวิตที่เขาช่วยออกมาจากอุโมงค์ที่ตอนนี้ก็ยังคงอยู่ในนิทรา
หญิงสาวทั้ง 2 คนนั้นกำลังนอนเอียงข้างหันหน้าเข้าหากันอย่างเงียบสงบ ราวกับว่าพวกเธอทั้งคู่นั้นรู้สึกสัมผัสถึงกันและกันได้แม้แต่ในยามหลับใหล
ทั้งคู่นั้นกำลังสวมชุดเดรสวันพีชสำหรับฤดูร้อนที่ตัดด้วยผ้าเนื้อบางที่ดูเบาสบาย ที่ปกคลุมยาวลงไปถึงระดับเหนือหัวเข่าของพวกเธอ โดยชุดของคนที่นอนอยู่ทางซ้ายมือนั้นเป็นสีขาว ส่วนของคนที่นอนอยู่ทางขวามือนั้นเป็นสีดำ
นอกจากเสียงหายใจช้า ๆ เบา ๆ อย่างเป็นจังหวะพร้อมเพียงตามการขยับขึ้นและลงของร่างกายท่อนบนของพวกเธอแล้ว ก็ไม่มีเสียงใดอื่นออกมาให้ได้ยินเลยแม้เสียงเดียว
แม้ว่าร่างกายของพวกเธอทั้ง 2 คนนั้นจะมีรายละเอียดบางอย่างที่แตกต่างกันออกไปบ้าง แต่โดยรวมนั้น รูปร่างของพวกเธอก็เหมือนกันเป็นอย่างมาก ทำให้ไม่ยากที่จะสรุปได้ว่าพวกเธอนั้นฝาแฝด
ใบหน้าของพวกเธอนั้น การใช้คำว่าเพียงคำว่าสวยงามนั้นก็คงไม่เพียงพอที่จะสามารถอธิบายเสน่ห์ของพวกเธอได้
ขนตาเรียวยาวโดยธรรมชาติของพวกเธอนั้นก็ยังคงดูน่าดึงดูดเป็นอย่างมาก
ในขณะเดียวกัน แม้จะไร้ซึ่งจากการแต่งเสริมจากเครื่องสำอางใด ๆ แต่จมูกกับริมฝีปากที่ดูเข้ารูปเข้าทรงของพวกเธอเองก็ยังดูมีเสน่ห์ไม่แพ้กัน
สิ่งเดียวที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนที่สุดสำหรับพวกเธอทั้ง 2 คน ก็คงเป็นสีของเส้นผม โดยคนที่นอนอยู่ทางด้านซ้ายนั้นมีเส้นผมสีดำเงางามตัดกับสีขาวสะอาดของชุดที่เธอกำลังสวมใส่ ในขณะที่อีกคนหนึ่งนั้นมีเส้นผมสีขาวบริสุทธ์ไร้ซึ่งสีใดอื่นเจือปนตัดกับชุดสีดำของเธอ
กระนั้น แม้จะมีสีผมที่ตรงข้ามกันอย่างชัดเจน แต่ลักษณะอื่น ๆ ของเส้นผมของพวกเธอก็เหมือนกันทุกประการ อย่างเช่น ความยาวจนถึงระดับหัวเข่า หรือความตรงสลวยอย่างมีน้ำหนักปราศจากชี้ฟูใด ๆ
ถ้าหากว่าพวกเธอเหยียดตัวยืนตัวตรง ส่วนสูงของพวกเธอน่าจะอยู่ในช่วงประมาณระหว่าง 160 เซนติเมตรปลาย ๆ ไปจนถึง 170 เซนติเมตรต้น ๆ ได้อย่างไม่ยาก
และด้วยผิวพรรณที่มีโทนสีที่อ่อนกว่าคนเอเชียที่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ซีดจางแบบชาวตะวันตก และก็มีความเรียบเนียนและปราศจากซึ่งจุดมัวหมองใด ๆ
ทั้งหมดนั้นก็ช่วยกันทำให้ร่างกายที่สมส่วน และออกไปทางผอมเพรียวเล็กน้อยที่มีช่วงลำตัวและท่อนแขนขาเรียวยาวของพวกเธอนั้นกลายเป็นที่ต้องสายตาเมื่อถูกพบเห็น
แต่สิ่งที่เป็นจุดโดดเด่นที่สุดของพวกเธอนั้น ก็คงจะเป็นในส่วนของบริเวณที่ถูกปกคลุมอยู่โดยชุดเดรสวันพีชที่พวกเธอสวมใส่อยู่อย่างหลวม ๆ
“ใหญ่มากเลยค่ะ”
ฮินะกล่าวพูดขึ้นอย่างกะทันหัน ซึ่งก็แน่นอนว่าเธอนั้นหมายถึงขนาดตัวของหญิงสาวฝาแฝดคู่นี้ที่ ‘ตัวใหญ่’ มากในสายตาคนญี่ปุ่น
“หน้าอกของพวกเธอใหญ่มากเลยค่ะ”
กี่ครั้งแล้วเนี่ยที่โดนแบบนี้? วันนี้มันวันบ้าอะไรกันเนี่ย!! อ๊ากกกกกกกก!!!!!!!
“ด้วยเหตุผลทางด้านกฎหมาย ทางนี้ก็ต้องขอพูดว่า เมื่อกี้นี้เธอเป็นคนพูดเองคนเดียวนะ ทางนี้ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นอะไรทั้งนั้น”
แม้แต่อากิโตะเองก็ยังไม่สามารถคงสีหน้าตายด้านเอาไว้ได้เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทำให้เสียงที่เขาใช้ในการพูดตอบก็ฟังดูสูงกว่าโทนเสียงของการพูดจาแบบปกติของเขาเล็กน้อย
แต่ก็อีกนั่นแหละ สิ่งที่ฮินะพูดออกมานั้นก็ไม่มีสิ่งใดผิดเลยแม้แต่น้อย
หน้าอกที่กำลังขยับขึ้นลงตามจังหวะหายใจเบา ๆ ของฝาแฝดคู่นี้นั้น พวกมันมีขนาดที่ใหญ่อย่างเหลือล้นมาก ๆ ชนิดที่ว่าต่อให้ใช้ 2 ฝ่ามือกางออกจนสุด ก็ยังคงจะไม่สามารถปกปิดพวกมันได้อย่างมิดชิด
“ฉันเองก็ค่อนข้างมั่นใจในขนาดตัวเองนะคะ แต่เจอความใหญ่ขนาดนั้นเข้าไป จากทั้ง 2 คนเลยด้วย มันก็ทำให้ฉันรู้สึกเลยค่ะ ว่าโลกใบนี้นั้นกว้างใหญ่กว่าที่คิดมาก ๆ”
ฮินะพูดอย่างไร้ซึ่งการสะดุดพร้อมกับใช้มือของเธอคลำจับวัดขนาดหน้าอกของตัวเธอเอง ราวกับว่าเมื่อคู่สนทนาของเธอนั้นมีเพียงแค่อากิโตะคนเดียวแล้ว เธอก็ไม่มีเหตุผลต้องรู้สึกเขินอายแต่อย่างใด
เอาจริง ๆ มันก็น่าประหลาดใจมากกว่า ที่คนที่เขินอายนั้นกลับกลายเป็นอากิโตะ ที่ในตอนนี้ก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“อะแฮ่ม เข้าเรื่องก่อนดีกว่าไหม?”
อากิโตะกระแอมทำเสียงหนึ่งครั้ง พร้อมกับเข้าถือหางเสือเพื่อเปลี่ยนทิศทางบทสนทนากลับสู่หัวข้อก่อนหน้านี้ ในขณะที่ยังคงหันหน้าจ้องมองไปยังกำแพงอย่างไร้จุดหมาย
“อ่ะ! จริงด้วยนะคะ ขอโทษที่พาออกนอกประเด็นนะคะ”
แม้ว่าฮินะจะกล่าวขอโทษเช่นนั้น แต่สีหน้าของเธอนันก็กำลังแสดงรอยยิ้มขี้เล่นพร้อมกับการหรี่ตาลงอย่างมีเลศนัยแฝงชัดเจน ซึ่งก็แน่นอนว่าสีหน้าเช่นนั้นก็เลือนหายไปก่อนที่อากิโตะจะหันกลับมาเห็น
แต่ก่อนที่บทสนทนาบทนี้ได้จะดำเนินต่อ เสียงสะลึมสะลือตื่น 2 เสียงก็ดังขึ้นเบา ๆ มาจากทางโซฟาตรงหน้าของทั้ง 2 คน
“อะ- อือ…”
“งะ- งืม…”
และส่งเสียงเมื่อกำลังลืมตาตื่นขึ้นของทั้ง 2 คนที่หลับใหลมาโดยตลอดก็ดึงความสนใจของทั้งอากิโตะและฮินะไป
⬭⬭⬭⬭⬭⬭⬭
จากผู้เขียน:
กล่าวสวัสดีถึงทุก ๆ ท่านที่ได้อ่านนิยายเรื่องนี้ครับ
นี่ก็คงเป็นครั้งแรกสินะ ที่ผมได้กล่าวทักทายเช่นนี้
แนะนำตัวก่อนหน่อยแล้วกัน ผม Ga- อ่า ไม่สิ ผม Geoffig ครับ นี่ก็เป็นการเขียนนิยายลงเว็บครั้งแรกของผมแหละนะ ฉะนั้นก็คงมีความผิดพลาดอะไรบ้าง ซึ่งก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
เข้าเรื่องเลยแล้วกัน ในตอนนี้ ตอนที่ 2 ของเรื่องราวเรื่องนี้ก็ดำเนินมาใกล้ถึงตอนจบแล้วครับ เหลืออีก 2 ตอนย่อยที่อยู่ในระหว่างการขัดเกลา ซึ่งก็จะถูกลงในสัปดาห์หน้าพร้อมกันทั้ง 2 ตอนเลย
ทำให้ในสัปดาห์หน้า ก็จะเป็นตอนคู่ รวมทั้งสิ้น 19 หน้ากระดาษ A4 ให้ทุกท่านได้อ่านกันนะครับ ฉะนั้นก็ขอความกรุณาด้วยนะครับ
-Geoffig-
16 July 2022