บทละครของคนหลังฉาก - ตอนที่ 1.5
ในจังหวะเดียวกัน ผู้มาเยือนอีก 3 คนที่ไม่ได้ตกเป็นเป้าของอาวุธทั้ง 2 กระบอก ก็เริ่มกลับมามองเห็นได้อีกครั้งหลังจากที่ยกมือขึ้นมาป้องตากันแสงสว่างแยงจากไฟหน้ารถตู้ที่ถูกดัดแปลง
สิ่งแรกที่พวกเขาเห็นหลังจากที่ได้การมองเห็นกลับมา ก็ภาพของสหาย 2 คนของพวกตนที่ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บแล้วมีกองเลือดไหลนองอยู่บนพื้น ซึ่งก็สร้างความตื่นตระหนกให้กับทั้ง 3 คนจนสังเกตเห็นได้
ชายวัยกลางคนผู้นำกลุ่มพยายามรักษาความสุขุมและหลีกเลี่ยงการแสดงออก แต่ท่าทีมีการหยุดการเคลื่อนไหวอย่างกะทันหันเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้ที่อยู่ใต้การนำของตนก็ไม่ใช่อะไรที่จะหลบสายตาอันแหลมคมของคนหลังฉากทั้ง 2 ที่จ้องมองเขาไปได้
หญิงสาวในชุดกิโมโนมีความสับสนและงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน แม้ว่าเธอจะพยายามเก็บอาการตื่นตกใน แต่ร่างกายที่สั่นกลัวเมื่อได้เห็นวงบ่อโลหิตที่ขยายตัวขึ้นเรื่อย ๆ รอบร่างกายที่ยังคงร้องโอดครวญอย่างเจ็บปวดของผู้ร่วมการเดินทางของเธอก็เด่นชัดเกินกว่าจะมองข้ามไปได้
ส่วนหญิงสาวร่างเล็กที่สวมเสื้อฮาโอริทับเสื้อเบลาส์ก็ที่ย่อตัวลงต่ำติดพื้นแบบเข่าชิดอกตั้งแต่ที่การระดมยิงเริ่มต้นขึ้นก็มีการแสดงออกถึงความหวาดกลัวและตื่นตระหนกออกมาอย่างชัดเจนที่สุด ทั้งด้วยร่างกายที่สั่นไหวไปด้วยความกลัว พร้อมกับสายตาที่สั่นไหวไม่สามารถจดจ้องสิ่งใด ๆ และมือที่ลดลงมาปิดปากของเธอเพื่อพยายามกล้ำกลืนเสียงกรีดร้องของเธอ
ทั้ง 3 คนนั้นมีอาการเสียขวัญอย่างชัดเจน ซึ่งนั่นก็เป็นอะไรที่เข้าใจได้แม้ว่าจะเป็นศัตรูกัน แต่กระนั้นคนหลังฉากทั้ง 2 ก็ไม่ลงมาที่นี่เพื่อแสดงความเห็นใจอะไรให้ใคร
ไม่ยอมเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายที่เพิ่งได้การมองเห็นกลับมาได้ทำความเข้าใจสถานการณ์ อากิโตะตะโกนออกคำสั่งให้อีกฝ่ายฟังด้วยเสียงดังฟังชัด
“นี่ ลุง เลิกทำเนียนไม่เข้าใจภาษา แล้วพูดกันตรง ๆ กันน่าจะดีกว่านะตอนนี้”
เขาประกาศด้วยเสียงห้าวแข็งที่อย่างก้าวร้าวที่แตกต่างจากโทนปกติอันแสนแน่นิ่งอย่างชัดเจน พร้อมกับเล็งปืนชี้ตรงไปยังคู่สนทนาของเขา
“ทางนี้ก็ไม่ได้คิดจะเอาชีวิตใครอย่างไม่มีเหตุผลหรอก 2 คนที่โดนยิงไปนั่น ถ้าหากว่าพากลับไปรักษาในตอนนี้ก็อาจจะรอดก็ได้ ฉะนั้นลืม ๆ เรื่องจุดประสงค์ของตัวเองและทิ้งของที่พยายามขโมยไปจากพวกเราไว้ที่นี่ แล้วก็พาพวกกลับบ้านไปรักษาตัวจะดีกว่านะ”
การอากิโตะป่าวประกาศอย่างมั่นใจด้วยภาษาญี่ปุ่นเช่นนี้อาจจะฟังดูแปลกประหลาด เพราะก่อนหน้านี้เขายังพูดติดตลกกับเซย์จิว่าคนเหล่านี้อาจจะฟังภาษาญี่ปุ่นไม่รู้เรื่องอยู่เลย
แต่ก็นั่นแหละ ก่อนหน้านั้นมันเป็นเพียงการพูดติดตลกจริง ๆ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเขานั้นไม่ได้มีความคืบแคลงใจเกี่ยวกับความเข้าใจภาษาของอีกฝั่งเลยแม้แต่น้อย
เหตุผลที่พวกเขามั่นใจเช่นนั้น ก็เพราะว่าพวกเขาได้รับการยืนยันข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือที่สุดจากสิ่งที่อีกฝ่ายไม่คาดคิด ที่เป็นเหมือนกับเป็นเสียงกระซิบของภูติพรายที่มิอาจมองเห็นหรือสัมผัสได้ จากคำพูดของฮินะ
“ที่เหลือ ข้อมูลต่าง ๆ อย่างนิสัยท่าที การสื่อสาร ความประพฤติ หรืออะไรต่าง ๆ ก็ตรงตามที่พวกคุณเห็นในรายงานสรุปที่ฐานให้มาค่ะ”
‘รายงานสรุป’ หรือถ้าจะพูดอย่างที่มันสมควรได้รับเกียรติเสียหน่อย รายงานอย่างละเอียดเกี่ยวกับเหล่าลักษณะนิสัยของเหล่าผู้มาเยือนที่ฮินะใช้ภูติจินตภาพของเธอในการสอดส่องและสอดแนมหามา ซึ่งก็รวมถึงภาษาของพวกเขาด้วย หรือในกรณีนี้ ภาษาญี่ปุ่นเฉกเช่นเดียวกับในโลกใบนี้
ชายวัยกลางคนผู้นำกลุ่มที่ได้ยินเช่นนั้นก็ทำยกคิ้วขึ้นทำสีหน้าประหลาดใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก่อนที่จะกลับไปอยู่ในท่าทีสุขุมที่ยากจะอ่านท่าทีอีกครั้ง
“น่าประหลาดใจเสียจริง ที่พวกเจ้าสามารถล่วงรู้เกี่ยวกับพวกข้าได้ถึงเพียงนี้ในเวลาอันสั้น”
เขากล่าวตอบด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมากประสบการณ์พร้อมด้วยความอาวุโส
“ในเมื่อเจ้ารู้ว่าสามารถสื่อสารกับพวกข้าได้แล้ว ทำไมไม่เริ่มจากการแนะนำตัวกันก่อนล่ะ ชื่อของข้า-”
“เลิกซื้อเวลาแล้วเข้าประเด็นกันดีกว่า ลุง”
สำหรับอากิโตะ ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือมาดสุขุมของอีกฝ่าย พวกมันก็ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าการซื้อเวลาหรือวางแผนอะไรสักอย่าง เขาเลยไม่ยอมเสียเวลากับพวกมันแม้แต่น้อย
“ถ้าหากว่าไม่รีบเดี๋ยวพวกลูกน้องลุงได้จมกองเลือดตัวเองตายจริง ๆ นะ แล้วก็ขอบอกไว้ก่อนเลยว่าอย่าว่าแต่เรียกรถพยาบาลให้เลย ทางนี้ไม่แม้แต่จะคิดจะแจ้งให้ใครมาเก็บศพให้ด้วยซ้ำ และนั่นคือคำขาด”
เขากล่าวตัดการพยายามจะแนะนำตัวของอีกฝ่ายอย่างไม่ใยดีพร้อมด้วยคำเตือนที่ก้าวร้าวเพื่อควบคุมทิศทางของบทสนทนา ซึ่งก็ทำให้อีกฝ่ายหลุดหัวเราะกับตัวเองออกมาอย่างน่าฉงน
“หึ ๆ ผู้คนในโลกสมัยนี้นี่ไร้ซึ่งการอบรมสั่งสอนมารยาทเลยสินะ ไม่เกียรติกับอีกฝ่ายหรือแม้แต่กับตนเองด้วยแนะนำตัวเลยแม้แต่น้อย แถมยังพยายามใช้ท่าทีแข็งกร้าวในเสวนาอีก ไร้ซึ่งอารยธรรมเสียจริง”
“พูดโดยพวกโจรหน้าไม่อายที่บุกมาขโมยของบ้านคนอื่นน่ะนะ”
ชายวัยกลางคนผู้ที่กล่าวสบประมาทอากิโตะอย่างจงใจชะงักไปเมื่อเห็นท่าทีไม่ใส่ใจของเขา
ไม่ว่าผลลัพธ์ที่อีกฝ่ายต้องการนั้นจะเป็นเช่นไร สิ่งเดียวที่อากิโตะรู้สึกได้ในตอนนี้คือเขาไม่สามารถใส่ใจท่าทีของคน ๆ นี้ได้น้อยไปกว่านี้อีกแล้ว
“แต่ก็เอาเถอะ ถ้าหากว่าทางนี้มีมารยาทไม่พอสำหรับลุง ก็ช่วยไม่ได้น่ะนะ”
เขาเหลือบสายตาส่งสัญญาณให้เซย์จิ
“นายจัดการคุยต่อได้เลย”
“รับทราบครับ”
ปัง
ทันทีที่เขาขานรับเสร็จ เซย์จิก็ลั่นไก P90 แล้วยิงข้ามไหล่ชายวัยกลางคนไปหนึ่งนัดในชนิดที่เหลือรอยถลอกเล็ก ๆ อยู่บนเสื้อโค้ทยาวของเขาที่สามารถสังเกตเห็นได้
“ผมไม่ใช่คนพูดกับคนแปลกหน้าได้เก่งนะครับ มันมักจะทำให้ผมรู้สึกเกร็งจนอาจจะเล็งปืนพลาดได้ ฉะนั้นครั้งหน้าที่ผมต้องพูด มือผมอาจจะเกร็งจนทำให้เล็งได้ไม่ ‘แม่น’ แบบเมื่อกี้ แล้วน่าจะเล็งเฉไปทางอื่นได้น่ะนะครับ ถ้าถามว่ามันจะเฉไปทางไหนนั้น อยากรู้ก็ลองดูได้ครับ”
เขากล่าวพูดด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร แต่ในน้ำเสียงที่ฟังดูเรียบร้อยก็แฝงไปด้วยการคุกคามที่ก้าวร้าวเสียยิ่งกว่าคำพูดใด ๆ ก่อนหน้าของอากิโตะเสียอีก
เมื่อคู่ต่อรองของเขาถูกเปลี่ยนตัวไปอย่างกะทันหัน ชายวัยกลางคนก็หลับตายืนนิ่งคิดทบทวนกับตัวเองอยู่หลายวินาทีก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาที่เริ่มเสื่อมโทรมไปตามอายุขัยของเขากลับขึ้นมาช้า ๆ
“ก็ได้ ๆ พวกเจ้าชนะ”
เขายกมือทั้ง 2 ข้างขึ้นไปในอากาศช้า ๆ สร้างความตกใจให้กับหญิงสาวทั้ง 2 คนที่ยืนและย่อตัวคุกเข่าอยู่กับพื้นข้างหลังเขา
“พวกเราจะกลับไปรักษาตัวแล้วทำเป็นลืมเรื่องนี้ไปเสีย พวกเจ้าพอใจหรือยัง?”
เซย์จิและอากิโตะตอบกลับด้วยความนิ่งเฉย ซึ่งก็เหมือนว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจความหมายของมันดี
“ชัยชนะต่อทั้ง 2 คนนี้เป็นของพวกเจ้า เหล่าคนต่างโลก”
เขาแจกแจงความตั้งใจของเขาต่อด้วยความสุขุมเยือกเย็น
“เมื่อไม่มีสิ่งใดที่พวกข้ากับเจ้าจะสามารถเจรจากันได้อีกแล้ว พวกข้าก็จะยอมถอยแต่โดยดี”
ลูกแก้วส่องแสงที่ลอยอยู่เหนือหัวของเขาและพรรคพวกมาตลอดค่อย ๆ ลดทอนความสว่างลงพร้อมกับลดระดับการล่องลอยลงช้า ๆ ทำให้แสงที่ส่องสว่างอยู่ภายในอุโมงค์ค่อย ๆ ลดเหลือแต่เพียงแสงสว่างจ้าสีขาวที่สาดส่องไปด้านหน้าตัวรถตู้ที่จอดอยู่
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้นั้นทำให้เซย์จิและอากิโตะเขย่าปืนที่เล็งประทับบ่าของพวกเขาเป็นสัญญาณเตือนอีกฝ่ายว่าพวกตนพร้อมจะเปิดฉากยิงอย่างในทันที ซึ่งนั่นก็ทำให้ชายวันกลางคงต้องอธิบายตัวเองต่อ
“ใจเย็นไว้ เหล่าคนต่างโลก นี่เป็นเพียงการจัดเก็บเหล่าสินทรัพย์ของพวกข้าเท่านั้น”
มือของชายวัยกลางคนยังคงชูขึ้นชันในอากาศในตอนที่ลูกแก้วที่เคยเปล่งแสงสีเหลืองทองลดระดับลงมาลอยอยู่ใกล้กับเอวของเขา
“ถ้าหากว่าพวกเจ้าไม่ชอบพลอการถูกช่วงชิงสิ่งใด ๆ ไปจากโลกของพวกเจ้า ก็คงไม่มีปัญหาอะไรถ้าหากว่าพวกข้าจะนำสิ่งที่นำมาจากโลกฝั่งของพวกข้ากลับไปด้วยใช่หรือไม่?”
คนหลังฉากทั้ง 2 คนเข้าใจความหมายของสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ
ถึงแม้ว่าเรื่องทั้งหมดจะเริ่มต้นมาจากการรุกล้ำของอีกฝ่าย แต่ถ้าพวกเขาที่เป็นฝ่ายป้องกันที่คอยขัดขวางไม่ให้สิ่งใด ๆ ในโลกของพวกเขาถูกช่วงชิงไปบังคับให้อีกฝ่ายทิ้งสิ่งต่าง ๆ ที่นำมาจากฝั่งของพวกไว้ มันก็คงไม่ต่างจากการที่พวกเขาช่วงชิงสิ่งเหล่านั้นไปจากอีกฝ่ายเช่นกัน
“นอกจากกล่องที่วางอยู่ข้าง ๆ นั่นกับของที่ใส่ไว้ภายใน พวกผมให้เวลาพวกคุณ 5 นาทีในการเก็บกวาดแล้วนำกลับโลกตัวเองครับ”
“ขอบคุณที่พวกเจ้าเข้าใจฝั่งของพวกข้า”
เมื่อได้คำตอบเช่นนั้นจากคนหลังฉาก ชายวัยกลางคนก็เริ่มออกคำสั่งให้หญิงสาวทั้ง 2 คนรวบรวมสติ แล้วให้ช่วยกันใช้จินตภาพของพวกตนในรวบรวมเก็บของ และเคลื่อนย้ายร่างกายของผู้บาดเจ็บของพวกตนอย่างช้า ๆ ภายใต้การจ้องมองผ่านศูนย์เล็งของมือปืนทั้ง 2 ที่ยืนห่างออกไป
แม้จะไม่มีความรุนแรงใด ๆ เกิดขึ้นราวกับว่าการปะทะนั้นได้ผ่านจุดสิ้นสุดไปแล้ว ทั้ง 2 ฝั่งก็ยังคงพยายามรักษาความระแวดระวังต่อการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายอย่างสุดเท่าที่พวกตนจะสามารถทำได้
ทางฝั่งของคนหลังฉากนั้น พวกเขาก็แบ่งงานกัน โดยที่เซย์จิจ้องมองทุกการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย ในขณะที่อากิโตะของสังเกตสภาพแวดล้อมรอบ ๆ
“…”
ราวกับเปลวแสงของก้อนถ่านที่ซ่อนอยู่ในเถ้าภายใต้กองไฟที่ดับมอดลง ภายในความมืดภายใต้หางตาของอากิโตะ เขาก็สังเกตเห็นประกายแสงหรืออะไรบางอย่างจากในนั้น
แต่เมื่อชำเลืองตาไปมองในทิศทางนั้น ก็ไม่มีอะไรอื่นนอกจากความมืดสนิทในอุโมงค์ ซึ่งก็คงไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าอาการตาฝาดจากความเครียดและความเหนื่อยล้าจากสถานการณ์ตรงหน้า หรืออย่างน้อยเขาก็อยากจะคิดอย่างนั้น
การเผชิญหน้ากับผู้มาเยือนที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ด้วยสามัญสำนัก ความเหนื่อยล้าจนก่อให้เกิดภาพหลอนหลังจากการจดจ่อเป็นเวลานานก็เป็นอะไรที่เกิดขึ้นได้แม้แต่กับหน่วยภาคสนาม
แต่กับคนหลังฉากนั้น สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้มันไม่ได้ต่างอะไรกับการทำงานปกติทั่วไปเลย ทำให้มันจะเป็นการยากที่อากิโตะจะเชื่อว่าสิ่งที่เขาเห็นที่ปลายสายตาของเขานั้นเป็นเพียงภาพหลอน ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาคิดวิเคราะห์กับตัวเองอย่างรวดเร็ว
แสง…?
ที่ไม่ใช่ตาฝาด
ในความมืด…?
เพราะแสงจากลูกแก้วที่ดับลง
ด้วยเหตุผลอะไร…?
เพื่อนำกลับโลกของพวกตน
แล้วก่อนหน้านี้มันทำอะไร…?
ส่องสว่าง
โดยใช้…?
จินตภาพ
ที่สามารถ…?
เรืองแสง
ซึ่งระยะที่สามารถควบคุมได้…?
ไกลเกินสัมผัสจนล่องลอยได้
“!!!”
อากิโตะสามารถปะติดปะต่อคำอธิบายของตัวเองออกมาได้ในที่สุด ซึ่งนั่นก็ทำให้หน้าตาของเขากลายเป็นวิตกผสมกับฉุนโกรธ แล้วหันไปพูดเตือนเพื่อนของเขาอย่างในทันทีทันใด
“กลับขึ้นรถ!!”
เซย์จิที่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ถามอะไรมากนอกจากขาน “รับทราบ” อย่างว่าง่ายแล้วเริ่มวิ่งถอยหลังกลับไปที่ประตูเลื่อนฝั่งเขาของรถตู้อย่างในทันที
คำเตือนสั้น ๆ ของอากิโตะทำให้ฮินะที่เฝ้ามองสถานการณ์อยู่ด้วยภูติที่รังสรรค์มาจากจินตภาพอย่างไร้ซึ่งการพูดจาก็เริ่มหันไปมองสังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบอีกครั้งอย่างถี่ถ้วน
เธอพยายามเคลื่อนย้ายเหล่าภูติที่เป็นเหมือนประสาทรับรู้ของเธอในตอนนี้เข้าไปสังเกตการณ์ภายในพื้นที่ด้านข้างและหลังของรถตู้เคยถูกสาดส่องด้วยแสงสีเหลืองทองจากลูกแก้วจนถึงเมื่อครู่ก่อน
ในตอนแรกนั้น เธอไม่สามารถสัมผัสถึงความผิดปกติภายในความมืดนั้น แต่เมื่อเข้าไปใกล้และเพ่งสมาธิมากกว่าเดิมเพื่อสัมผัสถึงการเชื่อมโยงสู่ระนาบภพจินตภาพ เธอก็สัมผัสได้การเชื่อมต่อบาง ๆ ที่ราวกับเส้นไหมที่ยากจะรับรู้ที่ทอดตัวออกมาจากความว่างเปล่าที่คนธรรมดาของโลกฝั่งนี้ไม่สามารถสัมผัสได้
เมื่อไล่ตามสัมผัสนั้นไป เธอก็พบว่าเส้นเชื่อมต่อที่แสนบอบบางเส้นนั้นแตกแขนงออกไปราวกับรากของต้นไม้ที่แทงไชลงไปในผืนดินจนไปสิ้นสุดลงที่มวลสารที่วางอยู่ที่ปลายทาง
มันคือเหล่าลิ่มเหล็กที่เคยถูกใช้กราดยิงใส่เพื่อนของเธอที่กระจัดกระจายไปตามส่วนต่าง ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดที่ควรจะวางแน่นิ่งอยู่บนพื้น แต่พวกมันบางส่วนกลับกำลังมีการสั่นไหวไปมาเป็นจังหวะ ๆ ราวกับว่าพลังงานที่กักเก็บอยู่ภายในรั่วไหลออกมา
แม้จะเป็นเพียงสัมผัสลาง ๆ แต่ในตอนนี้เธอก็รู้ได้ถึงกระแสของจินตภาพที่ค่อย ๆ ไหลรินเข้าไปในมวลสารจากต่างโลกเหล่านี้ ที่พร้อมจะแปรเปลี่ยนไปเป็นพลังงานจลน์ที่จะส่งให้พวกมันพุ่งเคลื่อนไหวอย่างในทันทีทันใดอีกครั้ง
‘อึก… ทำไมไม่รู้ตัวให้เร็วกว่านี้เนี่ย…’
ฮินะกร่นต่อว่าตัวเองอย่างเจ็บปวด
ในฐานะผู้ที่สามารถสัมผัสและใช้จินตภาพได้ การที่อากิโตะที่เป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่สามารถสัมผัสถึงจินตภาพได้นอกจากการเห็นรัศมีแสงลาง ๆ รอบตัวสารที่มีความหนาแน่นของจินตภาพสูงนั้นสามารถรับรู้ถึงการเชื่อมต่อไปยังระนาบภพของจินตภาพได้ก่อนเธอนั้น มันถือเป็นความล้มเหลวในฐานะผู้เฝ้ามองเป็นอย่างมาก
แต่ในตอนนี้ตัวเธอนั้นไม่มีเวลาใด ๆ เหลือพอที่จะมาต่อว่าตัวเองอีกแล้ว
ต่อให้จะอยากกร่นด่าว่าความหละหลวมของตัวเองขนาดไหน เธอก็ต้องทำใจกล้ำกลืนความขมขื่นเหล่านี้ลงไปแล้วเผชิญหน้ากับปัญหาที่อยู่เบื้องหน้าก่อน
ถ้าหากว่าไม่ทำอะไรเลย เหล่าลิ่มโลหะพวกนี้ก็จะสามารถถูกยิงออกไปด้วยจินตภาพได้ก่อนที่อากิโตะหรือเซย์จิจะสามารถเข้าถึงการคุ้มกันจากภายในตัวรถตู้ได้ทัน
และก็คงไม่ต้องถามกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากว่าลิ่มเหล็กจำนวนมหาศาลเหล่านี้เข้าปะทะกับร่างกายของมนุษย์เดินดินธรรมดา
‘ฉันสามารถแทรกแซงการเชื่อมต่อเหล่านี้ได้ แล้วนั่นก็จะตัดการควบคุมลิ่มเหล็กพวกนี้จากระยะไกลด้วยจินตภาพของอีกฝั่งได้ และอาจจะซื้อเวลาได้มากพอให้พวกเขาทั้ง 2 คนหนีเข้าที่กำบังได้ทัน’
ฮินะใช้ความคิดกับตัวเองถึงตัวเลือกเพียงอย่างเดียวที่น่าจะช่วยเพื่อนของเธอได้ในตอนนี้
‘แต่ถ้าทำแบบนั้น… อีกฝ่ายก็จะต้องสัมผัสได้ถึงการตัดขาดของการเชื่อมต่อไปยังระนาบภพจินตภาพเป็นแน่ และนั่นก็จะทำให้พวกเขาสงสัยถึงการมีตัวตนอยู่ของ ‘ฉัน’ …’
คำพูดที่อากิโตะพูดไว้ก่อนที่ความวายป่วงตรงหน้าก็ยังคงดังก้องอยู่ในความคิดของเธอ
“หลังจากนี้ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น เธอห้ามแสดงตัวตนของเธอหรือพวกภูติให้พวกนั้นเห็นหรือรับรู้ได้โดยเด็ดขาดเข้าใจไหม?”
ตัวเธอนั้นเข้าใจความหมายของคำขอนั้นของเพื่อนของเธอมากกว่าใคร ๆ
มันเป็นความหวังดีและเพื่อประโยชน์ของตัวเธออย่างถึงที่สุด
ถ้าหากว่าไม่มีใครรู้สึกถึง ‘ตัวตน’ ของเธอ ‘เธอ’ ก็จะไม่ถูกตามล่าเพื่อจะถูก ‘ลักพา’ ไป และนั่นก็จะทำให้เธอสามารถใช้ชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ต่อไปได้ในแบบที่ ‘ควรจะเป็น’ ปราศจากความกังวลต่อภัยคุกคามที่ไม่รู้ว่าจะโผล่มาจากที่ไหนหรือจะหายไปเมื่อไหร่
แต่ถึงอย่างนั้น…
ลิ่มโลหะเริ่มสั่นไหวรุนแรงขึ้นจากจำนวนจินตภาพที่ไหลรินเข้าสู่พวกมันอย่างไม่หยุดยั้ง
เธอจะสามารถอยู่ได้อย่างที่ ‘ควรจะเป็น’ จริง ๆ รึ…?
รัศมีแสงรอบ ๆ ตัวลิ่มโลหะเริ่มเข้มข้นขึ้นจนเห็นเป็นเหมือนเปลวแสงเทียนอ่อน ๆ ในความมืด
ในโลกใบนี้…
ปลายแหลมของเหล่าลิ่มเหล็กที่ลอยตัวขึ้นเริ่มหันตัวเรียงรายชี้เข้าหาคนหลังฉากทั้ง 2 ที่กำลังจะเปิดประตูเลื่อนทั้ง 2 ข้างของรถตู้ที่จอดนิ่งอยู่
ในความเป็นจริงแห่งนี้…
ชายวัยกลางคนที่แอบส่งกระแสจินตภาพจากระยะไกลตลอดเวลาหลังจากที่ดับแสงจากลูกแก้วลงผุดรอยยิ้มแสยะอย่างเปิดเผยราวกับการประกาศชัยชนะต่อคนหลังฉากทั้ง 2 ที่ไม่มีเวลาเหลือ
ในชีวิตที่เธอใช้มาจนถึงบัดนี้…
ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ลิ่มโลหะเหล่านั้นจะสามารถสังหารศัตรูทั้ง 2 ตรงหน้าของพวกเขาได้ก่อนที่จะสามารถเข้าถึงกำบังใด ๆ ได้แน่นอน และนั่น… ก็จะเป็นชัยชนะที่แท้จริงของ ‘ศึก’ ครั้งนี้
เธอจะสามารถเฝ้ามองเพื่อนคนสำคัญทั้ง 2 คนต้องตายเพราะคำขอเพื่อตัวเธอคนเดียวได้จริง ๆ รึ?
‘คำขอที่เห็นแก่ตัว ‘เพื่อฉัน’ คนเดียวแบบนั้น… ฉันขอปฏิเสธค่ะ อากิโตะ!!’
ฮินะที่ไม่มีกายเนื้อในตอนนี้ที่ไม่สามารถแทรกแซงความเป็นไปของความเป็นจริงได้โดยตรง พยายามเอื้อมมือของ ‘กายภูติ’ ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเธอเพื่อ ‘คว้าจับ’ เส้นไหมที่แตกแขนงเชื่อมโยงเหล่าลิ่มเหล็กสู่ระนาบภพจินตภาพ แล้วดึงกระชากมันให้ขาดสะบั้นอย่างสุดความสามารถเท่าที่เธอจะสามารถทำได้
‘กายภูติ’ ของเธอในตอนนี้ไม่สามารถตัดขาดเส้นของการเชื่อมต่อเส้นหลักที่ต่อตรงออกมาจาก ‘ช่องว่าง’ ของความเป็นจริงได้ แต่กระนั้นด้วยปณิธานตั้งมั่นที่เป็นของตัวเธอเอง
เหล่า ‘กายภูติ’ ของเธอที่ไม่เคยมีตัวตนหรือถูกสัมผัสได้ก็หยิบจับและดึงฉีกเหล่าเส้นสายการเชื่อมต่อต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว และก็ทำให้เหล่าลิ่มเหล็กหลาย ๆ ชิ้นร่วงหล่นลงสู่พื้นอย่างช้า ๆ หลังจากที่หลุดจากการควบคุมอันเหนือธรรมชาติ
แน่นอนว่าเหตุการณ์ที่ ‘ผิดแปลก’ สำหรับจินตภาพในเช่นนี้ก็เป็นอะไรที่ชายวัยกลางคนผู้อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวอย่างซ่อนเร้นสามารถรู้สึกได้
ความประหลาดใจและตกใจต่อการสูญเสียการควบคุมในศาสตร์อันเชี่ยวชาญของเขาที่ไม่มีทางถูกแทรกแซงได้โดยศัตรูตรงหน้าอย่างกะทันหันถูกแสดงออกอย่างชัดเจนผ่านสีหน้าที่ตาเบิกโพลงของเขา
กระนั้นด้วยความมากประสบการณ์ อะไรที่ไม่คาดฝันเพียงเท่านี้ก็ไม่มากพอที่จะทำให้เขาล้มเลิกทุกอย่างแล้วถูกกลืนกินโดยความตื่นตระหนก เขาไม่ได้มีชีวิตอยู่มาถึงจุดนี้ด้วยจิตใจที่อ่อนแอเช่นนั้น
เขารีบยิงลิ่มเหล็กที่เหลือที่ยังคงไม่ถูกตัดขาดการควบคุมในทันทีแม้จะยังได้รับจินตภาพได้อย่างเต็มที่
และจากในความมืดที่ยากจะมองเห็น เหล่าลิ่มเหล็กราว ๆ 30 ชิ้นก็พุ่งทะยานออกมาอย่างพร้อมเพียง แต่ด้วยความเร็วที่ช้าลงจนอากิโตะกับเซย์จิพอมองเห็นได้ทัน
อากิโตะที่อยู่ใกล้ประตูรถกว่าในตอนที่เริ่มขยับก็สามารถก้าวขึ้นรถทั้งตัวได้สำเร็จก่อนที่พวกลิ่มเหล่านั้นจะมาถึงตัวเขา แล้วก็กว้านแขนเหวี่ยงประตูเลื่อนฝั่งขวามือของตัวรถตู้ปิดอย่างรวดเร็ว
ทางด้านของเซย์จิที่อยู่ฝั่งซ้ายมือ เขาต้องก้าวเพิ่มมากกว่าอากิโตะ 2-3 ก้าวเพื่อถึงประตูทางขึ้นฝั่งเขา ทำให้ในจังหวะที่เขาะพยายามเลื่อนปิดประตูนั้นกระชั้นชิดกว่ามาก
และก่อนที่ประตูฝั่งเซย์จิจะสามารถปิดได้สนิท ลิ่มเหล็กชิ้นหนึ่งก็พุ่งมาชนขอบบานประตูแล้วแตกออกเป็นสะเก็ดจำนวนมากที่ฉีกแหว่งแขนเสื้อทั้ง 2 ชั้นที่เขาสวมใส่อยู่ และบาดแขนซ้ายท่อนล่างของเขาที่พยายามดันประตูปิด
“อึก”
เซย์จิกัดฟันทนเจ็บแล้วเหวี่ยงประตูปิดได้สำเร็จ ป้องกันไม่ให้มีลิ่มเหล็กอื่น ๆ สามารถพุ่งเข้ามาภายในห้องโดยสารได้
จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงที่เหมือนกับห่าฝนเทถล่มใส่โรงนาหลังคาสังกะสีเมื่อเหล่าลิ่มโลหะที่เหลือเข้าโหมกระหน่ำเข้าปะทะกับกระจกและตัวถังของรถตู้
แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ฝ่ายวิจัยที่สร้างชิ้นส่วนตัวถังและกระจกเหล่านี้ทำงานได้ดี
ตัวรถสามารถทนการระดมยิงที่มีเบื้องหลังเป็นพลังเหนือธรรมชาติได้อีกครั้ง และก็สามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างผู้ชนะอย่างที่เคยเป็น พร้อมด้วยความร้อนแดงที่แสดงถึงความรุนแรงที่มันเผชิญ