[นิยายแปล]Yuushashi Gaiten บันทึกประวัติศาสตร์ไร้มูลเหตุของผู้กล้า - ตอนที่ 9: -ฟุโยว ยูนะไม่ใช่ผู้กล้า- ตอนที่ 4 Every man is the architect of his own fortune.
- Home
- [นิยายแปล]Yuushashi Gaiten บันทึกประวัติศาสตร์ไร้มูลเหตุของผู้กล้า
- ตอนที่ 9: -ฟุโยว ยูนะไม่ใช่ผู้กล้า- ตอนที่ 4 Every man is the architect of his own fortune.
ฉันยืนอยู่ในสนามบาส สายตามองไปยังคนอื่นๆ ในสนาม วางแผนเส้นทางที่จะวิ่งไป ที่ปลายสุดของเส้นทางคือห่วงบาสของอีกฝั่งที่อยู่เหนือหัว สิ่งที่คนในทีมต้องการให้ฉันทำไม่ใช่เล่นส่งบอลไปมา แต่เป็นการชูตให้ได้คะแนนดีๆ สักลูก
เพื่อนร่วมทีมคนหนึ่งส่งบอลมาที่ฉัน สัมผัสได้ถึงผิวหนาๆ ของลูกบาสที่ปลายนิ้ว ฉันเดาะบาสวิ่งไปยังเป้าหมายที่ตั้งไว้ มีฝ่ายตรงข้ามคนหนึ่งเข้ามาบล๊อค แต่ฉันเฟดหลุดออกมาได้
สนามบาสไม่ได้กว้างมาก การวิ่งอย่างต่อเนื่องจากจุดที่รับบอลไปถึงเป้าหมายจึงใช้เวลาเพียงไม่กี่อึดใจ ในช่วงเวลาสั้นๆ นั้น ทั้งผู้เล่นคนอื่นและคนดูต่างก็หันความสนใจมาที่ฉันกับลูกบาสโดยไร้ซึ่งคำพูดใด ฉันไม่ชอบช่วงเวลาแบบนี้ จึงวิ่งให้เร็วที่สุดเพื่อให้มันจบเร็วที่สุดที่เป็นไปได้
เมื่อไปถึงเป้าหมาย ฉันใช้แรงส่งจากการวิ่งและกระโดดชูตบอลท่าเลย์อัพลงห่วงไปในที่สุด
เทอมใหม่ได้เริ่มขึ้นหลังปิดเทอมฤดูร้อนจบลง
ในวันนั้นฉันเข้าช่วยเหลือชมรมบาส คู่แข่งของเราคือชมรมบาสจากโรงเรียนอื่น นี่เป็นเพียงแมชกระชับมิตร จึงไม่จำเป็นต้องจริงจังอะไร แต่ประธานชมรมไม่ค่อยกินเส้นกับฝั่งตรงข้าม และอยากจะเอาชนะเต็มที่ ดังนั้นเลยขอให้ฉันช่วย
ไม่นานหลังจากทำคะแนนได้ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาเพื่อจบการแข่งขัน
“ขอบคุณนะยูซุกิจัง เพราะเธอแท้ๆ พวกเราเลยชนะมาได้”
หลังการแข่งขันจบลง ประธานชมรมก็วิ่งเข้ามาตบหลังฉันหลายครั้ง
“ไม่มีฉันก็ชนะได้อยู่แล้วนะ”
“โน้ว โน ไม่มีทางเลย! ยูซุกิจังคนเดียวทำคะแนนได้เกินครึ่งจากทั้งหมดเลยนา!”
“นั่นเพราะฉันอยู่กองหน้าต่างหาก ก็แค่ทุกคนส่งบอลให้ในจังหวะที่ฉันอยู่ตำแหน่งที่ดี…”
ระหว่างที่เราคุยกัน หางตาของฉันก็สบเข้ากับเด็กสาวรูปร่างเล็กคนหนึ่งบนอัฒจันทร์ แม้จะอยู่ในฝูงชน แต่รูปลักษณ์ของเธอก็ทำให้รู้ในทันทีว่าเป็นใคร
“ขอโทษนะ ฉันต้องไปแล้ว”
ฉันตัดบทสนทนากับประธานชมรมแล้ววิ่งขึ้นไปบนอัฒจันทร์ตรงหาเด็กสาวคนนั้น – ไปหาลิลลี่
ฉันวิ่งขึ้นบันได เข้าไปในแถวที่เธออยู่ เพราะการแข่งขันจบลงแล้ว พวกคนดูและนักเรียนเลยเริ่มพากันลุกเดินลงจากที่นั่ง ลิลลี่เป็นเพียงคนเดียวที่ยังอยู่ มือของเธอยังคงวางอยู่บนรั้ว
น่าจะไม่ได้เจอกันมาประมาณสามสัปดาห์ได้แล้วมั้ง
ตั้งแต่ตอนที่บอกจะสร้างแพที่ชายหาดอาริอาเกะในเดือนสิงหาก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย กิจกรรม [ชมรมผู้กล้า] ที่ทำมาตั้งแต่เริ่มปิดเทอมก็ต้องหยุดลงไปด้วย ฉันส่งข้อความหาซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ก็ไม่ได้คำตอบกลับมา
ฉันเดินเข้าไปยืนอยู่ข้างเธอ แล้วลิลลี่ก็หันหน้ามาหา
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ยูซุกิคุง!”
เธอทักทายอย่างที่ทำตามปกติ ราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเรา
“ใช่ ไม่ได้เจอกันตั้งแต่ปิดเทอมฤดูร้อน”
ภาพของลิลลี่ที่เจอกันครั้งสุดท้ายตอนปิดเทอมฤดูร้อนย้อนกลับมาในหัว ลิลลี่ที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ปราศจากความสดใส และไร้เดียงสาอย่างที่เคยเป็น ถ้านั่นคือลิลลี่ตัวจริง หมายความว่าเด็กสาวที่มีน้ำเสียงสดใสตรงหน้านี่เป็นเพียงการแสดงปลอมๆ
ระหว่างที่ฉันอยู่ในภวังค์ ลิลลี่ก็พูดต่อ
“สมกับเป็นยอดคนจริงๆ เลยนะยูซุกิคุง! ตอนนี้ชักอยากจะเห็นเธอตอนเล่นวอลเลย์บอลกับเทนนิสแล้วสิ…”
“…ใครมันจะไปสนเรื่องนั้นกันล่ะ ทำไมหล่อนถึงไม่ตอบข้อความกลับมาบ้าง? แล้วเกิดอะไรขึ้นกับชมรมผู้กล้า?”
“อ่อ ฉันไม่ได้ทำอะไรตั้งแต่ตอนที่เราเจอกันที่หาดอาริอาเกะแล้วล่ะ เพราะต้องวางแผนในการข้ามกำแพงใหม่ทั้งหมด และที่ไม่ตอบข้อความ เพราะหาคำตอบดีๆ ที่จะใช้ตอบเธอไม่ได้น่ะว่าตอนนี้คิดแผนไม่ออก มืดแปดด้านสุดๆ เลยล่ะ พอเป็นอย่างนั้นเลยคิดว่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพักกิจกรรมชมรมผู้กล้าไปก่อนจนกว่าจะคิดแผนได้”
“งั้นเหรอ…”
ถึงจะไม่สบายใจแต่ต้องตอบรับไป ทางฉันเองก็รู้สึกว่าการหยุดกิจกรรมชมรมในช่วงที่ผ่านมาเป็นความคิดที่ดีเหมือนกัน เพราะกิจกรรมเหล่านั้นทำให้คนในโรงเรียนมองลิลลี่เป็นคนเพี้ยน แถมยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอทะเลาะกับพ่อในช่วงปิดเทอมด้วย
“หมายความว่า หลังจากนี้จะกลับไปใช้ชีวิตตามปกติแล้วสินะ?”
“…อืม คงงั้นแหละ”
ลิลลี่ตอบกลับมาอย่างไร้อารมณ์
เพราะไม่มีกิจกรรมชมรมผู้กล้า ฉันก็เลยได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างที่เคยเป็นก่อนเจอกับลิลลี่ ช่วยเหลือพวกชมรมกีฬา และใช้เวลาไปวันๆ ไปตามปกติ แต่หลังจากทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว ก็รู้สึกราวกับมีเวลาว่างมากเกินไป
ลิลลี่กับฉันเรียนอยู่คนละห้อง เวลาปกติเลยไม่มีโอกาสได้เจอกันมากนัก ส่วนใหญ่จะเดินสวนกันที่โถงทางเดิน และทักทายกัน ไม่มีอะไรมากกว่านั้น
ถ้าลองมาคิดดูแล้ว ลิลลี่กับฉันไม่มีหัวเรื่องปกติคุยกันเลยนอกจากชมรมผู้กล้า ก่อนที่จะเจอกันที่ศาลเจ้าริวโอในวันนั้น พวกเราเป็นเพียงแค่คนแปลกหน้าต่อกัน ที่เจอกันแทบทุกวันในเดือนกรกฎากับสิงหาเป็นเรื่องที่แปลกจริงๆ นั่นแหละ
วันหนึ่งหลังเลิกเรียนในช่วงกลางเดือนกันยา ฉันได้มีโอกาสแวะเข้าไปที่ห้องเรียนของลิลลี่ พอเทอมสองมาถึง ประธานชมรมวอลเลย์บอลก็มอบตำแหน่งให้กับเด็ก ม.2 และจำเป็นต้องมีการปรึกษาหารือกันเรื่องตัวช่วย… หมายถึงฉันนี่แหละ และประธานชมรมคนใหม่ก็บังเอิญเรียนอยู่ห้องเดียวกับลิลลี่ด้วย
แน่นอนว่าการปรึกษานี้ไม่มีอะไรไปมากกว่าชวนฉันเข้าชมรม เปลี่ยนจากผู้ช่วยเป็นสมาชิกชมรมแทน แน่นอนว่าฉันปฏิเสธไป
ฉันห่างไกลจากคำว่าตัวท๊อปของจังหวัด ถ้าลองมองทั่วชิโกกุฉันก็แค่สูงกว่าระดับกลางนิดเดียว ต่อให้เล่นบาส วอลเลย์ หรือเทนนิสต่อไป ก็ไม่ทำให้ฉันได้ [พลัง] มา
“งั้นเหรอ อุตส่าห์คิดว่าถ้าได้คุณยูซุกิมาอยู่ด้วยล่ะก็ชมรมจะต้องดีขึ้นมากแท้ๆ เชียว”
ประธานชมรมคนใหม่พูดตัดพ้อ
“ขอโทษนะ”
“คุณยูซุกิไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอก ความเห็นของคุณก็เป็นเรื่องสำคัญเหมือนกัน”
ขณะที่ฟังอยู่ก็มองไปรอบห้อง ไม่เห็นลิลลี่เลย
“ลิลลี่… ฟุโยวไม่อยู่เหรอ?”
“หืม คุณยูซุกิเป็นเพื่อนกับลิลลี่จังเหรอ?”
“ก็… ประมาณนั้น”
“ตั้งแต่เริ่มเทอมสองมา ลิลลี่จังก็กลับบ้านทันทีหลังเลิกเรียนเลย และเพราะเธอไม่ค่อยสุงสิงกับคนในห้องสักเท่าไหร่ เลยไม่มีใครสนใจ”
ด้วยนิสัยแปลกๆ ของลิลลี่ทำให้ไม่ค่อยมีเพื่อน เป็นสาเหตุที่ไม่มีใครสนใจที่เธอตรงกลับบ้านทันทีหลังเลิกเรียน
“จะว่าไปแล้ว ลิลลี่จังชอบตกปลาอะไรประมาณนั้นหรือเปล่า?”
“เอ๋? ไม่นะ ไม่เคยได้ยินมาก่อน”
“ก่อนหน้านี้เห็นลิลลี่จังถามคนในห้องไปทั่วว่ามีใครมีญาติเป็นชาวประมงหรือมีเรือบ้างไหม เลยลองถามดู…”
เรือประมง
เรือ
ในฐานะที่ฉันได้ยินแผนข้ามกำแพงของลิลลี่มาตลอดช่วงปิดเทอมก็เดาได้ในทันทีเลยว่าจะเอาไปทำอะไร ลิลลี่ยังคงไม่ยอมแพ้เรื่องแผนข้ามกำแพงผ่านทางทะเลแน่ๆ
ผ่านมากว่าสองสัปดาห์ เดือนกันยาใกล้จบลงแล้ว
อากาศเริ่มเย็นลง ตอนนี้ฉันกำลังนั่งรออยู่ในห้องห้องหนึ่งที่โรงพยาบาล นิ้วฉันเคล็ดระหว่างเล่นบาส และอาจารย์ที่ห้องพยาบาลโรงเรียนบอกว่าให้มาตรวจจะดีกว่า
ส่วนตัวคิดว่าการมาโรงพยาบาลด้วยเรื่องแค่นี้มันสิ้นเปลืองเกินไป ทั้งที่ไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไรมากแท้ๆ แต่อาจารย์บอกว่าอาการบาดเจ็บจากการเล่นบาสอาจส่งผลให้กระดูกแตกหรือหักได้
ผลตรวจออกมาได้ด้วยดี ภาพเอ็กซเรย์บอกว่ากระดูกของฉันไม่เป็นอะไร และยังไม่มีอาการบวมอักเสบอีกด้วย ฉันออกมาจากห้องตรวจร่างกายแล้วเดินไปนั่งรอจ่ายเงินค่ารักษา แต่แล้วฉันก็เห็นเด็กสาวผมบลอนด์ร่างเล็กคนหนึ่ง
“ลิลลี่!”
แล้วลิลลี่ก็หันมาตามเสียงเรียก พอจำได้ว่าเป็นฉันเธอก็ทำหน้ามุ่ยใส่ ฉันรู้สึกราวกับมีคำว่า ‘พลาดซะแล้ว’ ถูกเขียนอยู่บนใบหน้าของเธอ
ลิลลี่ทำเป็นมองไม่เห็น แล้วเดินกลับไป พยายามที่จะออกจากโรงพยาบาลให้เร็วที่สุดเดี๋ยวนี้กล้าหมิ่นความเร็วของฉันงั้นเหรอ
ฉันเดินตามไปในทันที แล้วจับแขนของลิลลี่ไว้ได้ก่อนถึงประตูเลื่อน
“มะ-แหม บังเอิญจังเลยนะ ยะ-ยูซุกิคุง”
“จะหนีทำไม?”
“ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ได้หนีสักหน่อย แค่ไม่เห็นเธอแค่นั้นเอง”
“สบตากันขนาดนั้นถ้าเป็นปลากัดคงท้องไปแล้ว จะแก้ตัวด้วยคำว่า [แค่ไม่เห็น] ไม่ได้แล้วนะ”
“กะ-ก็…”
ระหว่างที่ลิลลี่กำลังพูดตะกุกตะกักอยู่นั้น ก็มีเสียงประกาศเรียกชื่อฉันดังขึ้น ถึงคิวชำระเงินค่าตรวจร่างกายแล้ว
“รออยู่ตรงนี้นะ ฉันจะไปจ่ายตังค์”
ฉันบอกลิลลี่
“อือ ฉันจะรอ”
เธอพยักหน้ารัวๆ
ฉันเดินไปที่เคาน์เตอร์ จากนั้นก็หันกลับทันที ลิลลี่พยายามหนีอีกแล้ว เลยพุ่งกลับไปจับเธออีกครั้ง
“คิดว่าจะหนีพ้นเหรอ?”
“ขะขะขะขะขอโทษค่า! ขอสาบานว่าจะอยู่รอตรงนี้ไปชั่วชีวิตเลยค่า!”
ฉันรีบจ่ายเงินแล้วออกจากโรงพยาบาลไปพร้อมกับลิลลี่ พวกเราคุยกันระหว่างเดินกลับบ้าน
“ยูซุกิคุงตอนโกรธเนี่ยน่ากลัวมากเลยนะ ทำเอาซะฉันไม่กล้าหือเลย”
“หล่อนแค่กลัวเพราะฉันตัวสูงกว่าแค่นั้นแหละ”
“เหรอ ฮะฮะ งั้นยูซุกิคุง เจอกันพรุ่งนี้นะ!”
ลิลลี่พยายามหนีอีกครั้ง
“บอกให้รอไง! แล้วหล่อนมาทำอะไรที่โรงพยาบาล?”
“…แค่ปวดหลังเรื้อรังน่ะ”
ไม่เนียน
ลิลลี่มีความสามารถด้านการแสดงสูงมาก แต่ด้านการโกหกนี่ยังไม่ผ่าน โกหกได้น้ำขุ่นสุดๆ แค่มองเงียบๆ เธอก็หลุดส่งเสียงออกมาแล้ว ดูเหมือนจะไม่อยากให้คำตอบกับฉันจริงๆ สินะ
“…คงยังไม่ล้มเลิกเรื่องข้ามกำแพงผ่านทางทะเลสินะ ได้ยินมาว่าหล่อนไล่ถามหาเรือประมงจากเพื่อนร่วมห้องอยู่”
เห็นได้ชัดว่าลิลลี่กระวนกระวายในสิ่งที่ฉันพูด
“ระ-รู้ได้ไง!?”
“ถึงจะเก่งไม่เท่าหล่อน แต่ฉันก็หาข้อมูลในเน็ตเป็นเหมือนกันนะ จะเลิกทำอะไรไร้สาระได้หรือยัง? ยอมแพ้เรื่องข้ามกำแพงสักทีเถอะ”
“….”
ลิลลี่ไม่ตอบ
“พวกเราเป็นแค่เด็ก ไม่มีทางทำอะไรอย่างนั้นได้อยู่แล้ว แม้แต่ผู้ใหญ่ก็ทำไม่ได้ แต่คนใหญ่คนโตของไทชะอาจทำได้… แต่หล่อนก็แค่สาดทฤษฎีสมคบคิดไปมาและพยายามทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ มันเสียเวลาชีวิตนะ ทำไมไม่ลองหาอะไรที่มีประโยชน์กว่านี้ทำดูบ้างล่ะ”
“…มีประโยชน์กว่านี้?”
“ใช่ หล่อน… หล่อนไม่เหมือนฉัน หล่อนมีพลังพิเศษ ทั้งพรสวรรค์ ความสามารถด้านการแสดง และยังฉลาดระดับต้นๆ ของชิโกกุด้วย หล่อนมีโอกาสประสบความสำเร็จในวงการบันเทิง หรือไม่ก็พยายามตั้งใจเรียนเพื่อประสบความสำเร็จในด้านอื่นๆ ก็ได้ เพราะงั้นนะ… หัดใช้ชีวิตอยู่กับรองกับรอยสักทีเถอะ”
ฉันอยากให้ลิลลี่ล้มเลิกความพยายามในการข้ามกำแพง มันเป็นไปไม่ได้ และฉันเป็นห่วงว่าเธอจะไปทำอะไรเกินตัวและสร้างปัญหาให้กับคนอื่น ไม่ใช่แค่นั้น ฉันอยากให้เธอได้มีชีวิตที่ดีกว่านี้
ลิลลี่มี [พลัง] ไม่ใช่ [พลัง] ในแบบฉันที่อยู่ในระดับแค่ช่วยเหลือคนในโรงเรียนมัธยมต้น เธอนี่แหละของจริง เป็น [พลัง] ในแบบที่สามารถทำงานร่วมกับใครก็ได้ รวมถึงพวกผู้ใหญ่ด้วย
แต่ลิลลี่กลับไม่ใช้มัน และยังเอามันมาใช้กับสิ่งที่สูญเปล่า
ฉันอิจฉา [พลัง] ของลิลลี่
ในขณะเดียวกัน ฉันก็หงุดหงิดที่เธอไม่ยอมใช้มัน
ถ้ามี [พลัง] ของลิลลี่ ฉันคงใช้ประโยชน์จากมันมากกว่านี้ แต่ฉันไม่มีอะไรแบบนั้น
ลิลลี่เงียบไปพักหนึ่ง
พอรู้ตัวอีกทีก็มาถึงแม่น้ำไซตะใกล้บ้านของเราแล้ว ระหว่างที่เดินอยู่บนทางริมแม่น้ำอยู่นั้น ลิลลี่ก็เริ่มพูดขึ้น
“…ฉันเคยเล่าสาเหตุที่คุณแม่จากไปให้ฟังแล้วใช่ไหม?”
“เอ๋? อืม เคยสิ…”
ฉันหันมองไปมองลิลลี่ที่จู่ๆ ก็เปลี่ยนเรื่องคุย
“คุณแม่ตายจากอาการป่วยที่เป็นมาตั้งแต่ตอนฉันอยู่ประถม เป็นโรคจากระบบไหลเวียนโลหิต หลังจากเริ่มมีอาการก็จะขยับตัวลำบาก แม้แต่ออกจากบ้านยังทำไม่ได้เลย เพราะมีคนดูแลแค่พ่อกับฉัน แม่ก็เลยต้องนอนที่โรงพยาบาลบ่อยครั้ง พ่อต้องทำงานอย่างหนักเพื่อหาเลี้ยงชีพและเงินค่ารักษา เลยมีฉันแค่คนเดียวที่อยู่ข้างคุณแม่”
ฉันเงียบฟังลิลลี่
“ที่ฉันเข้าวงการบันเทิงเพราะอยากช่วยหาเงินค่ารักษาให้แม่ แต่พอรู้ว่าอาการป่วยของแม่ไม่สามารถรักษาได้ ฉันก็เลิกเป็นดาราเพื่อใช้เวลาอยู่กับคุณแม่ให้ได้นานที่สุด โรงเรียนเองก็ไปให้น้อยที่สุดเท่าที่ทำได้เหมือนกัน ทั้งหมดนี่ทำเพื่อจะได้มีเวลาอยู่กับแม่ให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ถึงจะรู้ดีว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรเลย สุดท้ายท่านก็จากไปเมื่อปีที่แล้ว”
“…”
“ที่ฉันไปโรงพยาบาลวันนี้ก็เพื่อรับการตรวจประจำวัน เพราะเป็นโรงที่ติดต่อทางกรรมพันธุ์น่ะนะ แถมตัวฉันเองก็มียีนที่เสี่ยงจะป่วยด้วยเหมือนกัน แน่นอนว่าอาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้ และถึงแม้ว่าจะมีอาการจริงๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะตายทันทีเหมือนตัวเอกในละคร… แต่ก็ต้องตายอยู่ดี”
ลิลลี่พูดอย่างถอดใจแล้วมองลงไปที่แสงสะท้อนบนผืนน้ำ
“คุณแม่ตายตอนอายุสามสิบเก้า ฉันก็คงตายตอนอายุประมาณนั้นเหมือนกัน ถ้ามนุษย์มีอายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่เก้าสิบปี นี่ไม่ถึงครึ่งเลยด้วยซ้ำ เพราะงั้นฉันเลยใช้ชีวิตให้เต็มที่ที่สุด ทำทุกอย่างที่สามารถทำได้ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่”
พอได้ฟังเรื่องของลิลลี่ ฉันก็พูดอะไรไม่ออก
“ตอนนี้ฉันกำลังทำเรือพาย”
“…เรือพาย?”
ฉันย้ำสิ่งที่ได้ยิน และลิลลี่ก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงมั่นหน้าตามปกติแบบไร้รอยต่อ
“ใช่ ตอนแรกฉันคิดจะทำแพ แต่เรือพายดูจะแข็งแรงและใช้ง่ายกว่า มีทฤษฎีเมื่อสามหมื่นปีก่อนว่าชาวญี่ปุ่นมาที่ชิโกกุผ่านทางเรือพาย และระยะทางอยู่ที่ประมาณสองร้อยกิโลเมตร ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันก็สามารถข้ามกำแพงผ่านทะเลได้แน่!”
ระหว่างที่พูด ลิลลี่ก็เปิดรูปถ่าย [เรือพาย] ในมือถือให้ฉันดู มันคือท่อนไม้ที่ส่วนข้างในถูกแกะสลักให้มีรูปร่างเหมือนเรือเพื่อให้คนคนหนึ่งสามารถลงไปนั่งได้
“ตอนนี้ยังสร้างไม่เสร็จ แต่ถ้าเสร็จเมื่อไหร่ ฉันจะนั่งมันไปที่กำแพง”
หลังจากนั้นฉันก็แยกทางกับลิลลี่แล้วเข้าบ้านโดยไม่พูดอะไร พอเข้ามาในห้องก็อยู่ในสภาพหัวโล่งสุดๆ
ยังไงลิลลี่ก็เป็นพวกงี่เง่าไม่มีเปลี่ยน
ไม่ว่าจะเป็นแพหรือเรือพาย ยังไงก็ไม่มีทางข้ามทะเลไปได้หรอก
ก่อนหน้านี้เธอเคยพยายามไปที่กำแพงผ่านทางสะพานกับว่ายน้ำ แต่การไปด้วยเรือนี่มันไม่ใช่เรื่องตลกแล้วนะ ถ้าเกิดปล่อยไปทั้งอย่างงี้มีหวังลิลลี่ได้ตกอยู่ในอันตรายแน่
ยังไงก็ต่องหยุดลิลลี่ให้ได้ ต้องทำอะไรสักอย่างกับเรื่องบ้าๆ นี่ แต่ฉันไม่มีคำพูดที่ดีพอที่จะใช้หยุดความสุดโต่งของลิลลี่ได้เลย ความสุดโต่งของเธอมีแรงขับเคลื่อนมาจากแม่ที่จากไปกับอายุขัยของตัวเอง ชีวิตและความตายเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก เป็นไปไม่ได้เลยที่จะหยุดคนที่มีแรงขับเคลื่อนจากเรื่องนี้
แม่ของลิลลี่ตายจากอาการป่วย เขาอยากกลับบ้านเกิดของตัวเองแต่ก็ทำไม่ได้ และจบชีวิตลงภายในกำแพง ไม่ว่ายังก็ต้องเสียใจมากแน่ๆ
“…จะว่าไป พ่อของฉันตายก่อนเวลาอันควรหรือเปล่านะ?”
จู่ๆ ระหว่างคิดถึงเรื่องลิลลี่ ฉันก็นึกถึงเรื่องของพ่อตัวเองที่นานๆ ทีจะนึกขึ้นได้
ตั้งแต่จำความได้ พ่อของฉันเสียไปแล้ว แม้แต่ใบหน้าก็ยังจำไม่ได้ เขาตายตั้งแต่อายุยังไม่มากเหมือนกับแม่ของลิลลี่
เขาตายเพราะอะไรกันนะ? ฉันเกิดความสงสัยขึ้นมา เป็นเพราะอาการป่วยเหมือนแม่ของลิลลี่หรือเปล่า? แม่เคยบอกจะเล่าเรื่องการตายของพ่อตอนฉันโตแล้ว
ฉันเดินออกจากห้องของตัวเองแล้วไปที่ห้องทำงานของแม่
“แม่ ว่างหรือเปล่า?”
พอเข้าไปก็เห็นแม่นั่งอยู่หน้าคอม
“จ๊ะ มีอะไรเหรอ? ได้เวลาข้าวเย็นแล้วเหรอ?”
“เปล่า ไม่ใช่เรื่องนั้น… แค่มีเรื่องอยากจะถามน่ะ”
“…อะไรเหรอจ๊ะ?”
แม่ละจากหน้าจอหันมาทางฉัน คงสังเกตว่ามีความเศร้าแฝงอยู่ในน้ำเสียงของฉัน
“พ่อตายยังไงเหรอ?”
แม่เงียบไปพักหนึ่ง ราวกับคิดอะไรบางอย่างอยู่
“อา ยังไม่ได้บอกให้ลูกรู้สินะ แม่แค่ยังหาโอกาสดีๆ ไม่ได้น่ะจ้ะ ตอนนี้ยูนะก็อยู่ ม.ต้น แล้วนี่นะ คงถึงเวลา… ที่จะต้องบอกลูกแล้วสินะ ยูนะ ลูกมีมิตรสหายบ้างหรือเปล่า?”
“…มิตรสหาย?”
หมายความว่ายังไง?
“ไม่ได้มีความหมายเชิงลึกอะไรหรอกจ้ะ มิตรสหายคือคนที่จะมาช่วยลูกไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น คนที่จะให้กำลังใจตอนที่ลูกรู้สึกไม่ดี คนที่อยู่เคียงข้างลูกยามเจ็บปวด คนที่จะหยุดลูกเมื่อทำอะไรผิดพลาด… แน่นอน แม่จะเป็นมิตรสหายของลูกเสมอนะ ยูนะ แต่นอกจากแม่แล้วลูกมีคนอื่นอีกหรือเปล่าจ๊ะ?”
ฉันคิดตามที่แม่พูด และคนแรกที่เข้ามาในหัวคือ… ลิลลี่
‘ไม่ว่าจะมีพลังหรือไม่ ไม่ว่าจะมีชื่ออะไร และไม่ว่าจะเป็นคนยังไง ฉันก็จะอยู่ข้างยูซุกิคุงเสมอนะ’
ก่อนหน้านี้เธอเคยพูดอย่างนั้น
“…มี”
พอได้ยิน แม่ก็พยักหน้า
“ดีแล้วล่ะ งั้นแม่จะเล่าให้ฟังนะ พ่อของลูกเขาจบชีวิตด้วยตัวเองน่ะ”
จบชีวิตด้วยตัวเอง?
แม่หลีกเลี้ยงการใช้คำพูดรุนแรงกับฉัน
แต่ฉันก็เข้าใจความหมายดี… มันคือ [ฆ่าตัวตาย]
“จำที่แม่เคยพูดเรื่อง [โรคกลัวท้องฟ้า] ได้ไหมจ๊ะ…? พ่อของลูกป่วยเป็นโรคนั้น เขาเป็นผู้ลี้ภัยจากนอกชิโกกุ เป็นหนึ่งในผู้คนที่ถูกโฮชิคุสึโจมตีและหนีรอดเข้ามาอยู่ในกำแพงได้… ตอนนั้นเขายังเป็นแค่เด็ก ความหวาดกลัวที่มีต่อโฮชิคุสึจึงเป็นแผลลึกอยู่ในใจเขา เลยกลายเป็นโรคกลัวท้องฟ้า… แต่อย่างที่ลูกรู้ มันหายไปจนเกือบหมดแล้ว”
แม่เล่าเรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับพ่อจนกระทั่งวันที่เขาจากไป
โฮชิคุสึเข้าโจมตีตอนที่พ่อยังอยู่ชั้นปะถม และเขาก็มาชิโกกุในฐานะผู้ลี้ภัย โรคกลัวท้องฟ้าก็เริ่มแสดงอาการตั้งแต่ตอนนั้น ทำให้พ่อหวาดกลัวท้องฟ้าจนไม่กล้าออกไปนอกอาคาร
เมื่อปฏิทินเปลี่ยนเป็นเทวศักราชและเวอร์เท็กซ์กับโฮชิคุสึหยุดโจมตีชิโกกุ ท่านอูเอซาโตะ ฮินาตะแห่งไทชะได้ออกคำสั่งให้มุ่งเน้นไปที่การรักษาผู้คนที่ป่วยโรคกลัวท้องฟ้า ผู้ป่วยส่วนใหญ่หายดี ส่วนอาการของพ่อก็ดีขึ้นด้วย เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ พ่อก็สามารถออกไปข้างนอกอาคารได้โดยไม่มีอุปสรรค์ในการใช้ชีวิต จริงๆ แล้ว ในตอนที่พ่อแต่งงานกับแม่และเริ่มใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน แม่ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าพ่อคือคนป่วยโรคกลัวท้องฟ้ามาก่อน
แต่นานๆ ครั้งพ่อจะนึกย้อนถึงตอนที่เวอร์เท็กซ์โจมตีแล้วมีอาการตื่นตระหนก ทำให้เขาไม่สามารถทำงานอยู่ที่ใดที่หนึ่งได้นาน การจ้างคนที่มีอาการตื่นตระหนกได้ทุกเมื่อเป็นความเสี่ยงต่อบริษัท และยังมีพวกที่อคติกับคนเป็นโรคกลัวท้องฟ้าแบบฝั่งลึกอยู่อีก
แม้หมอจะออกมาบอกว่าโรคกลัวท้องฟ้าเป็นอาการทางจิต แต่ข่าวลือว่ามันเป็นโรคติดต่อยังคงแพร่กระจายสร้างความเกลียดชั่งไปทั่ว การใส่ร้ายผู้ป่วยและผู้ลี้ภัยจากนอกกำแพงเองก็เป็นเรื่องปกติเช่นกัน
“ตอนที่อาศัยอยู่ร่วมกับพ่อ แม่เองก็โดนว่าเสียๆ หายๆ ด้วยเหมือนกัน โดนถามด้วยว่าถ้าสามีแพร่เชื้อโรคกลัวท้องฟ้าใส่คนอื่นจะทำยังไง ก่อนจะย้ายมาอยู่ที่นี่ พวกเราถูกปฏิเสธจากคอนโดอื่นมาหลายที่เลยล่ะจ้ะ”
แม่หัวเราะเบาๆ ความโกรธและความรู้สึกไร้พลังในตอนนั้นคงถูกแสดงออกทางใบหน้าในสภาพนี้
เรื่องที่ต้องเปลี่ยนงานบ่อยๆ โดนดูถูกเหยียดหยาม และโดนโจมตีจากคนรอบข้างสร้างผลกระทบอย่างหนักต่อสภาพจิตใจของพ่อ
“จากนั้น ไม่นานหลังจากลูกเกิด พ่อก็ตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง”
“ทำไม… ก่อนหน้านี้ถึงไม่บอกหนูล่ะ?”
“พ่อเขียนจดหมายลาตายเอาไว้ ขอไม่ให้เล่าเรื่องของเขาให้ลูกได้รู้ ว่าเขามาจากนอกชิโกกุ ว่าเขาป่วยเป็นโรคกลัวท้องฟ้า พ่อคิดว่านี่จะเป็นการช่วยพวกเราจากสายตาเย็นชาของคนรอบข้าง แม่คิดว่า… พ่อต้องการปกป้องพวกเรา เขาคิดว่าถ้าเขาหายไปจะช่วยพวกเราจากการถูกใส่ร้ายและเลือกปฏิบัติได้… เลยเลือกวิธีการที่ไร้ความคิดที่สุด แต่ถ้ามีใครมาทำร้ายลูก ตอนนี้ลูกก็มีคนที่จะอยู่เคียงข้างแล้วใช่ไหม? เพราะงั้นแม่เลยคิดว่าถ้าบอกลูกไปตอนนี้ก็คงไม่เป็นไรแล้วล่ะจ้ะ”
แม่มีรอยยิ้มขมขื่นจางๆ บนใบหน้า
นี่ก็สามสิบปีแล้วที่สงครามระหว่างมนุษย์กับเวอร์เท็กซ์และโฮชิคุสึจบลง ฉันไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับโลกก่อนสงคราม หรือแม้แต่ตัวสงครามเองก็ด้วย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นส่งผลต่อชีวิตฉันเต็มๆ
สามสิบปี
เกือบสองเท่าของอายุของฉันในตอนนี้
สำหรับฉันมันเป็นเวลาที่ยาวนาน แต่ถ้ามองในมุมประวัติศาสตร์ชาติมนุษย์ มันสั้นแค่เพียงอึดใจเดียว
ฉันยังคงถูกผูกมัดอยู่กับสงครามในยุคก่อน และไม่ได้มีเพียงฉันคนเดียว ลิลลี่เองก็ด้วย
ลิลลี่ส่งข้อความมาว่า [[ฉันทำเรือพายเสร็จแล้ว! พร้อมออกเรือคืนวันพรุ่งนี้!]] ในวันเสาร์สิ้นเดือนกันยายน
ไม่ว่ายังไงก็หาวิธีหยุดยัยนี่ไม่ได้จริงๆ
เย็นวันอาทิตย์… ลิลลี่กับฉันเจอกันที่สถานีทาคุมะบนสายโยซัน มันอยู่ที่เมืองมิโตยะ ข้างเมืองคันนอนจิ พวกเรานั่งรถบัสโดยสารจากตรงนี้ไปคาบสมุทรโชไน ระหว่างทางก็เปลี่ยนสายรถบัสครั้งหนึ่ง และก็มาถึงสถานที่ที่เรียกว่าชายหาดนิโระ มิโตยะอยู่ข้างคันนอนจิมันเลยไม่ไกลมาก แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันมาคาบสมุทรโชไน
“ทำไมถึงเป็นที่นี่?”
ลิลลี่ตอบฉันด้วยเสียงสดใสตามปกติ
“ฉันคิดว่าในเมื่อคาบสมุทรโชไนยื่นออกไปที่ทะเลเซโตะมากที่สุด ซึ่งหมายความว่าระยะทางที่จะไปถึงกำแพงก็จะสั่นลงด้วย! อีกอย่างคือไม่อยากให้ใครเข้ามายุ่งกับเรือของฉันด้วย สถานที่ที่ใกล้กับกำแพงและไม่มีคนอยู่… ฉันเลยมองหาสถานที่ที่ตอบโจทย์ที่ฉันต้องการไงล่ะ!”
ตอบออกมาเยี่ยงผู้ชนะ แต่ได้คิดบ้างหรือเปล่าว่าแผนตัวเองมันอันตรายแค่ไหนน่ะ
“ที่นี่ยังเป็นส่วนหนึ่งของทัวร์เดินเขาที่มีชื่อว่า [เส้นทางข้ามแหลม] ด้วยนะ ถ้าเราตามทางไป ก็จะไปถึงประภาคารซานุกิ มิซากิ จุดที่ไกลที่สุดของคาบสมุทร เป้าหมายของเราคือที่ที่มีชื่อว่าเซกิโนอุระซึ่งอยู่ระหว่างทางที่ไปที่นั่น”
“เข้าใจแล้ว แต่ฉันยังคงไม่เห็นด้วยกับแผนของหล่อนอยู่นะ ถ้าจำเป็นจริงๆ ล่ะก็…”
“จะใช้กำลังหยุดฉันงั้นเหรอ? แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นก็แค่ทำมันโดยไม่มีเธออยู่ก็สิ้นเรื่อง”
เสียงของลิลลี่แข็งกร้าว
เหตุผลเดียวที่ลิลลี่บอกเรื่องออกเรือกับฉันเพราะมันเป็นหน้าที่ ถ้าฉันเข้าไปขวาง เธอก็จะทำมันโดยไม่บอกให้รู้ ตราบใดที่ลิลลี่ยังไม่เปลี่ยนใจ ก็ไม่มีทางที่ฉันจะหยุดได้
ลิลลี่หันหลังกลับแล้วเดินไปตามถนน ฉันเดินตามไป
เราเดินตามทางภูเขามาประมาณยี่สิบ อาจจะสามสิบนาที ระหว่างทางก็เห็นป้ายเขียนว่า [เซกิโนอุระ – 0.2 กม.] พวกเราเดินตามทางนั้นไป
ทางนี้ไม่น่าใช่เส้นทางสำหรับทัวร์เดินเขา พื้นขรุขระและชันกว่าทางที่เดินมาเมื่อกี้
ที่ปลายทางพวกเราก็เจอกับชายหาดเล็กๆ ไม่ใช่ชายหาดแบบที่คนต้องการว่ายน้ำอยากจะมา ที่นี่เลยมีเราแค่สองคน
เมื่อมาถึงชายหาด พระอาทิตย์ก็เริ่มตกดินแล้ว เพราะนี่เป็นช่วงสิ้นเดือนกันยายน พระอาทิตย์เลยตกดินเร็ว เหลือเวลาไม่มากก่อนฟ้าจะมืด
แต่ลิลลี่กำลังรอความมืดนั่นอยู่
“ต่อให้มีเรือลาดตระเวนชายฝั่งอยู่ แต่การหาเรือพายลำเล็กในทะเลตอนมืดก็ไม่ต่างอะไรกับงมเข็มในมหาสมุทร! นี่จะยิ่งเพิ่มโอกาสไปถึงกำแพงมากขึ้นด้วย! เอาล่ะเราไปเอาเรือสุดสำคัญกันเถอะ!”
มีกองกิ่งไม้กับเศษไม้บนชายหาดราวกับกำลังซ่อนอะไรบางอย่างอยู่ สิ่งที่อยู่ข้างในคือท่อนไม้ท่อนหนึ่งที่ใหญ่กว่าอันอื่น ข้างใต้มีก้อนหินหนึ่งก้อนกับแผ่นไม้หนึ่งแผ่นวางอยู่
“ย้าาาาา!”
ลิลลี่เหยียบลงไปที่แผ่นไม้ด้วยน้ำหนักตัวทั้งหมด ใช้มันเป็นเหมือนคานงัดเพื่อพลิกท่อนไม้ อีกฝั่งหนึ่งของท่อนไม้ถูกเจาะรูเอาไว้เป็นที่นั่ง ข้างในรูมีเลื่อยไฟฟ้าวางอยู่
“เห้อ… เป็นยังไงล่า? เรียกว่าซ่อนไม้ไว้ในป่าใช่ม้า? ถ้าไม่มีเห็นรูก็คงมองว่าเป็นแค่ท่อนไม้เก่าๆ ทั่วไป แถมพวกเศษไม้รอบๆ นี่ยังช่วยไม่ให้มันดูโดดเด่นเกินไปอีกด้วย!”
“นี่ไปเอาท่อนไม้มาจากไหนล่ะนั่น…?”
ฉันมองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นต้นไม้ใหญ่ขนาดนี้
ลิลลี่หยิบเลื่อยไฟฟ้าขึ้นมาจากเรือ
“มันยากมากเลยนะ ฉันเดินไปรอบป่าบนภูเขาแถวนี้ พอเจอต้นใหม่ที่ใหญ่ที่สุดก็ใช้เลื่อยไฟฟ้านี่ตัด จากนั้นก็เอามันมาที่ชายหาดแล้วค่อยๆ เซาะไปทีละนิดๆ… ฉันมาทำเจ้านี่ทุกวันตอนปิดเทอมหน้าร้อนเลย แต่ก็ต้องใช้เวลาไปตั้งเดือนครึ่งแหนะ”
…ที่ทำนี่ผิดกฎหมายหรือเปล่า?
แต่ก็ถือเป็นงานที่หนักมาก เธอใช้เลื่อยไฟฟ้าตัดต้นไม้แล้วเซาะมันจนเป็นรู คงอยากที่จะไปที่กำแพงมากจริงๆ
“หึยย้าาาา….!”
ลิลลี่ใช้แรงทั้งหมดจากร่างเล็กๆ ผลักเรือลงไปในทะเล
น้ำทำให้เรือลอยขึ้น แล้วลิลลี่ก็ขึ้นไปนั่งบนเรือพร้อมพายในมือ (สภาพดีแบบนั้นน่าจะซื้อมาจากที่ไหนสักแห่ง)
“ฉันจะออกเรือด้วยตัวเอง ความต้องการข้ามกำแพงเป็นความคิดที่เห็นแก่ตัวของคนเดียว ยูซุกิคุงไม่จำเป็นต้องตามความงี่เง่าของฉันหรอกนะ”
พอพูดจบ ลิลลี่ก็เริ่มออกไปในทะเล ฉันควรจะหยุดการกระทำบ้าๆ ของลิลลี่หรือเปล่านะ? ที่ทำนั่นมันฆ่าตัวตายชัดๆ
ลิลลี่ออกห่างจากชายหาดไปอย่างช้าๆ
ฉันรู้ว่าการพยายามที่จะหยุดลิลลี่มันเปล่าประโยชน์ แต่ถ้าไม่ทำมีหวังได้ลอยเคว่งแน่นอน
“…ลิลลี่! หล่อนควรหยุดก่อนที่จะ—-”
เรือของลิลลี่พลิกคว่ำ
“หวาาาา! จะจมแล้วววววว! ช่วยด้วยยยยย!”
พอตกลงน้ำทะเล ลิลลี่ก็ตะโกนและตะกุยน้ำไปทั่ว ดูเหมือนฉันจะไม่จำเป็นต้องหยุดเธออีกตามเคย
“ใจเย็นนะ! จะไปช่วยเดี๋ยวนี้แหละ!”
ฉันรีบโดดลงทะเลไป พอคว้าตัวลิลลี่ได้ก็พากลับมาขึ้นฝั่ง
“แค่ก แค่ก…. เฮ้อออออ”
ลิลลี่ที่ตัวเปียกโชกนอนรอบอยู่บนชายหาด และไอออกมาอย่างรุนแรง
“รู้สึกเหมือนเดจาวู…”
จริงสิ ยัยนี่เกือบจมน้ำตอนพยายามว่ายน้ำที่อิชิโนมิยะนี่นะ
ลิลลี่นี่โง่จริงๆ ด้วย
ฉันมองไปที่ทะเล เห็นคลื่นซัดเรือที่คว่ำอยู่กลับมาที่ฝั่ง
พอมองไปที่เรือ ก็มีความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัว
“….เห้อ”
มีวิธีที่จะหยุดลิลลี่ได้โดยไม่ต้องใช้วาจาโน้มน้าว
ฉันหยิบเลื่อยไฟฟ้าที่วางอยู่บนหาด เมื่อกดสวิตซ์ ฟันเลื่อยก็เริ่มหมุนอย่างรวดเร็ว ยังมีแบตเหลืออยู่
“เอ๋… ยูซุกิคุง? คิดจะทำอะไรน่ะ?”
ฉันเดินไปที่เรือโดยมีเลื่อยไฟฟ้าที่ทำงานอยู่ จากนั้นก็เหวี่ยงฟันเลื่อยที่หมุนอยู่ใส่มัน
เสียงที่ไม่น่าฟังดังลั่นไปทั่ว
ฉันใช้กำลังแขนดันมันลงไปเพื่อหั่นเรือทิ้ง แล้วก็ทำสำเร็จ เมื่อเรือถูกแบ่งออกเป็นสองซีกฉันก็ปิดเลื่อยไฟฟ้า
“…”
ลิลลี่มองเรือสภาพดูไม่ได้ของเรือที่ตัวเองสร้างมากับมืออย่างตกตะลึง แล้วเธอก็ล้มลงคุกเข่าราวกับไม่เหลือแรงยืน
ถ้าไม่มีเรือ ลิลลี่ก็ไม่สามารถเสี่ยงออกทะเลได้อีก และกว่าจะสร้างลำใหม่ก็ต้องใช้เวลาอีกเดือนครึ่ง
“อึกกก….. หึก หือ….. อ้าาาาาาาาาาา! อ้าาาาาาาาาาาา!”
ลิลลี่เริ่มร้องไห้ออกมาเสียงดัง
ผลจากความพยายามมาตลอดเดือนครึ่งพังลงในพริบตา ไม่แปลกใจที่เธอจะร้องไห้ แต่นี่คือวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้ลิลลี่ไม่ต้องเสี่ยงชีวิตอีก
ลิลลี่ใช้แขนเสื้อที่เปียกโชกเช็ดน้ำตา
“…ไม่เห็นจะต้องทำขนาดนี้เลยนี่นา”
“ถ้าไม่ทำหล่อนก็เอาชีวิตไปเสี่ยงอีก จะเป็นยังไงถ้าเรือเกิดคว่ำแล้วไม่มีฉันอยู่ช่วยน่ะ?”
“…………”
ลิลลี่นั่งลงกอดเข่าแล้วเริ่มพูดออกมาอย่างเจี๋ยมเจี่ยม
“…ฉันไม่ทำหรอกถ้า… ไม่มียูซุกิคุงอยู่ด้วย ฉันมั่นใจว่ายูซุกิคุงจะต้องมาช่วยแน่ๆ… ก็เลยทำเรื่องเสี่ยงๆ ได้ เพราะมีเธอเป็นเหมือนประกันภัย ถ้าไม่มีเธออยู่ด้วย… ฉันคงไม่กล้าข้ามสะพานคุรุชิมะไคเคียว เพราะกลัวความสูง ฉันคงลงทะเลไม่ได้ เพราะว่ายน้ำไม่เป็น และฉันคงกลัวจนไม่กล้าออกเรือเช่นกัน…”
“…หา?”
“ฉันเป็นคนขี้ขลาด… ตอนที่คุณแม่ตายและฉันเริ่มไปโรงเรียน…. ฉันก็ตั้งชมรมผู้กล้าขึ้นมา แต่ไม่ได้ทำอะไรสักอย่างจนยูซุกิคุงเข้ามา…”
นั่นทำให้นึกขึ้นได้ตอนที่ลิลลี่ขอความช่วยเหลือฉันครั้งแรก เธอพูดว่า ‘งานแรกของชมรมผู้กล้า’
“และตอนที่เราเจอกันที่ภูเขาดาเคะ… เธอช่วยฉันเอาไว้ เพราะงั้น…. เพราะมียูซุกิคุงอยู่ทำให้ฉันรู้สึกปลอดภัย… รู้สึกราวกับสามารถทำในสิ่งที่กลัวได้…”
เสียงของลิลลี่แผ่วเบา ราวกับเด็กที่ถูกผู้ใหญ่ดุ
…แต่ว่า มันเป็นอย่างงั้นไปได้ยังไง?
สาเหตุที่ลิลลี่ทำเรื่องโง่ๆ ซ้ำๆ เพราะมีฉันค่อยอยู่ช่วยงั้นเหรอ? นี่ฉันเป็นต้นเหตุที่ทำให้เธอทำเรื่องบ้าๆ งั้นเหรอ?
“…ฉันเป็นอย่างนี้มาตลอด คนขี้ขลาดที่ไม่สามารถทำอะไรได้ด้วยตัวเอง ที่บอกว่าฉันมี [พลัง] น่ะ ฉันไม่ได้มีอะไรแบบนั้นเลยสักนิด! แม้แต่ตอนที่แม่ยังอยู่ฉันก็ไม่มี! ฉันทำอะไรไม่ได้สักอย่าง…”
“นั่นเป็นเพราะแม่หล่อนป่วยไม่ใช่เหรอ? ถ้าไม่ใช่หมอก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้วนี่”
“ไม่ใช่!”
เสียงแหลมเล็กของลิลลี่ดังก้องไปทั่วชายหาดที่มืดสลัว
“ไม่ใช่เรื่องที่คุณแม่ป่วย ตั้งแต่จำความได้… ไม่สิ ตั้งแต่ตอนก่อนที่ฉันจะเกิด คุณแม่เจ็บปวดมาตลอด ทั้งหมดเป็นเพราะกำแพงนั่น”
“หมายความว่ายังไง?”
“คุณแม่เป็นผู้ลี้ภัยจากนอกกำแพง ก่อนฉันเกิด… ตอนที่กำแพงโผล่มา ผู้คนที่มาจากนอกชิโกกุไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีนัก”
ผู้ลี้ภัยไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีนัก- แม่เคยพูดอะไรแบบนี้ไว้เหมือนกัน
“ผู้คนในตอนนั้นคิดว่าทรัพยากรของโลกในกำแพงมีจำกัด และไม่ชอบที่ชีวิตตัวเองจะต้องเปลี่ยนไปเพราะมีผู้ลี้ภัยเข้ามา ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่ก็ป่วยเป็นโรคกลัวท้องฟ้า เพราะอย่างนั้น… ผู้คนจากโลกภายนอกเลยถูกรังเกียจ บางคนแสดงความเกลียดชังอย่างชัดเจน แต่ส่วนใหญ่เก็บเอาไว้ในใจโดยไม่พูดอะไร”
ลิลลี่มองไปที่ทะเล เส้นสุดขอบฟ้าเริ่มถูกย้อมด้วยสีม่วงยามพลบค่ำ
“และเพราะทั้งหมดนั่น ทำให้แม่ป่วย…. และเมื่อมีคนรู้เรื่องนั้น พวกเขาก็เริ่มพูดอะไรอย่าง [คำสาปของเวอร์เท็กซ์] [มันเอาเชื้อร้ายจากเวอร์เท็กซ์เข้ามาในกำแพง] และอีกมากมาย”
ฉันพูดอะไรไม่ออก
“ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นแบบนั้น แต่ผู้คนส่วนใหญ่พูดอะไรไร้สาระอย่างไสยศาสตร์ ถึงโรคที่คุณแม่เป็นจะไม่มีวันรักษาหาย แต่มันเป็นโรคที่เคยมีคนเป็นมาก่อน และหมอได้อธิบายสาเหตุไว้อย่างชัดเจนแล้วเช่นกัน มันไม่ใช่อะไรที่ผิดจากหลักวิทยาศาสตร์อย่างคำสาปสักหน่อย! ไม่ได้มาจากเชื้อร้ายอะไรด้วย! แต่พวกเขาเลือกที่จะเชื่อข่าวลือเสียๆ หายๆ ของแม่มากกว่าคำอธิบาย และเหตุผลทางวิทยาศาสตร์! มันคงเป็นเพราะคุณแม่มาจากนอกกำแพง พวกเขาเหยียดหยามและขับไสไล่ส่งคุณแม่ ฉันมองคุณแม่ที่เป็นแบบนั้นมาตั้งแต่ประถม จากระยะใกล้…”
ลิลลี่ไม่เหลือแรงที่จะเปล่งเสียงออกมา แต่ยังคงพูดต่อ
“แต่ว่า… ฉันทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ทั้งที่อยู่ด้วยตอนที่คุณแม่โดนพูดดูถูก ฉันโต้ตอบคนที่ว่าร้ายคุณแม่อย่างไร้เหตุผลไม่ได้เลย แม้แต่จะพูดยังไม่กล้า พวกเขาตัวใหญ่กว่าและอายุมากกว่า เด็กประถมคนนึงจะไปทำอะไรได้ล่ะ!? แม้แต่ตอนที่เริ่มมีรายได้จากวงการบันเทิง มันก็ไม่ช่วยให้คุณแม่หายจากโรค ต่อให้พยายามเรียนมากแค่ไหน ผู้ใหญ่ก็ไม่เปลี่ยนมุมมองอคติอยู่ดี ไม่ว่าจะทำยังไงแม่ก็ยังคงเจ็บปวดอยู่ดี ฉันน่ะไม่มีพลังอะไรเลย!”
ลิลลี่จ้องเขม็งไปที่ทะเล
“ฉันเกลียดกำแพง เกลียดเวอร์เท็กซ์และโฮชิคุสึ เกลียดผู้คนที่ทำร้ายคนโดยไม่คิดอะไรเลย! ฉันเกลียดตัวเองที่ไร้พลัง… ผู้คนที่ทำร้ายคุณแม่โดยไม่รู้เรื่องอาการป่วยที่ท่านเป็นหรือแม้แต่เวอร์เท็กซ์ เอาแต่ทึกทักไปเองอย่างไร้เหตุผล ฉันจะไม่ยอมรับพวกมันแม้จะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม จะไม่ยอมรับทั้งความเชื่องงมงายอย่างเวอร์เท็กซ์กับโฮชิคุสึ จะไม่ยอมรับผู้คนที่เชื่อเรื่องงมงายพวกนั้นด้วย!”
ลิลลี่เคยพูดไว้ว่าจะไม่เชื่อสิ่งที่ไม่เห็นด้วยตาตัวเอง ในวัยของเรา ไม่มีใครเคยเห็นเวอร์เท็กซ์ โฮชิคุสึ หรือแม้แต่การออกปฏิบัติการของผู้กล้า สงครามกับเวอร์เท็กซ์เป็นแค่สิ่งที่ผู้ใหญ่บอกว่า [เคยเกิดขึ้น] เท่านั้น
แล้วมันต่างอะไรจากความงมงายล่ะ?
ฉันไม่สามารถพิสูจน์ว่าเวอร์เท็กซ์หรือพลังของผู้กล้ามีอยู่จริงด้วยหลักวิทยาศาสตร์ได้ แถมยังไม่มีรูปถ่ายหรือวิดีโอเกี่ยวกับสงครามด้วยเช่นกัน แต่ฉันก็ยังชื่อว่ามันเคยเกิดขึ้น เพียงเพราะคนรอบข้างบอกอย่างนั้น
แล้วฉันต่างอะไรจากพวกคลั่งเรื่องงมงายพวกนั้นล่ะ?
พระอาทิตย์ตกดินเป็นที่เรียบร้อย ความมืดเข้าปกคลุมทุกสิ่ง ทะเลที่อยู่ตรงหน้ากลายเป็นสีดำเหมือนบ่อน้ำมัน
เวอร์เท็กซ์ ผู้กล้า กำแพง โรคกลัวท้องฟ้า ยุคเทวศักราช… ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสามสิบปีก่อนยังคงส่งผลมาถึงชีวิตพวกเราในวันนี้ สิ่งเหล่านั้นราวกับยังคงมีชีวิตอยู่ ทั้งที่จะเวอร์เท็กซ์หรือผู้กล้าก็ไม่เคยปรากฏให้เห็นเลยสักครั้ง
สิ่งเหล่านั้นมีอยู่จริง แต่ไม่เคยปรากฏให้เห็น
เราอยู่ในยุคที่… ปิดใจกันอย่างโหดร้าย
ฉันไม่ยอมรับทฤษฎีสมคบคิดของลิลลี่เรื่อยมา แต่ทั้งการไม่ยอมรับลิลลี่ และยืนยันว่าเวอร์เท็กซ์มีอยู่จริงเป็นเพียงเรื่องงมงาย เพราะฉันไม่ได้พิสูจน์อะไรเลย
สิ่งสำคัญคือการพิสูจน์
จะยืนยันหรือไม่ยอมรับ – สิ่งแรกที่ทั้งสองอย่างต้องการคือ การพิสูจน์และตามหาความจริง
“…อา ฉันเข้าใจแล้วล่ะลิลลี่”
ฉันจับมือของลิลลี่แล้วดึงขึ้นมา
มองไปในตาของลิลลี่ที่เปียกชุมเพราะน้ำตาแล้วคิดในใจ
ถึงเวลาทิ้งความงมงายไป และตามหาความจริง พวกเราต้องทำ ลิลลี่ไม่สามารถหยุดได้อีกต่อไปแล้ว ฉันก็เช่นกัน ไม่สามารถยอมรับสภาพที่เป็นอยู่นี่ได้อีกแล้ว
“ฉันจะแสดงโลกภายนอกกำแพงให้เห็นเอง”
ฟุโยว ยูนะไม่ใช่ผู้กล้า-ตอนที่ 4-จบ
=====================================================
วันที่ x สิงหาคม
ความจริงไม่ใช่สิ่งสำคัญ
สิ่งสำคัญคือการสืบหาความจริง
ขั้นตอนการคิดและการทำงานเพื่อพิสูจน์ความจริง
ว่าความคิดนั้นไม่ยอมรับผู้คนที่ทำร้ายคุณแม่