บทชีวิตใหม่ - ตอนที่ 15 ถานเจี่ยเหล่าตังเมียน
บทที่ 15 ถานเจี่ยเหล่าตังเมียน
หลังจากที่ออกมาจาก Dream Paris ถานเสี่ยวเทียนก็เห็นว่ามีบ้านที่กำลังประกาศขายอยู่ฝั่งตรงข้ามของร้านคาราโอเกะ เขาสนใจและวิ่งเข้าไปถามราคา
เป็นคู่สามีภรรยาชราที่ประกาศขายบ้าน พวกเขาเสนอราคาที่ 1,000 หยวนต่อตารางเมตรและบ้านหลังนี้ก็มีเนื้อที่มากกว่า 80 ตารางเมตรรวมเป็น 80,000 หยวน
ในเวลานี้ ราคาบ้านเฉลี่ยในซานเฉิงอยู่ที่ประมาณ 800 หยวนต่อตารางเมตร ซึ่งราคาที่ทั้งคู่เสนอขายก็ถือว่ายุติธรรม
หลังจากถานเสี่ยวเทียนดูบ้านแล้ว เขาก็ตัดสินใจที่เกลี้ยกล่อมให้พ่อกับแม่ของเขามาซื้อบ้านและเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวที่นี่หลังจากที่ปรับปรุงมันใหม่
ตำแหน่งนี้ถือเป็นศูนย์กลางของเขตหลี่ซาน การเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวที่จะไม่มีทางขาดทุนแน่นอนและอีกประเด็นคือ หลังจากปี 2000 ถนนเอ่อเต้าเส้นนี้จะถูกเปลี่ยนให้เป็นถนนคนเดิน ภายในปี 2010 แค่ราคาหน้าร้านต่อตารางของที่นี่ก็จะมากกว่า 10,000 หยวน
ถานเสี่ยวเทียนยังไม่รีบกลับบ้าน เขาขยับม้านั่งตัวเล็กๆ และนั่งอยู่ที่นั่นเพื่อที่รอต่อรองราคากับคู่สามีภรรยาชรา
หญิงชราใจดีอย่างมาก เธอยิ้มและพูดคุยกับถานเสี่ยวเทียนเป็นเวลานานก่อนจะพูดว่า “หนุ่มน้อย 80,000 หยวนนั้นไม่ใช่เงินน้อยๆ หากเธอต้องการจะซื้อมันจริงๆ ก็พาผู้ใหญ่ที่บ้านของเธอมาคุยเถอะ”
คืนนั้น ถานเสี่ยวเทียนได้พูดคุยกับพ่อแม่ของเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้
“อะไรนะ? แปดหมื่น? มันจะไม่แพงเกินไปงั้นเหรอ?” ซ่งชุนฮวาส่ายหัวทันทีที่ได้ยินราคา
ถ้ามันเป็นชีวิตก่อน ถานเสี่ยวเทียนคงจะต่อรองอะไรแม่ของเขาไม่ได้ แต่ตอนนี้เขามีไพ่อยู่ในมือแล้ว
“แม่ครับ แม่กับพ่อทำเส้นบะหมี่จนถึงตีสองทุกวัน ไหนจะร้านข้างทางที่กว่าจะปิดร้านก็ดึกมากแล้วอีก ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปมันจะไม่ส่งผลกระทบต่อการสอบเข้ามหาลัยของผมเหรอครับแม่?”
เมื่อพูดถึงการสอบเข้าวิทยาลัย ซ่งชุนฮวาก็พูดไม่ออกทันทีเพราะสิ่งที่เธอกังวลมากที่สุดคือผลการเรียนของลูกชายตัวน้อยของเธอ
เธอมองไปที่ถานเยว่จินสามีของเธอและรอความคิดเห็นของเขา
ถานเยว่จินลังเลอยู่ครู่หนึ่งเพราะเงินแปดหมื่นมันไม่ใช่เงินน้อยๆ แม้ว่าตอนนี้เขาจะมีเงินมากกว่า 2 แสนหยวน แต่มันก็เป็นเงินที่พวกเขาหามาอย่างยากลำบากกว่าสิบปี มันจึงทำให้เขารู้สึกลำบากใจที่จะต้องจ่ายออกทีละมากๆ ขนาดนี้!
อีกอย่างถ้าแค่อยากได้หน้าร้านจริงๆ แปดหมื่นหยวนนี้ก็ถือว่าเป็นการลงทุนที่เยอะไปหน่อย
แน่นอนว่าถานเสี่ยวเทียนรู้ว่าพ่อแม่ของเขากำลังคิดอะไรอยู่ ดังนั้นเขาจึงอ้าปากพูดออกมาช้าๆ “พ่อครับแม่ครับ ผมไปดูบ้านหลังนั้นมาแล้ว แค่ปรับปรุงนิดๆ หน่อยๆ ในสัปดาห์เดียวเราก็สามารถเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวใหม่ได้แล้วนะครับ ที่นั่นเป็นที่ทำเลดี แน่นอนว่าจะต้องมีลูกค้ามากมายและหลังจากร้านก๋วยเตี๋ยวเปิดขึ้น ราคาอาหารทุกรายการของเราก็จะเพิ่มขึ้น บะหมี่จาก 4 หยวนก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 5 หยวน ไก่ผัดซอสจาก 3 หยวนก็เป็น 4 หยวนและไข่ดองก็…. เราจะสามารถขายได้มากกว่า 80,000 หยวนต่อปีเลยนะครับ”
“ลูกกำลังเพ้อฝันอะไร! ถ้าเราขายแพงขนาดนั้นใครจะกล้าเข้ามากินที่ร้านของเรา?” ซ่งชุนฮวาไม่เห็นด้วย
“แม่ครับ แม่รู้จักคุณหลี่ไหม? ครอบครัวของเขาขายบะหมี่ชามละ 7 หยวนเลยนะครับและพวกเขาก็ขายดีมากด้วย”
“เขาขายก๋วยเตี๋ยวเนื้อ แต่เราขายก๋วยเตี๋ยวไก่”
“ราคา 5 หยวนมันคือราคาความอร่อยของน้ำซุปของเรานะครับแม่ และเราจะต้องขายมันในราคา 6 หยวน 7 หยวน 8 หยวนในอนาคต!”
ซ่งชุนฮวาผายมือทั้งสองข้างออก “จบแล้ว… ลูกของเราเรียนหนักจนบ้าไปแล้ว” เธอไม่เชื่อว่าบะหมี่หนึ่งชามจะสามารถขายในราคา 8 หยวนได้
“เสี่ยวเทียนบ้านที่ครอบครัวเราเตรียมจะย้ายไปเมื่อปีก่อนใกล้จะแล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่เราคุยกันไว้ เราก็จะได้เปิดร้านของเราที่บ้านหลัง แล้วถ้าเป็นแบบนั้นการซื้อบ้านในหลี่ซานมันจะไม่เสียเปล่าอย่างนั้นเหรอลูก?” ถานเยว่จินแสดงความกังวลของเขาออกมา
ถานเสี่ยวเทียนหัวเราะ “พ่อครับ แม่ครับ ไม่ใช่ว่าพี่อู๋เฉียนชิวกับพี่สะใภ้จะมาเรียนรู้งานกับเราที่นี่งั้นเหรอครับ? ทั้งสองคนเป็นคนดีทำไมเราไม่ให้พวกเขาไปดูแลร้านที่หลี่ซานแทนพวกเราล่ะครับพ่อ เราจะได้เปิดร้านที่นี่ต่อไปได้แถมยังมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกด้วย ไม่ดีเหรอครับ?”
ทันทีที่ได้ยินว่าสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องงานของลูกพี่ลูกน้องของตนได้ ซ่งชุนฮวาก็เปลี่ยนข้างมาอยู่กับลูกชายทันที ตอนนี้คนที่ยืนกรานในความคิดเดิมกลายเป็นแค่ถานเยว่จินคนเดียว
เมื่อเห็นว่าถานเยว่จินเองกำลังกังวลว่าคนนอกจะมาขโมยสูตรก๋วยเตี๋ยวที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองอยู่ ถานเสี่ยวเทียนจึงเข้าไปกระซิบสองสามคำข้างๆ หูของเขาและถานเยว่จินก็ขมวดคิ้วทันที
สำเร็จ! ถานเยว่จินยอมตกลงแล้ว
หลังจากนั้น ซ่งชุนฮวาก็เข้ามาถามลูกชายของเธอว่าเขาพูดอะไรกับพ่อของเขา?
ถานเสี่ยวเทียนหัวเราะและคำสี่คำก็ออกมาจากปากของเขา: จงยางฉูฝาง (ครัวกลาง)
ซ่งชุนฮวาถามเขาด้วยสีหน้างุนงงว่ามันหมายถึงอะไร
ถานเสี่ยวเทียนกระซิบที่ข้างหูของแม่ของเขา ‘มันง่ายมากครับแม่ เราก็แค่เตรียมน้ำซุปและผักตุ๋นของเราที่นี่ จากนั้นก็ส่งพวกมันไปที่หลี่ซาน เท่านี้สูตรลับของเราก็จะไม่มีใครรู้แล้วครับ‘
ในปี 1998 ขั้นตอนการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์นั้นเรียบง่ายและภาษีโฉนดก็ต่ำ ในเช้าวันเดียวกันทั้งคู่สามีภรรยาสกุลถานและคู่สามีภรรยาชราได้ชำระเงินและเซ็นมอบบ้านและที่ดิน การซื้อบ้านดำเนินไปอย่างราบรื่น
ถานเยว่จินเป็นคนที่มีความสามารถสุดยอด ในบ่ายวันนั้น เขาได้นำช่างฝีมือสองคนที่เขาเจอจากข้างถนนมาช่วยตกแต่งบ้านทันที
การเปิดธุรกิจขนาดเล็กในปี 1998 ประชาชนทั่วไปยังคงต้องดำเนินการขั้นตอนที่ยุ่งยากมากมาย ตัวอย่างเช่นแผนธุรกิจ ภาษี สุขอนามัยและการป้องกันโรค พวกเขาต้องวิ่งเต้นไปรอบๆ จ่ายเงินเพื่อแลกประทับตรา แม้ว่าคุณจะเปลี่ยนหน้าต่างและประตูแล้ว แต่หากยังไม่ได้การรับรองจากกรมอสังหาริมทรัพย์ คุณก็ไม่สามารถเปลี่ยนมันให้เป็นร้านค้าเชิงพาณิชย์ได้
แต่ทั้งหมดนี้ถานเสี่ยวเทียนคิดไว้แล้ว เขาเรียกไห่หงษ์ออกมาทันที เธอไม่ได้เองเหรอว่าแถวนี้เป็นถิ่นของเธอ?
ไห่หงษ์ย้ายเก้าอี้ตัวเล็กๆ มานั่งกินเมล็ดทานตะวันอยู่ที่ทางเข้าร้านก๋วยเตี๋ยวที่กำลังปรับปรุงใหม่ ไม่ว่าจะเป็นคนจากกรมไหนมาถึงเธอก็จะหันไปยิ้มทักทายและชี้ไปทางร้านคาราโอเกะของ “นั่นเป็นร้านของฉันเอง คุณเข้าไปเล่นสนุกกับพวกสาวๆ ได้เลย”
บรรดาผู้ที่มากลายเป็นเคารพในทันที “พี่หงษ์สุภาพเกินไปแล้ว เราจะต้องมาร่วมพิธีเปิดร้านนี้ให้ได้อย่างแน่นอนและเราจะส่งใบรับรองเปิดร้านมาให้ภายในสองวันครับ”
ไห่หงษ์นั่งอยู่นานก่อนที่จะจากไป จากนั้นก็มีข่าวลือกระจายไปทั่วว่าเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวนี้คือไห่หงษ์ ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้ามาสร้างปัญหาอีกเลย
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ถานเจี่ยเหล่าตังเมียนก็เปิดให้บริการ [1] และก็เป็นไปตามที่ถานเสี่ยวเทียนคาดเอาไว้ วันที่ร้านเปิดนั้นมีลูกค้าเข้ามาเต็มร้านและร้านก็เต็มไปด้วยลูกค้าไปตลอด
[1] ถานเจี่ยเหล่าตังเมียน (ก๋วยเตี๋ยวโบราณตระกูลฐาน)
การที่ร้านอาหารจะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้น มันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยเช่น ความสะอาด สไตล์ตกแต่งร้านและความหรูหรา แต่ที่ขาดไม่ได้เลยก็คือรสชาติและปริมาณ
แน่นอนว่าร้านถานเจี่ยเหล่าตังเมียนนั้นมีครบทั้งหมด ทั้งเรียบร้อย เป็นระเบียบ หรูหราและที่สำคัญคือมันอร่อย
บะหมี่ที่ปรุงในน้ำซุปไก่นั้นอร่อยมาก ส่วนผักตุ๋นที่ทำโดยถานเยว่จินนั้นก็เข้มข้นไม่แพ้กันซึ่งเพียงพอแล้วที่จะทำให้ร้านนี้ขายดี
อู๋เฉียนชิวลูกพี่ลูกน้องของเขาและภรรยาที่มาจากชนบทนั้นเป็นคนขยันทำงาน พวกเขาช่วยแบ่งปันภาระของถานเยว่จินและซ่งชุนฮวาไปได้อย่างมาก ทำให้ทั้งสองไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยเหมือนเมื่อก่อน
ร้านก๋วยเตี๋ยวใหม่ทำกำไรได้ประมาณ 300 หยวนต่อวันหรืออาจจะเกิน 500 หยวนได้ในช่วงวันหยุด ในปี 1998 เงินขนาดนี้ต่อวันถือว่าไม่น้อยเลย ซ่งชุนฮวายิ้มอย่างมีความสุขทุกวันที่นับเงิน
น่าเสียดายที่ถานเสี่ยวเทียนไม่สามารถมาดูร้านก๋วยเตี๋ยวใหม่นี้ได้เพราะซ่งชุนฮวาได้สั่งห้ามอย่างเด็ดขาดว่า ไม่ให้ฟุ้งซ่านจนกว่าการสอบเข้าวิทยาลัยจะสิ้นสุดลง
******
ชีวิตของเด็กม.ปลายปี 3 นี่ช่างโหดร้ายเสียจริง หลังจากวันที่ 11 พฤษภาคม การสอบจำลองครั้งที่สามของเมืองก็เริ่มขึ้น
เมื่อเทียบกับครั้งที่สองแล้ว ถานเสี่ยวเทียนมีความมั่นใจมากขึ้น หนึ่งเดือนของการทบทวนอย่างหนักนี้มันจะต้องทำให้คะแนนของเขาเพิ่มขึ้นมากอย่างแน่นอน
หลังจากประกาศคะแนนแล้ว อันดับของถานเสี่ยวเทียนได้เพิ่มขึ้น 10 อันดับและตอนนี้เขาก็อยู่อันดับที่ 48 คะแนนของแต่ละวิชาคือภาษาจีน 103 คะแนน คณิตศาสตร์ 49 คะแนน 178 คะแนนในวิชาศิลปศาสตร์ครอบคลุมและ 147 คะแนนในวิชาภาษาอังกฤษ คะแนนรวมคือ 477 ซึ่งเพิ่มขึ้น 119 คะแนน เมื่อเทียบกับการสอบครั้งที่สอง
เหรินชูเฟินเรียกถานเสี่ยวเทียนไปพบเหมือนเคย แต่ครั้งนี้มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าของเธอและเธอก็พูดให้กำลังใจเขาเพื่อให้เขาตั้งใจเรียนต่อไป
และข่าวที่ใหญ่ที่สุดของโรงเรียนคือ ฉู่ถิงนั้นหลุดจาก 10 อันดับแรกและคะแนนของทุกวิชาก็ลดลงมากกว่า 10 คะแนน
หลินว่านหงที่รู้เรื่องนี้จากเหรินชูเฟินผ่านโทรศัพท์ก็รีบมาที่โรงเรียนทันทีพร้อมกับดวงตาของเธอที่เป็นสีแดงด้วยความไม่พอใจ
เหรินชูเฟินเกลี้ยกล่อมเธอเป็นเวลานานและในที่สุดก็พูดอย่างจริงจังว่า “ฉันเคยพูดไปแล้วนะคะว่าอย่าใช้วิธีการรุนแรงเพราะจะทำให้เด็กๆ เสียสมาธิ..”
หลินว่านหงเข้าใจว่าเหรินชูเฟินกำลังตำหนิที่เธอรักลูกของเธอ (มากเกินไป)
ฉันทำอะไรผิด?
ลูกสาวของฉันตกหลุมรักผิดเวลา แล้วฉันที่เป็นแม่ควรจะยังไง? ฉันควรจะสนับสนุนเธองั้นเหรอ?
ตอนนี้หลินว่านหงกำลังอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก