บทละครของคนหลังฉาก - ตอนที่ 0
ขอต้อนรับท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษเข้าสู่โรงละคร ‘ทุกสิ่ง’ แห่งนี้
สำหรับผู้ที่ถือบัตรสำหรับการแสดงในท้องเรื่อง ‘การดำรงอยู่’ ที่นำแสดงโดย ‘มนุษยชาติ’ ณ เวทีละคร ‘โลก’ การแสดงในรอบถัดไปของราตรีอันไร้จุดสิ้นสุดค่ำคืนนี้จะเริ่มขึ้นในอีกไม่ช้า และพวกท่านก็สามารถเข้าสู่ที่นั่งบนชั้นอัฒจันทร์ตามที่ถูกระบุไว้บนบัตรได้แล้วในขณะนี้
สำหรับท่านผู้มีเกียรติผู้ที่เพิ่งเคยมาเยี่ยมเยือนโรงละคร ‘ทุกสิ่ง’ แห่งนี้เป็นครั้งแรก ทางผู้จัดทำนั้นได้เตรียมบทสรุปเรื่องย่อและข้อมูลสำคัญต่าง ๆ เกี่ยวกับท้องเรื่องที่กำลังดำเนินอยู่ไว้ให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถ้าหากมีความสงสัยใด ๆ ก็สามารถยกมือแล้วถามข้อสงสัยเหล่านั้นได้ทุกเมื่อ
และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาไปมากกว่านี้ นี่คือเรื่องย่อของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาจนถึงจุดนี้
บนละครเวทีแห่งนี้ บนดาวเคราะห์โลก สังคมของมนุษยชาตินั้นดำเนินไปอย่างปกติเรื่อยมาตามประวัติศาสตร์ที่แสนคุ้นชินกันที่เต็มไปด้วยเหตุการณ์อย่างเช่น การล่มสลายของอาณาจักรโรมัน ไปจนถึงยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม และรวมไปถึงสงครามโลกทั้ง 2 ครั้งที่ยืดเยื้อต่อไปเป็นสงครามเย็น
แม้อาจจะมีรายละเอียดปลีกย่อยบางอย่างที่แตกต่างไปบ้าง แต่ก็เรียกได้ว่ามัน ‘เคย’ เป็นเพียงโลกธรรมดา ๆ อีกใบหนึ่ง ที่ขอเน้นย้ำว่าคำสำคัญนั้น คือคำว่า ‘เคย’ เพราะเมื่อราว ๆ 30 ปีก่อน ในช่วงปลายของศตวรรษที่ 20 โลกในแบบที่เคยรู้จักกันก็มาถึงการสิ้นสุดลงอย่างกะทันหัน
ต้องขออธิบายก่อนว่าคำว่า ‘สิ้นสุด’ นั้นไม่ได้มีความหมายเชิงกายภาพ ตัวของดาวเคราะห์นั้นยังคงดำรงอยู่เฉกเช่นที่เคยเป็น และสำหรับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ นอกจากนก เต่า และคางคกบางสปีชีส์แล้ว โดยส่วนใหญ่ก็ยังคงดำรงอยู่เหมือนเดิม และนั่นรวมถึงมนุษย์ด้วย
ถ้าหากว่าแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมหรือถูกทำให้สูญสิ้นไป แล้วด้วยเหตุใด โลกในแบบที่เคยรู้จักถึง ‘สิ้นสุด’ ลงเสียล่ะ? เพื่อจะตอบคำถามข้อนั้น ก็ต้องย้อนกลับไปมอง ‘โลก’ ในตอนก่อนที่มันจะ ‘สิ้นสุด’ ลง
ในตอนที่บทละครบนเวที ‘โลก’ ยังคงดำเนินไปในแบบที่เคยเป็นมา เหล่านักแสดงในบทต่าง ๆ ตั้งแต่นักแสดงอาวุโสผู้รับบทผู้นำประเทศอันทรงอำนาจ ไปจนถึงนักแสดงหน้าใหม่ที่ซูบผอมในบทของเด็กผู้ยากไร้ ทุกคนต่างพยายามเล่นตามบทบาทของพวกตนในแบบที่ ‘ควรจะเป็น’ อย่างแข็งขัน
ในบางมุมของเวทีก็มีเรื่องราวของการคบค้าและหักเหลี่ยมโหดกันของเหล่าผู้มีอิทธิพลที่สามารถเทียบเคียงกับบทละครสืบสวนชั้นยอดอื่น ๆ อันมีชื่อเสียงได้
ในอีกมุมก็มีบทละครขบขันของครอบครัวแสนสุขในเมืองที่เพียบพร้อมอันแสนเงียบสงบ ที่ทุกคนกำลังยิ้มแป้นให้กันและกันอย่างสนุกสนานในทุก ๆ วินาทีกำลังผ่านไปอย่างแสนอบอุ่น
และที่ยังคงดำเนินไปพร้อม ๆ กัน ก็มีเรื่องโศกนาฏกรรมสงครามที่กำลังถูกบอกเล่าผ่านมุมของนักแสดงนำเด็กผู้ที่กำลังนอนลงอย่างสั่นกลัวและกอดตัวแน่นกับปืนไรเฟิลที่เข้ามามีบทบาททดแทนพ่อและแม่ของเขาที่ได้จากไปแล้วด้วยไฟสงคราม
ในขณะเดียวกัน ถ้าหากว่ามองไปในซอกซอยระหว่างแถวของตึกระฟ้าที่ส่องสว่างหลากสีสันในค่ำคืนที่ฝนตกฟ้าปิด ก็จะมีเรื่องเศร้าของศิลปินผู้ที่กำลังไล่ล่าความฝันที่ยังไม่ใกล้จะบรรลุพร้อม ๆ กับการซ่อนพรางน้ำตาไปกับหยาดฝนที่ไหลรินลงมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ที่ว่าทั้งหมดเหล่านั้นคือตัวอย่างของบทละครโศกปนขับของเวที ‘โลก’ ที่ไม่เคยมีแก่นหลักของเรื่องมาตั้งแต่การก่อน
มันไม่เคยมีวีรชนผู้ถูกเลือกเพื่อการกอบกู้ และมันก็ไม่เคยมีเจ้าหญิงอยู่ในปราสาทหลังอื่น และก็แน่นอนว่ามันก็ไม่มีจักรวรรดิชั่วร้ายที่ถูกครอบงำโดยพลังด้านมืดของจอมมาร เพราะมันก็ไม่มีจอมมารที่จะต้องถูกกำจัดด้วยมาแต่แรกอยู่แล้ว และมีแต่เพียงแค่เหล่าผู้คนบนเวทีกับบทละครเล็ก ๆ น้อย ๆ ของพวกตนที่กำลังดำเนินอย่างที่ไม่มีวี่แววว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง
ผู้รับชมหลายคนเคยติไว้ว่าเรื่องราวของเวทีนี้นั้นแสนจะเรียบง่ายและน่าเบื่อ พร้อมกับต่อว่าหลาย ๆ เรื่องราวนั้นได้รับตอนจบที่โศกเศร้าและโหดร้ายเกินจำเป็น ในขณะที่หลาย ๆ ตัวละครกลับไม่เคยได้รับบทลงโทษอย่างสาสม และสามารถอยู่ไปถึงตอนจบของตนได้อย่างเป็นสุข ไร้ซึ่งผลกระทบใด ๆ
และนั่นก็เป็นผลให้ละครเวทีบทนี้นั้นแบ่งแยกความเห็นของเหล่าผู้รับชมโดยตลอดมา บ้างก็ว่ามันเป็นกระจกสะท้อนถึงทุกด้านของ ‘มนุษยชาติ’ ที่ดี บ้างก็ว่ามันเพิ่มเสริมความโหดร้ายจนเกินจำเป็น และบ้างก็ให้คำติติงอย่างเช่น มีการระเบิดกับเลนส์แฟลร์ในแต่ละฉากไม่มากพอ
จะเช่นไรก็ตาม ความเห็นทั้งหลายเหล่านี้ก็กลายเป็นเพียงความทรงจำจากครั้งอดีตไปแล้ว เพราะในบทหนึ่งเมื่อมากกว่า 3 ทศวรรษก่อน เรื่องราวของละครเรื่องนี้ก็ถูกผันเปลี่ยนไปอย่างไม่มีใครคาดคิด
กลุ่มของนักแสดงหลาย ๆ กลุ่มที่ราวกับมาจากละครเวทีเรื่องอื่นปรากฏตัวขึ้นบนเวที ‘โลก’ อย่างไม่มีการแจ้งเตือน ทำให้เหล่านักแสดงที่อยู่บนเวทีมาก่อนหน้าต้องตื่นตกใจและฉงนกับการดำเนินเรื่องตรงเบื้องหน้าของพวกเขาที่แปลกประหลาดออกไป
เรื่องราวที่ถูกเขียนบทและกำกับอย่างเป็นระบบระเบียบมาช้านานถูกแปรเปลี่ยนไปเป็นการด้นสดเอาตัวรอดกันอย่างไม่มีการแจ้งเตือน และทำให้บรรยากาศหลักของเรื่องถูกแปรเปลี่ยนไปเป็นความสับสนวุ่นวายพร้อม ๆ กับความเชื่อและมุมมองต่อโลกที่ถูกทำลายลง
อดีตนักแสดงนำในท้องเรื่องย่อยที่กำลังเตรียมพร้อมตัวเองเพื่อไปทำศึกที่สมรภูมิสงครามในต่างแดนถูกเปลี่ยนบทบาทให้ไปเป็นการรับมือกับบทต่อสู้กับเหล่านักแสดงผู้ไม่ได้ถูกรับเชิญให้มาปรากฏตัว
ในขณะที่ในฉากย่อยของห้องประชุมสหประชาชาติ เหล่านักแสดงในบทผู้นำโลกต่างพยายามชี้นิ้วป้ายความผิดใส่กันและกัน หลังจากที่การพยายามจะติดต่อสื่อสารหรือเจรจาใด ๆ กับอีกฝั่งนั้นล้มเหลวไม่เป็นท่า ส่งผลให้เรื่องราวต่าง ๆ บนเวทีในช่วงเวลานั้นกลายเป็นนิยามของคำว่า ‘วุ่นวายสับสน’ อย่างแท้จริง
ซ้ำร้ายให้กับโลกใบนี้ที่ไม่มีใครเข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ฉากของการแสดงส่วนใหญ่ในบทนี้ก็เป็นที่ใจกลางมหานครหรือตัวเมืองที่มีประชากรหนาแน่น ทำให้การใช้อาวุธร้ายแรงต่าง ๆ นั้นเป็นอะไรที่เกือบจะลืมไปได้เลยสำหรับนักแสดงในบทของกองทัพ
แต่ตามที่เคยมีคนกล่าวไว้ ‘สถานการณ์นั้นจะสร้างผู้กอบกู้ขึ้นมา’ ในตอนที่ความสิ้นหวังและความสับสนนั้นพุ่งทยานขึ้นถึงจุดสูงสุด นั่นคือช่วงเวลาที่เหล่าวีรชนจะสามารถแสดงศักยภาพของพวกตนออกมาได้ และสำหรับละครเวทีเรื่องนี้… ก็ไม่เชิงว่าจะเป็นแบบนั้น แต่อย่างน้อยก็ได้อะไรที่ใกล้เคียง
ว่ากันว่าบนละครเวที ‘โลก’ นั้น ต่อให้เป็นบทที่เล็กและไร้ซึ่งความสำคัญขนาดไหน แต่การที่ใครหรืออะไรสามารถดำรงตัวตนอยู่บนเวทีแห่งนี้เป็นเวลานานได้ มันก็เป็นตัวบ่งบอกถึงความสามารถที่ซ่อนเร้นอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งนั่นก็รวมไปถึงองค์กรแห่งหนึ่งที่ผู้คนในช่วงเวลานั้นไม่อยากพูดถึงด้วย
องค์กรที่มีตัวตนอยู่อย่างไม่เป็นที่สังเกตและไม่มีความจำเป็นต่อการดำรงของมนุษย์ใด ๆ แห่งนี้ที่รู้จักภายใต้ชื่อ SEAR นั้น มันคือองค์กรวิจัยอิสระถูกจัดตั้งขึ้นมาโดยไม่ขึ้นตรงกับรัฐบาลใด ๆ ของโลกที่มี เป้าหมายเป็นการวิจัยเรื่องราวต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง ยกตัวอย่างเช่น การวิจัยเกี่ยวกับส่วนประกอบที่ทำให้คอนกรีตมีรสชาติเหมือนผลเลมอนที่พวกเขาเพิ่งตีพิมพ์ออกไปเมื่อไม่นานนักก่อนจะเกิดเรื่องขึ้น
น่าจะพอคาดเดาได้ว่ามันไม่ใช่ที่จะสรรหาการใช้งานได้จริงหรือนำไปใช้ต่อยอดอะไรได้ดีเท่าไหร่ หรือให้เรียกง่าย ๆ แบบที่คนส่วนใหญ่เรียกกัน… ‘ไร้ประโยชน์’
ว่ากันตามตรง SEAR นั้นก็พอจะเข้าใจถึงเหตุผลที่ทำให้คนหมู่มากมีเสียงตอบรับแบบนั้น
ในความจริงพวกเขานั้นคำนึงถึงมันมาก ๆ จนทำให้มีการเขียนคำอธิบายยาว 9 หน้ากระดาษประกอบไว้ในรายงานถึงเหตุผลที่พวกเขาเลือกทำรสชาติเลมอนก่อนที่จะลองทำรสที่เป็นที่นิยมหลักอย่างวานิลลาหรือช็อกโกแลต
คงไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติมว่ามันไม่ได้ตอบคำถามหลัก ๆ ของผู้คนแม้แต่น้อย แต่ก็อีกนั่นแหละ ตลอดเวลาที่องค์กรนี้มีตัวตนอยู่ พวกเขาก็มักจะมีแต่การตีพิมพ์ผลลัพธ์ของการวิจัยที่หาประโยชน์ได้ยากแบบนี้อยู่เป็นประจำ ซึ่งก็ทำให้แม้แต้ผู้ที่เคยมีความสนใจในตัวองค์กรแห่งนี้ด้วยเหตุผลหลายอย่าง ๆ ถึงกับปลงตกจนเลิกใส่ใจตัวองค์กรแห่งนี้ไปในที่สุด
แล้วองค์กรที่ว่านี่ไปเกี่ยวอะไรที่เกริ่นก่อนหน้างั้นรึ?
กลับกลายเป็นในตอนที่บทโกลาหลกำลังถูกบรรเลงราวกับเสียงเพลงจากวงออร์เคสตราที่ไม่มีใครรู้ว่าต้องรับมือหรือทำตัวเช่นไร ท่ามกลางสายตาที่จับจ้องของประชากรโลก องค์กรที่มีตัวตนอยู่ราวแก๊สไนโตรเจนแห่งนี้ก็สามารถจัดการกับการเผชิญหน้ากับตัวตนประหลาดเหล่านั้นได้ดีอย่างน่าตกใจ ราวกับว่าถ้าปล่อยให้แก๊สไนโตรเจนล่องลอยอยู่มาอย่างไร้ความหมายนานพอ มันก็จะสามารถสร้างผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงได้
ช่วงเวลาหลายทศวรรษที่ SEAR มีตัวตนอยู่ ท่ามกลางงานวิจัยต่าง ๆ ที่พวกเขาศึกษา หนึ่งในนั้นคือเรื่องของการงานวิจัยเหล่านั้นคือการศึกษาเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการปรากฎตัวของตัวตนต่าง ๆ ที่มีพื้นฐานจาก ‘ความเป็นจริง’ ที่ต่างออกไป
ถ้านั่นฟังเหมือนกันงานวิจัยที่โผล่มาอย่างไม่มีเหตุไม่มีผล นั่นก็เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา SEAR ไม่เคยมีการตีพิมพ์หรือพูดถึงการศึกษาเรื่องนี้ในที่สาธารณะเลย
ถ้าให้ว่ากันตามจริง ต่อให้ใช้มาตรฐานของ SEAR ที่คิดว่าคอนกรีตรสเลมอนเป็นอะไรที่น่านำเสนอแล้ว หัวข้ออย่างการรับมือตัวตนจาก ‘ความเป็นจริง’ ที่แตกต่างออกไปก็ยังเป็นอะไรที่ฟังดูบ้าเกินไปที่จะตีพิมพ์อยู่ดี และนั่นก็เป็นผลให้มันไม่เคยถูกพูดถึงมาก่อนด้วย
ด้วยความสัจจริง ใครจะไปคิดว่ามันจะเกิดขึ้นเข้าจริง ๆ
เอาเข้าจริง ในขณะที่เวที ‘โลก’ ที่กำลังอยู่ในสภาพวุ่นวายสับสน ตัว SEAR นั้นยังต้องใช้เวลาหลายวันเลยเพื่อค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับงานวิจัยชิ้นนั้นที่โดนโยนเก็บไว้สักแห่งในคลังเอกสารของพวกเขา
แต่ก็ต้องขอบคุณการอดหลับอดนอนในการค้นหาข้อมูลพวกนั้นจากกองเอกสารจำนวนมาก มันกลายเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือกับเหล่าตัวตนทั้งหลายเหล่านั้น และก็ทำให้โลกสามารถหลีกเลี่ยงการใช้อาวุธพลังทำลายล้างสูงของเหล่าทัพต่าง ๆ ที่ไม่สามารถเลือกเป้าหมายเจาะจงได้
เอาจริง ๆ แค่นึกถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นถ้าหากว่ายุทโธปกรณ์เหล่านั้นถูกใช้ในสภาพแวดล้อมแบบมหานครที่มีประชากรหนาแน่นแล้ว ก็คงจะบอกได้ยากว่าละครบทนี้จะมีทิศทางไปต่อเช่นไรหลังจากนั้น
และหลังจากที่การดำเนินเรื่องอย่างวุ่นวายบทนั้นปิดม่านลง บนเวทีที่เต็มไปด้วยความกลัวและความสับสน เหล่านักแสดงในบทต่าง ๆ นั้นก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดีว่ามันเพิ่งเกิดอะไรขึ้น ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะการแสดงบทของเหล่ากลุ่มผู้นำโลกที่เป็นเหมือนการกลบเกลื่อนมากกว่าการอธิบาย เลยเกิดเป็นสภาวะของความไม่ไว้ใจต่อกันและกันอย่างเปิดเผย
ในขณะเดียวกัน ทางด้านของ SEAR ก็คงจะไม่มีใครคิดจะปฏิเสธหรือดูถูกพวกเขาที่สามารถรับมือกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยให้มนุษยชาติพ้นวิกฤติภัยครั้งใหญ่ไปได้อย่างโดยที่มีความเสียหายไม่มากนัก
ด้วยมุมมองของผู้คนต่อ ‘ความเป็นจริง’ ที่แปรเปลี่ยนไป ก็ความเห็นส่วนใหญ่นั้นกลายเป็น ‘มนุษยชาตินั้นไม่ได้มีพร้อมที่จะรับมือกับเหตุต่าง ๆ แม้แต่น้อย’ อย่างเป็นเอกฉันท์ และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของ ‘โลกใบใหม่’ ที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นระเบิดเวลาของความรุนแรงต่าง ๆ ที่รอคอยการปะทุอย่างไม่มีวันหวนกลับ
ซึ่งการปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งของตัวตนแปลกประหลาดเหล่าอีกครั้งภายในเวลาไม่นานหลังจากเหตุการณ์ในตอนนั้น ก็เป็นเหมือนเครื่องยืนยันความจริงต่อแนวคิดที่ยากจะยอมรับข้อนั้น
กระนั้นมันก็ยังมีความอุ่นใจเล็กน้อย เพราะว่าระดับความกว้างและรุนแรงของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 นั้นไม่ได้ใกล้เคียงกับที่เกิดในครั้งแรกเลยแม้แต่น้อย และก็ถูก SEAR ควบคุมและจัดการได้ในเวลาอันรวดเร็วจนเกือบจะไม่มีความเสียหายใด ๆ
แต่หลังจากนั้นไม่นาน เหตุการณ์เช่นนั้นมันก็เกิดขึ้นอีก ซึ่งก็ลงเอยด้วยที่ SEAR ต้องออกโรงอีก และก็เป็นเช่นนั้นอยู่อีกเรื่อย ๆ ตลอดเวลามากกว่า 3 ทศวรรษต่อมา ก่อนที่เวที ‘โลก’ จะเริ่มเปิดม่านเข้าสู่บทใหม่ของเรื่องราวที่มีชื่อเรียกว่า ‘ปัจจุบัน’
ซึ่งเมื่อมาถึง ‘โลก’ ในตอนนี้ การที่ SEAR ออกไปรับมือตัวตนต่าง ๆ ที่ปรากฏขึ้นอย่างไม่มีที่มาที่ไปก็เกือบจะกลายเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันไปแล้ว เฉกเช่นเดียวกับเหตุการณ์อย่างรถติด หรือไฟไหม้อาคาร
จะเรียกว่าเป็นความชะล่าใจของมนุษยชาติโดยรวมก็คงไม่ผิด แต่ในขณะเดียวกันตลอดเวลาที่มากกว่า 30 ปีที่ผ่านมานั้น SEAR ก็สามารถรับมือกับเหตุเหล่านี้ได้อย่างดีมาโดยตลอด และก็เป็นผลให้กิจวัตรประจำวันและโครงสร้างสังคมต่าง ๆ นั้นย้อนกลับไปเป็นอย่างที่เคย
แน่นอนว่าโลกที่ต้องพึ่งพาองค์กรใดองค์กรหนึ่งนั่นไม่ใช่อะไรที่น่าสบายใจเท่าไหร่ และตัว SEAR เองก็ไม่คิดจะทำตัวให้ดูน่าเชื่อถือหรือใกล้เคียงอุดมคติของใครเช่นกัน
เพราะแม้ว่าหลังจากที่บริบทและภาพลักษณ์ของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปเป็นหนึ่งในองค์กรที่สำคัญต่อการดำรงอยู่ของมนุษยชาติอย่างที่สุดแล้ว แต่ SEAR ก็ยังคงเป็นองค์กรอิสระที่ไม่ขึ้นกับใครอยู่ดี
ทำให้นอกเหนือจากเวลาที่มีการรุกรานต่าง ๆ เกิดขึ้น พวกเขาก็ยังคงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการวิจัยสิ่งที่พวกเขามองว่า ‘มีประโยชน์’ อย่างที่เคยเป็นมา ซึ่งนั่นก็หมายถึงการลงแรงกับงานวิจัยที่ ‘ไร้ประโยชน์’ ถ้าหากว่าให้พูดกันด้วยภาษาชาวบ้าน
และนั่นก็คือบทสรุปของเนื้อเรื่องจนถึง ‘ปัจจุบัน’
เรื่องราวในฉากหน้านั้นจะเป็นเช่นไรต่อไป ด้วยบทที่ไร้คนเขียน และการดำเนินที่ไร้ซึ่งผู้กำกับ ก็คงจะไม่มีใครสามารถตอบได้
แต่ในขณะเดียวกัน นั่นก็เป็นอีกหนึ่งความสวยงามของละครเวทีบทนี้ ในโลกที่วันพรุ่งนี้ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ในโลกที่การทำตัวเฉกเช่นเมื่อวันวานอาจจะเป็นไปไม่ได้อีก เหล่านักแสดงในบทต่าง ๆ ก็กำลังพยายามกันอย่างสุดความสามารถเพื่อเอาตัวรอดและดำรงอยู่ให้ได้บนเวทีที่ไม่เคยหยุดนิ่งแห่งนี้
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งเดียวที่ท่านผู้มีเกียรติทั้งหลายในที่นี้มาเพื่อรับชมใช่หรือไม่? ไม่สิ ด้วยบัตรเข้าชมในมือของพวกท่าน พวกท่านไม่ได้มายังสถานที่แห่งนี้เพียงเพื่อจะรับชม ‘ความสวยงาม’ บทเวทีแต่อย่างเดียวเป็นแน่
เช่นเดียวกับบทละครที่มีชื่อเสียงต่าง ๆ เมื่อมองเลยผ่านแผ่นฉากและกำแพงม่านที่กำบังไป เบื้องหลังของละครชุดต่าง ๆ ก็ต้องมีกลุ่มชองบุคคลที่ไม่เคยและไม่ควรจะถูกพบเห็นคอยเคลื่อนไหวอยู่เบื้องหลังเพื่อค่อยสนับสนุนเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินไปในฉากหน้าอยู่เป็นแน่
พวกเขาและเธอทั้งหลายในหลังฉากที่ไม่มีวันจะได้รับเสียงกู่ร้องหรือเสียงปรบมือใด ๆ ต่างวิ่งไปมาอย่างไม่ให้ถูกมองเห็น พร้อมกับการทำหน้าที่ที่ ‘สกปรก’ จนเนื้อตัวนั้นเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบฝุ่นแป้งและเศษวัสดุต่าง ๆ จากโลกเบื้องหลังเพื่อให้ความ ‘สวยงาม’ ต่าง ๆ เบื้องหน้าสามารถดำเนินต่อไปได้
พวกท่านทั้งหลายที่ผู้ถือครองบัตรเข้าชมในที่นั่งพิเศษเหล่านั้นก็ต้องการจะเป็นประจักษ์พยายานต่อทุกสิ่งที่ ‘สกปรก’ ที่กำลังเกิดขึ้นพร้อม ๆ กันกับการดำเนินไปในฉากหน้าด้วยใช่หรือไม่?
ถ้าหากว่าเป็นเช่นนั้น ก็โปรดยื่นบัตรชมของโชคที่กลั่นแกล้งกับชะตาที่เล่นตลกของท่านออกมา แล้วพร้อมที่จะย่างก้าวขึ้นสู่อัฒจันทร์รับชมพิเศษอันแสนพิศวงและบิดเบี้ยวของโรงละครแห่งนี้
ขอต้อนรับเข้าสู่ที่นั่งพิเศษที่ทุก ๆ การดำเนินไปในเบื้องหน้าและทุก ๆ การเคลื่อนไหวในเบื้องหลังของบทละครบทนี้สามารถถูกรับได้อย่างเป็นหนึ่งเดียวกันโดยที่ไม่มีฉากกั้นหรือผืนม่านใด ๆ กำบัง
เตรียมพบสัมผัสกับประสบการณ์ที่มิอาจหาได้ที่ไหนอันเป็นความภาคภูมิใจของโรงละครแห่งนี้
ขอต้อนรับทุก ๆ ท่านเข้าสู่บทละครของคนหลังฉาก